ภาษาเบงกาลีเป็นภาษาที่มีการผันคำตามการกเช่นเดียวกับภาษากลุ่มอินโด-อารยันอื่นๆ ต่ไม่มีการผันคำตามเพศ เรียงประโยคแบบประธาน-กรรม-กริยา
คำสรรพนามแบ่งเป็นบุรุษที่ 1 2 และ 3 และแบ่งเป็นเอกพจน์กับพหูพจน์ ไม่มีความแตกต่างระหว่างเพศ มีการแบ่งสรรพนามบุรุษที่ 3 ตามความใกล้เคียงคือใช้กับผู้ที่อยู่ใกล้ อยู่ไกลออกไปและไม่อยู่ในสถานที่นั้น และยังแบ่งสรรพนามตามระดับความสนิทสนมและความสุภาพ
มีการผันสรรพนามตามการก การกประธานใช้กับสรรพนามที่เป็นประธานของประโยค การกกรรมใช้กับสรรพนามที่เป็นกรรมตรงหรือกรรมรองของประโยค ตารางต่อไปนี้เป็นการแสดงสรรพนามแทนบุคคลในการกประธานและการกกรรม
คำนามมีการผันตามการกเช่นกันโดยกสำหรับนามได้แก่ การกประธาน การกกรรม การกแสดงความเป็นเจ้าของ และการกสถานที่ การผันคำนามขึ้นกับการมีหรือไม่มีชีวิตของคำนามด้วย
ในการนับ ภาษาเบงกาลีมีคำลักษณนามเช่นเดียวกับภาษาในเอเชียอื่นๆ เช่น ภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น และภาษาไทย คำลักษณนามอยู่ระหว่างตัวเลขและนาม นามทั่วไปมีคำลักษณนามรวมคือ ta แต่มีนามจำนวนมากที่มีคำลักษณนามจำเพาะ เช่น jon ใช้กับมนุษย์เท่านั้น การละคำลักษณนามในประโยคถือว่าผิดไวยากรณ์ แต่การใช้ลักษณนามโดยละคำนามนั้นถือว่ายอมรับได้ เช่นใช้ jon แทนคำว่า loke (บุคคล) ในประโยคได้ เพราะ jon เป็นลักษณนามของ loke เท่านั้น
ตรงกับคำบุพบทในภาษาไทย เพียงแต่วางไว้หลังคำนามการกกรรม การกความเป็นเจ้าของ หรือแสดงสถานที่ ตัวอย่างปรบทได้แก่ ปรบทสำหรับการกประธาน เช่น age (ก่อน) oi pare (ข้าม) jonno (สำหรับ) ปรบทสำหรับการกกรรม เช่น dhore (เป็นเวลา) porjonto (จนกระทั่ง) nie (รวม)
คำกริยาในภาษาเบงกาลีประกอบด้วยรากศัพท์และคำลงท้าย การสร้างนามกริยาทำได้โดยเติม –a เข้ากับรากศัพท์ เช่น rakha (การวาง) รากศัพท์อาจจะลงท้ายด้วยสระหรือพยัญชนะ คำริยาประกอบด้วยการผันตามกาลและบุคคลซึ่งจะเปลี่ยนแปลงตรงส่วนท้ายคำ เสียงสระในคำอาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อได้รับอิทธิพลจากสระอื่น เช่น รากศัพท์ lekh (เขียน) เป็น tomara lekho (พวกเธอเขียน) และ amara likhi (พวกเราเขียน)
คำกริยาผันตามบุคคลและระดับความนับถือแต่ไม่ผันตามจำนวน รูปแบบของกริยามีสองแบบคือ แบบบ่งชี้ใช้กับการยืนยันข้อเท็จจริง และแบบบังคับใช้แสดงความเห็น