โรงเรียนราชินี เป็นโรงเรียนเก่าแก่แห่งหนึ่ง ตั้งอยู่เลขที่ 444 ถนนมหาราช แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา ผู้ทรงให้กำเนิดโรงเรียนคือ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2447 ณ ตึกแถวมุมถนนอัษฎางค์และถนนจักรเพชร ต่อมาได้ย้ายไปอยู่ตึกริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ปากคลองตลาด และมีการเปิดรับนักเรียนกินนอนขึ้นใน พ.ศ. 2448 และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ได้ขอพระราชทานย้ายโรงเรียนมาอยู่ ณ ตึกสุนันทาลัย จนถึงปัจจุบัน
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ พระราชทานกำเนิดโรงเรียนราชินีเมื่อ วันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2447 ณ ตึกแถวมุมถนนอัษฎางค์ และถนนจักรเพชร ตำบลปากคลองตลาด (ปัจจุบันคือ แขวงวังบูรพาภิรมย์) ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ และได้ทรงจ้างครูมาจากประเทศญี่ปุ่น 3 คน ให้สอนภาษาอังกฤษ คำนวณ วิทยาศาสตร์ วาดเขียน เย็บปัก และการประดิษฐ์ดอกไม้แห้ง ครูทั้งสามคนนี้อยู่ประจำโรงเรียน คนหนึ่งชื่อ มิสยาซูอิ เททสุ(YASUI TETSU) สำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เป็นอาจารย์ใหญ่ และได้ทรงจ้างสตรีไทยมาเป็นครูสอนภาษาไทย และการตัดเย็บเสื้อผ้าอีกคนหนึ่ง
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ได้พระราชทานโครงการศึกษาไว้คือ ให้มีความรู้ทางการช่างฝีมือขนาดสามารถประกอบอาชีพได้ ให้อ่านออกทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และสามารถเขียนให้ผู้อื่นเข้าใจได้ มีการอบรมศีลธรรม จรรยาและมารยาท พระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆในโรงเรียน ตลอดจนเงินเดือนครู
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ได้ทรงรับพระราชภารกิจแทนสมเด็จพระบรมราชชนนี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หลวงอภิรักษ์ราชฤทธิ์ (พระยาสุรินทราชา - นกยูง วิเศษกุล) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียน และให้สอนวิชาภูมิศาสตร์ในชั้นใหญ่เพิ่มขึ้นอีกวิชาหนึ่ง
สมัยแรกโรงเรียนแบ่งเป็น 2 ภาค ในภาคเรียนที่สองของแรกที่ก่อตั้งนั้น โรงเรียนได้ย้ายไปอยู่ตึกริมแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ปากคลองหลอด ท่าช้างวังหน้า ข้างวังกรมพระนเรศวรฤทธิ์ ถนนพระอาทิตย์ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้ หม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์ มาเป็นอาจารย์สอนนักเรียนชั้นใหญ่ หม่อมเจ้าเฉลียววรรณมาลา กมลาศน์ สอนนักเรียนชั้นเล็ก และให้เปิดรับนักเรียนกินนอน ในพ.ศ. 2448
พ.ศ. 2449 สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ ได้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้โรงเรียนราชินีได้ย้ายมาอยู่ ณ สถานที่สุนันทาลัย (บริเวณโรงเรียนในปัจจุบัน)
เมื่อครูญี่ปุ่นทั้งสามทำการสอนอยู่จนหมดสัญญาจ้างแล้วจึงกลับประเทศของตน ขณะนั้นโรงเรียนมีนักเรียนจำนวน 105 คน ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ หม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์ รักษาการตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ หม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล เป็นอาจารย์พิเศษ พระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ (เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี - หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการแทนพระยาสุรินทราชา ซึ่งกราบถวายบังคมลาไปรับราชการหัวเมือง พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี - สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ได้มาช่วยเหลือกิจการของโรงเรียนอยู่ด้วย เพราะพระยาวิสุทธิสุริยศักดิ์ ได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดี มีราชการมากไม่สามารถมาดูแลโรงเรียนได้สม่ำเสมอ
ต่อมาหม่อมเจ้ามัณฑารพ กมลาศน์ และหม่อมเจ้าเฉลียววรรณมาลา กมลาศน์ กราบถวายบังคมลาออกจากโรงเรียน จึงโปรดเกล้าฯ ให้ หม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล เป็นอาจารย์ใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2450 โรงเรียนเริ่มใช้หลักสูตรของกระทรวงธรรมการตั้งแต่ครั้งนั้น แต่วิชาประดิษฐ์ดอกไม้แห้งชึ่งไม่มีในหลักสูตรยังคงจัดสอนแก่นักเรียนชั้นใหญ่ต่อไป
พ.ศ. 2457 ได้เปิดแผนกการช่างขึ้นอีกแผนกหนึ่ง สอนภาษาไทยถึงชั้นประถม 3 (จบระดับประถมศึกษาสมัยนั้น) สอนวิชาเย็บปักถักร้อย ทำดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง และประกอบอาหาร สอนให้มีความรู้ถึงขั้นเป็นครูได้ แต่นักเรียนส่วนมากเป็นนักเรียนในบำรุง ซึ่งไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แผนกนี้มีอันต้องยุบเลิกไปเมื่อพ.ศ. 2470 เพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ปรากฏว่านักเรียนที่สำเร็จจากแผนกการช่างนี้หลายคนได้ไปสอนการฝีมือในโรงเรียนสตรีต่างๆ ของกรมศึกษาธิการ
พ.ศ. 2460 โรงเรียนได้เปิดชั้นมัธยมวิสามัญขึ้นสอนภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และวิชาวาดเขียน มีครูชาวต่างประเทศ ที่สำเร็จวิชาเหล่านี้มาสอนร่วมกับครูไทย และในนี้โรงเรียนได้รับใบรับรองวิทยฐานะจากกระทรวงศึกษาธิการ
พ.ศ. 2462 สมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสด็จสวรรคต นับแต่นั้นโรงเรียนได้รับความอุปการะจากเจ้านายหลายพระองค์ ซึ่งประทานเงินบำรุงโรงเรียนบ้าง ตั้งทุนสำหรับนักเรียนที่เรียนดีบ้าง พ.ศ. 2465 ได้ตั้งหน่วยอนุกาชาด (ยุวกาชาด) ขึ้น พ.ศ. 2466 เปิดแผนกอนุบาลทารกขึ้นอีกแผนกหนึ่ง รับเด็กอายุ 3-5 ขวบ โดยไม่เก็บเงินบำรุง
พ.ศ. 2471 โรงเรียนแบ่งภาคเรียนเป็น 3 ภาค และปิดในวันเทศกาลต่างๆ ตามปฏิทินหลวง และให้นักเรียน แต่งเครื่องแบบอย่างที่แต่งอยู่ทุกวันนี้ ชั้นเรียนมีมัธยมวิสามัญ 2 ห้อง มัธยมสามัญ 6 ห้อง ประถม 3 ห้อง เตรียมประถม 1 ห้อง รวม 12 ห้องเรียน การเรียนของมัธยมวิสามัญแบ่งเป็น 2 สาย ตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษาธิการ คือแผนกภาษาและแผนกวิทยาศาสตร์
พ.ศ. 2472 สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์ กรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินธร ทรงสร้างโรงเรียนราชินีบนขึ้น ได้ย้ายชั้นมัธยมวิสามัญศึกษาจากโรงเรียนราชินีไปเรียนที่โรงเรียนราชินีบน โรงเรียนราชินีจึงเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงชั้นมัธยมที่ 6 เป็นชั้นสูงสุด ต่อมาได้ตั้งแผนกวิสามัญการเรือนขึ้น ซึ่งได้ยุบเลิกไปในพ.ศ. 2486 และได้เริ่มเปิดชั้นเตรียมอุดมศึกษาที่ 1 ขึ้นในพ.ศ. 2489
สมาคมนักเรียนเก่าราชินีในพระบรมราชินูปถัมภ์ได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อพ.ศ. 2483 และในพ.ศ. 2484 สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง "ราชินีมูลนิธิ" ขึ้น มีหม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล เป็นประธานกรรมการ และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 8 ท่าน
พ.ศ. 2486 หม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุล อาจารย์ใหญ่ถึงชีพิตักษัย หม่อมเจ้าอัจฉราฉวี เทวกุล ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่สืบต่อมา หม่อมเจ้าวงศ์ทิพย์สุดา เทวกุล เป็นผู้จัดการโรงเรียนและเป็นประธานกรรมการ "ราชินีมูลนิธิ"
พ.ศ. 2487 ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงเรียนได้อพยพไปสอนที่อำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 1 จึงย้ายกลับมาสอน ณ ที่เดิม
พ.ศ. 2512 หม่อมเจ้าวงศ์ทิพย์สุดา เทวกุล ถึงชีพิตักษัย หม่อมเจ้าอัจฉราฉวี เทวกุล จึงดำรงตำแหน่งผู้จัดการโรงเรียน และประธานกรรมการ "ราชินีมูลนิธิ"
โรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย การดำเนินกิจการของโรงเรียน การสอน การวัดผลการศึกษา เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการทุกประการ
1 พฤษภาคม พ.ศ. 2516 นางเสนาะจิตร สุวรรณโพธิ์ศรี ทำหน้าที่รักษาการครูใหญ่ เพราะหม่อมเจ้าอัจฉราฉวี เทวกุล ทรงพระชรา ไม่สามารถบริหารงานได้
11 ธันวาคม พ.ศ. 2517 นางเสนาะจิตร สุวรรณโพธิศรี ลาออก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ผู้จัดการโรงเรียน ทรงทำหน้าที่รักษาการครูใหญ่
19 มิถุนายน พ.ศ. 2518 หม่อมราชวงศ์ผกาแก้ว จักรพันธุ์ ได้รับแต่งตั้งเป็นครูใหญ่ จนถึงพ.ศ. 2522 จึงได้ขอลาออก
พ.ศ. 2523 "ราชินีมูลนิธิ" ได้แต่งตั้ง นางประยงคุ์ศรี อุณหธูป เป็นครูใหญ่สืบต่อมา ซึ่งได้ลาออกไปตามวาระเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2533
"ราชินีมูลนิธิ" แต่งตั้ง หม่อมหลวงประทิ่นทิพย์ นาครทรรพ เป็นครูใหญ่ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 และพ.ศ. 2541 พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ผู้จัดการโรงเรียนสิ้นพระชนม์ ราชินีมูลนิธิจึงแต่งตั้งให้ หม่อมหลวงประทิ่นทิพย์ นาครทรรพ ดำรงตำแหน่งผู้จัดการอีกหนึ่งตำแหน่ง
1 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 "ราชินีมูลนิธิ" ให้หม่อมหลวงประทิ่นทิพย์ นาครทรรพ คงดำรงตำแหน่งผู้จัดการ และแต่งตั้งให้ นางเรืองศิริ สิงหเดช เป็นครูใหญ่
สีประจำโรงเรียนนั้นคือสีน้ำเงินและสีชมพู ซึ่งสีน้ำเงินนั้นเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง และ สีชมพู หมายถึงสีประจำวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ตัวอักษรย่อของโรงเรียนราชินีนั้นคือ ส.ผ. ซึ่งมาจากพระนามเดิมของ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง คือ "เสาวภาผ่องศรี" ซึ่งจะปักด้วยไหมสีขาวไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย(ตรงหัวใจ)ของนักเรียนทุกคน
ดอกไม้ประจำโรงเรียนราชินีคือดอกพิกุล ซึ่งดอกพิกุลนั้นแม้จะร่วงหล่นจากต้นผิแห้งไปแล้วแต่ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นหอม ซึ่งเป็นการสอนนักเรียนราชินีให้ประพฤติตนเองให้ดีดั่งดอกพิกุลไม่ว่าจะแก่ชราก็ขอให้คงความดีเอาไว้
ส่วนที่เรียกว่าพิกุลแก้วนั้น เพราะแต่เดิมโรงเรียนราชินีเป็นโรงเรียนในวังเป็นการเรียกให้สอดคล้องกับสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์ ตัวอย่างเช่น นางของกษัตริย์ก็จะเรียกว่านางแก้ว ช้างของกษัตริย์ก็จะเรียกจะช้างแก้ว
เพลงประจำโรงเรียนราชินีนั้นมีทั้งหมดจำนวน 3 เพลง คือ เพลงราชินีเป็นที่รัก (ไทยเดิม) เพลงพิกุลแก้ว และ เพลงเทิดพระเกียรติสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ
ซึ่งในตอนแรกนั้น เพลงพิกุลแก้วเป็นเพียงบทกลอนซึ่งหม่อมเจ้าพิจิตรจิราภา เทวกุลทรงประพันธ์โดยลายพระหัตถ์ให้นักเรียนซึ่งสำเร็จการศึกษา แต่ต่อมาได้มีการใส่ทำนองเข้าไปแล้วใช้เป็นเพลงประจำโรงเรียน แต่เนื่องจากเป็นลาบพระหัตถ์ซึ่งค่อนข้างอ่านยาก จึงมีการเข้าใจว่าทรงประพันธ์วรรคแรกของบทที่สองว่า "เมื่อถึงคราวชรา" ซึ่งในหนังสือรุ่นหรือบันทึกเนื้อเพลงก็จะเขียนไว้เช่นนั้น แต่เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการตรวจสอบอีกทีจึงทราบว่าทรงประพันธ์ไว้ว่า "แม้ว่าถึงคราวชรา" และสำหรับนักเรียนราชินีแล้วเพลงนี้จะเป็นเพลงที่ผูกพันมากที่สุด
เรานักเรียนจักต้องประพฤติตน อยู่ในระเบียบวินัยของโรงเรียน มีความซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น
ในระดับอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษานั้นจะมีทั้งนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย (ซึ่งจะมีนักเรียนประมาณ 10-20 คน ต่อช่วงชั้น ในช่วงชั้นหนึ่งๆจะมีนักเรียนประมาณ 200-300 คน)
ทุกๆปีจะมีการเลือกตั้งประธานนักเรียนเพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย ซึ่งจะแบ่งเป็นสองส่วนคือ ส่วนประถมศึกษา และส่วนมัธยมศึกษา แบ่งเป็นสี่พรรคคือ
ซึ่งทั้งสองส่วนนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคเดียวกัน จะมีการจัดการหาเสียงและอภิปรายเสนอนโยบายต่างๆ เพื่อฝึกฝนนักเรียน
จะมีการมอบเกียรติบัตรกุหลาบแดงให้กับนักเรียนที่มีความประพฤติดี สองคนต่อห้องทุกๆปี โดยสังเกตจากความดีที่ได้บันทึกลงในสมุดความดีเป็นสำคัญ
โรงเรียนราชินีเป็นโรงเรียนแรกที่ได้จัดการเรียนการสอนวิชายุวกาชาดขึ้น และดำรงมาจนถึงทุกวันนี้ โดยจะเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 แต่จะมีการสวมเครื่องแบบเมื่อชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นต้นไป และจะมีการจัดค่าย (จัดครั้งแรกชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ต่อไปก็จะเป็น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3) ซึ่งจะมีการจัดค่ายที่ "ค่ายสุทธสิริโสภา" ตั้งอยู่ที่เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา
ตึกสุนันทาลัย เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูน 2 ชั้น ทาสีขาว ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบ Neo Classic ด้านหน้ามีมุขเป็นรูปมงกุฎยื่นออกมา ประดับด้วยลวดลายปูนปั้น ส่วนยอดประดับด้วยปูนปั้นเป็นรูปตราแผ่นดินสมัยรัชกาลที่ 5 มีประตูใหญ่ ออกมาสู่มุขที่เป็นเฉลียงรูปโค้ง ซุ้มประตูทำเป็นรูป โค้งรองรับด้วยเสาโครินเธียน ประดับด้วยตุ๊กตาปั้นตั้งอยู่ในช่อง ส่วนยอดอาคารมีหลังคาโดม ซึ่งต่อมาสูญหายไป สันนิษฐานว่าถูกรื้อไประหว่างการบูรณะอาคาร
ผังตึกสุนันทาลัยเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนานไปกับแม่น้ำเจ้าพระยา โดยด้านหน้าหันออกสู่แม่น้ำ ส่วนด้านหลังหันออกสู่ถนนมหาราช มีมุขยื่นออกมา จึงดูคล้ายรูปกากบาท ทางขึ้นชั้นบนอยู่ภายนอกอาคาร อยู่ตรงกับทางเดินด้านหน้า โครงสร้างเป็นกำแพงรับน้ำหนัก หลังคาทรงปั้นหยา มุงกระเบื้องไม่มีกันสาด มีทางเดินโดยรอบทำหน้าที่เป็นกันสาด ในตัวทางเดินด้านหน้ามีผนังเจาะโค้งรูปครึ่งวงกลม มีช่องแสงรูปครึ่งวงกลมเหนือประตูภายใน ประดับด้วยกระจกสีลวดลายงดงาม
ตึกสุนันทาลัย เป็นอาคารที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์สถาน แสดงความอาลัยรักถึงพระมเหสี สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ พระบรมราชเทวี ซึ่งเสด็จทิวงคตด้วยอุบัติเหตุเรือพระที่นั่งล่ม เมื่อ พ.ศ. 2423 ต่อมาได้พระราชทานให้เป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีสุนันทาลัย เป็นโรงเรียนสตรีแห่งแรกในประเทศไทย เป็นที่ตั้งของโรงเรียนสวนกุหลาบอังกฤษสุนันทาลัย และเป็นที่ตั้งของโรงเรียนราชินีในเวลาต่อมา
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2548 เกิดเหตุเพลงไหม้ชั้นบนของตึกสุนันทาลัย โครงหลังคาและฝ้าเพดานชั้นสองซึ่งเป็นไม้เสียหายทั้งหมด เนื่องจากความสะเพร่าของผู้รับเหมาซ่อมแซมอาคาร ราชินีมูลนิธิ ซึ่งเป็นผู้ดูแลอาคาร ได้มีมติที่จะบูรณะตึกสุนันทาลัยให้มีลักษณะใกล้เคียงกับอาคารเดิมตั้งแต่แรกสร้าง โดยเสริมความแข็งแรงของอาคารเดิม และก่อสร้างหลังคาโดม และดวงโคมบนยอดตึก รวมถึงบันไดโค้งจากด้านข้างของหน้ามุขทอดตัวลงสู่ด้านหน้า สร้างด้วยหินอ่อน ตามแบบดั้งเดิม ยกตัวอาคารที่ทรุดไปตามกาลเวลาขึ้นอีก1.5เมตร