โปรตุเกส (โปรตุเกส: Portugal) หรือ สาธารณรัฐโปรตุเกส (โปรตุเกส: Rep?blica Portuguesa) เป็นสาธารณรัฐซึ่งมีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ตั้งอยู่ในภาคตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของคาบสมุทรไอบีเรียทางตอนใต้ของทวีปยุโรป และถือว่าอยู่ทางทิศตะวันตกมากที่สุดในบรรดาประเทศในทวีปยุโรปทั้งหลาย (ยกเว้นหมู่เกาะบริเตนใหญ่และหมู่เกาะใกล้เคียง) โปรตุเกสติดกับประเทศสเปนในทางทิศเหนือและทิศตะวันออก และอยู่ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกในทางทิศตะวันตกและทิศใต้ นอกจากนี้ โปรตุเกสยังประกอบไปด้วยอาณาเขตหมู่เกาะอยู่หลายหมู่เกาะด้วยกันในมหาสมุทรแอตแลนติก อาทิเช่น อะโซร์ส (Azores หรือ A?ores) และเกาะมาเดราและโปร์ตูซันตู (รวมถึงหมู่เกาะซาเวจด้วย)
โปรตุเกสคือดินแดนที่เป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมแตกต่างกันไปอย่างต่อเนื่องในช่วง 3,500 ปีที่ผ่านมา ทั้งอารยธรรมของชาวไอบีเรีย (Iberians) ชาวเซลต์ (Celts) ชาวฟีนีเชีย (Phoenicians) และชาวคาร์เทจ (Carthaginians) ชาวกรีก (Greeks) ชาวโรมัน (Romans) ชาวเผ่าเยอรมัน (Germanic tribespeople) รวมถึงอารยธรรมของชาวอาหรับ (Arabians) ล้วนเคยเหยียบย่ำบนแผ่นดินโปรตุเกสมาแล้วทั้งสิ้น ในชื่อ "โปรตุเกส" นั้นก็บ่งบอกถึงประวัติศาสตร์สมัยโบราณส่วนใหญ่ของประเทศนี้ไปแล้ว เนื่องจากรากศัพท์ของคำว่าโปรตุเกสนั้น คือชื่อที่ชาวโรมันตั้งให้ชื่อว่า "Portus Cale" อาจเป็นไปได้ว่าคำนี้จะมาจากการสมาสคำระหว่างภาษากรีกและภาษาละตินซึ่งมีความหมายว่า "ท่าเรือที่สวยงาม" ในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ คริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้นโปรตุเกสคือประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม โดยจักรวรรดิโปรตุเกสนั้นแผ่ขยายอำนาจของตนไปทั่วโลก เมื่อหลังจากที่ประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ พัฒนาขึ้นในด้านการล่าอาณานิคมแล้ว โปรตุเกสจึงเสื่อมถอยลงไป
ประเทศโปรตุเกสในปัจจุบันนี้มีรากฐานมาจากการปฏิวัติเรียกร้องประชาธิปไตย ที่ทำการล้มล้างระบอบการปกครองแบบเผด็จการ (หรือการบริหารแบบพรรคเดียว) ซึ่งถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2469 (ค.ศ. 1926) จนถูกโค่นล้มในปี พ.ศ. 2517 (ค.ศ. 1974) จากนั้นในภายหลังจึงเข้ามาเป็นสมาชิกของประชาคมเศรษฐกิจยุโรป หรือ European Economic Community (สหภาพยุโรปในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2529 (ค.ศ. 1986) ประเทศโปรตุเกสพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของตนขึ้นมาอย่างรวดเร็วในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมาในคริสต์ศตวรรษที่ 20
ในช่วงต้น ๆ หนึ่งสหัสวรรษก่อนคริสตกาล ชาวเซลต์ได้ทำการรุกรานโปรตุเกสจากภูมิภาคยุโรปตอนกลางอยู่หลายระลอกด้วยกัน รวมถึงแต่งงานข้ามเผ่ากับชาวไอบีเรียซึ่งเป็นประชากรท้องถิ่น ก่อให้เกิดชาวเซลต์ลูกครึ่งไอบีเรียออกมา นักสำรวจชาวกรีกในยุคนั้นตั้งชื่อภูมิภาคนี้ว่า "ออร์ฟิอุสซา" (Orphiussa) (มาจากภาษากรีก หมายความว่า "แดนแห่งพญางู" เนื่องจากชาวพื้นเมืองที่นั่นนับถืองูพิษ ต่อมาพ.ศ. 305 (ก่อนคริสตกาล 238 ปี) ชาวคาร์เทจเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามแนวชายฝั่งบนคาบสมุทรไอบีเรีย ในช่วงนี้มีเผ่าย่อยๆ หลายเผ่าอาศัยอยู่กระจัดกระจายกันไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นชาวลูซิทาเนีย (Lusitanians) ที่อาศัยอยู่ระหว่างแม่น้ำดูโร (Douro) และแม่น้ำเทโฮ (Tegus หรือ Tejo) และชาวแคลเลไค (Callaeci) ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำดูโรรวมอยู่กับเผ่าอื่น ๆ รวมถึงชาวโคนิไอ (Conii) ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ทางตอนใต้ของโปรตุเกสมาเป็นเวลานาน และชาวเซลติไค (Celtici) ชนรุ่นหลังของชาวเซลต์ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน พวกเขาอาศัยอยู่ที่อเลนเทโฮ (Alentejo)
ก่อนคริสตกาล 219 ปี ทหารชาวโรมันชุดแรกเข้ามาทำการรุกรานคาบสมุทรไอบีเรีย และขับไล่ชาวคาร์เทจออกไประหว่างสงครามพิวนิค (Punic Wars) การพิชิตโปรตุเกสของชาวโรมันเริ่มต้นขึ้นทางตอนใต้ขึ้นมา, ในตอนใต้นี้เอง ที่ทำให้พวกเขาพบกับชาวพื้นเมืองที่เป็นมิตรเผ่าแรกคือเผ่าโคนิไอ หลายทศวรรษต่อมา ชาวโรมันก็ค่อยๆ ขยายวงแหวนแห่งการปกครองออกไป แต่ในที่สุด เมื่อ พ.ศ. 349 (194 ปีก่อนคริสตกาล) เกิดการกบฏขึ้นทางตอนเหนือ โดยชาวลูซิเทเนียที่ในที่สุดก็สามารถตรึงกำลังพวกโรมันเอาไว้ได้ ได้ทำการยึดอาณาเขตคืนมาจากชาวโรมัน และปล้นสดมภ์เมืองโคนิสทอร์จิส (Conistorgis) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเผ่าโคนิไอ ด้วยเหตุผลที่ว่าชาวโคนิไอนี้ผูกมิตรชิดเชื้อกับโรม ผู้นำของชาวลูซิเทเนีย วิเรียธิอุส (Viriathus) เป็นผู้นำการขับไล่ทหารโรมันออกจากคาบสมุทรไอบีเรีย ทำให้โรมต้องส่งกองทหารโรมันมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ต่อมาทางโรมจึงทำการประนีประนอมโดยเปลี่ยนสัญชาติชาวลูซิเทเนียให้เป็นชาวโรมัน ด้วยการมอบสิทธิ์ละติน (Latinius หรือ Latin Right) ให้กับชาวลูซิเทเนียในปี พ.ศ. 616 (ค.ศ. 73)
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ชาวเผ่าอนารยชนเยอรมัน (ส่วนใหญ่คือเผ่าซูวี (Suevi) และชาววิสิกอธ) ได้ทำการรุกรานคาบสมุทรไอบีเรีย, ก่อตั้งอาณาจักรของตนเองขึ้น และกลายเป็นชาวพื้นเมืองไอบีเรียในที่สุด มีชาวเผ่ากลุ่มน้อยเช่นชาวแวนดัล (Vandals) เผ่าซิลิงไก (Silingi) และเผ่าฮาสดิงไก (Hasdingi) รวมถึงชาวซาร์มาเทีย (หรือ ชาวอลัน - Alans) อาศัยอยู่ด้วย แต่ต่อมาพวกเขาโดนเนรเทศหรือจำกัดถิ่นที่อยู่โดยชาววิสิกอธ (Visigoths)
การรุกรานของชาวมุสลิมเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 1254 (ค.ศ. 711) บรรดาขุนนางที่ถูกขับไล่ออกมาอพยพไปยังทางตอนเหนือที่ยังไม่ได้ทำการยึดครอง ณ ที่ราบสูงแอสทูเรีย (Asturia) จากจุดนั้นพวกเขามีจุดมุ่งหมายในการยึดดินแดนคืนมาจากชาวมัวร์ (Moors) ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเบอร์เบอร์ และชาวอาหรับจำนวนหนึ่ง ซึ่งใช้เวลาไม่นานนักในการยึดคืนมาเนื่องมาจากการยึดดินแดนคืนครั้งใหญ่ของชาวคริสต์หรือ Reconquista ในปี พ.ศ. 1411 (ค.ศ. 868) เคานต์วีมารา เปเรช (Count V?mara Peres) เป็นผู้ยึดดินแดนระหว่างแม่น้ำมีโนและดูโรคืนมาได้ ดินแดนดังกล่าวเป็นที่รู้จักกันได้นามว่า Portucale (ซึ่งก็คือโปรตุเกสในปัจจุบัน)
โปรตุเกสมีความสัมพันธ์กับประเทศไทยเป็นเวลายาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ชาวโปรตุเกสกลุ่มแรกเดินทางถึงประเทศไทยเมื่อ ค.ศ.1511 (พ.ศ. 2054) ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ทางการค้า สังคม การเมืองและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม สรุปแล้วโปรตุเกสเป็นชาติตะวันตกชาติแรกที่เริ่มเข้ามาติดต่อกับไทย มีการแลกเปลื่ยนการเยือนของบุคคลสำคัญระหว่างกันโดยตลอด
การค้าระหว่างไทย-โปรตุเกส (2012) มีมูลค่าการค้ารวม 182.7 ล้านดอลล่าร์ฯ ไทยส่งออกมูลค่า 113.73 ล้านดอลล่าร์ฯ และไทยนำเข้า 68.98 ล้านดอลล่าร์ฯ ทำให้ไทยได้เปรียบดุลการค้า 44.75 ล้านดอลล่าร์ฯ
สินค้าสำคัญที่ไทยส่งออก ได้แก่ 1.ภลิตภัณฑ์และเม็ดพลาสติก 2.ภลิตภัณฑ์ยาง 3.รองเท้าและชิ้นส่วน 4.รถยนต์และส่วนประกอบ 5.เครื่องรับวิทยุและส่วนประกอบ
สินค้าสำคัญที่ไทยนำเข้าจากโปรตุเกส 1.อุปกรณ์ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ 2.ชิ้นส่วน และอะไหล่รถยนต์ 3.เครื่องนุ่งห่ม 4.เครื่องจักร และส่วนประกอบ 5.กระดาษ และภลิตภัณฑ์กระดาษ
โปรตุเกสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจของชาวยุโรปเหนือ เนื่องจากโปรตุเกสเป็นประเมศที่สวยงาม มีอากาศอบอุ่น ฤดูหนาวไม่หนาว และ ทางภาคใต้ของโปรตุเกสมีอากาศอบอุ่นตลอดปี รวมถึงความสะดวกสบายในการเดินทางทั้ง เครื่องบิน รถยนต์ และ รถไฟ
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากยุโรป ได้แก่ สเปน อังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี และ ไอร์แลนด์ ส่วนนักท่องเที่ยวจากนอกทวีปยุโรป ได้แก่ บราซิล สหรัฐอเมริกา
โปรตุเกสมีประชากรประมาณ 10,927,250 คน ในวันที่ 1 มีนาคม 2013 ในจำนวนนี้ 3.13 % เป็นผู้ย้ายถิ่นเข้าประเทศอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก คาบู แวร์ดึ บราซิล ยูเครน และ อังโกลา โดยส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมีคนนับถือประมาณ 94 % และยังมีนิกายโปรเตสแตนต์และอื่นๆ รวม 6 % โดยทุกศาสนาอยู่ด้วยกันอย่างสันติ
ศาสนา คริสต์ นิกายโรมันคาธอลิก (ร้อยละ 84.5) โปรแตสแตนท์ (ร้อยละ 2.2) ไม่มีศาสนา (ร้อยละ 3.9) และศาสนาอื่นๆ (ร้อยละ 9.4)
ภาษาทางการของประเทศโปรตุเกสคือภาษาโปรตุเกส เป็นภาษาที่จัดอยู่ในกลุ่มภาษาโรมานซ์ ซึ่งในกลุ่มภาษานี้มีภาษาสเปน ฝรั่งเศส และ อิตาลี ด้วย มีผู้พูดภายในประเทศประมาณ 10,000,000 คน (ปี ค.ศ. 2012) และประมาณ 203,349,200 คนทั่วโลก
กีฬาฟุตบอลถือว่าเป็นกีฬาที่นิยมที่สุดในโปรตุเกส ทีมที่มีชื่อเสียง เช่น สปอร์ลิชบัวอีไบฟีกา, สโมสรฟุตบอลโปร์ตู และ นักฟุตบอลโปรตุเกสระดับนานาชาติ เช่น ลูอีช ฟีกู คริสเตียโน โรนัลโด ในปี ค.ศ. 2004 โปรตุเกสเคยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดฟุตบอลยูโรเปียนคัพ นอกจากนี้โปรตุเกสยังมีชื่อเสียงเรื่องรักบี้อีกด้วย
โปรตุเกสได้รับอิทธิพลจากหลากหลายอารยธรรมที่เข้ามาปกครองดินแดนโปรตุเกสทำให้เกิดเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้น
อาหารโปรตุเกสมีหลากหลายชนิดและจากเนื้อสัตว์เกือบทุกประเภท นิยมรับประทานซุป และจานหลักที่มีข้าวและมันฝรั่งเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ยังนำปลาค๊อดตากแห้งมาประกอบอาหารหลากหลายเมนู ทั้งนี้ขนมหวานโปรตุเกสยังมื่อเสียงด้วย โดยเฉพาะ ทาร์ตไข่ และขนมที่ทำจากไข่แดงและน้ำตาล ซึ่งนิยมรับประทานร่วมกับกาแฟ และชาวโปรตุเกสยังดื่มกาแฟมากถึง 5 - 8 แก้วเล็กต่อวัน