โบสถ์กาลหว่าร์ หรือ วัดแม่พระลูกประคำ (อังกฤษ: Holy Rosary Church) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายโรมันคาทอลิก แบบสถาปัตยกรรมกอทิก ตั้งอยู่ที่ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร โบสถ์แห่งนี้ไม่ใช่โบสถ์หลังแรก หากแต่เป็นโบสถ์หลังที่สาม ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อทดแทนโบสถ์หลังเดิมที่ถูกทิ้งร้างภายหลังเพลิงไหม้ใหญ่ในปี พ.ศ. 2407 โบสถ์ในปัจจุบันได้สร้างขึ้นโดยคุณพ่อแดซาลส์ ชาวฝรั่งเศส ในปี พ.ศ. 2434 ปัจจุบันโบสถ์มีอายุรวมแล้ว 124 ปี ถือเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
โบสถ์ได้รับการบูรณะใหญ่ในปี พ.ศ. 2500 ในสมัยที่คุณพ่ออาแมสตอย เป็นอธิการโบสถ์ และถือเป็นการฉลองครบ 60 ปีของโบสถ์กาลหว่าร์อีกด้วย การบูรณะครั้งล่าสุดคือในช่วงปี พ.ศ. 2526 - 2532 โดยมีบาทหลวงประวิทย์ พงษ์วิรัชไชย เป็นอธิการโบสถ์ในขณะนั้น ปัจจุบัน โบสถ์กาลหว่าร์ได้ขึ้นทะเบียนอนุรักษ์เป็นโบราณสถานโดยกรมศิลปากรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โบสถ์แห่งนี้มีจุดเด่นที่สำคัญคือ รูปปั้น 2 รูปซึ่งเป็นสมบัติเก่าแก่ตั้งแต่การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ได้แก่ "รูปแม่พระลูกประคำ" และ "รูปพระศพของพระเยซูเจ้า" โดยทั้งหมดนี้ยังคงเก็บรักษาและใช้ในพิธีกรรมทางศาสนาจนถึงปัจจุบันนี้
ชาวโปรตุเกสที่อยู่ ณ ค่ายแม่พระลูกประคำ ได้ทำการสร้างวัดหลังแรกเสร็จในปี ค.ศ. 1787 ลักษณะเป็นแบบบ้านไม้หลังใหญ่ ยกพื้นสูงเพราะน้ำท่วมอยู่เสมอ ภายในเป็นห้องประชุมใหญ่ มีห้องชาคริสเตีย แและด้านข้างมีบ้านพักพระสงฆ์หลังเล็กๆ 1 หลัง และในวัดหลังนี้เอง ชาวโปรตุเกสได้นำรูปแม่พระลูกประคำที่นำมาด้วยจากกรุงศรอยุธยา ประดิษฐานไว้ด้านหลังพระแท่น ส่วนลูกศพ ของพระเยซูเจ้านั้น พวกเข้าเก็บไว้ในตู้ ปิดกุญแจ วางไว้ในห้องชาคริสเตีย (ห้องหลังวัด) และจากพระรูปนี้เอง จึงเป็นที่มาของชื่อ "วัดกาลหว่าร์"
ขณะนั้น มีคริสตัสชาวโปรตุเกส 137 คน แต่ไม่มีพระสงฆ์มาอยู่ประจ มีเพียงพระสงฆ์ชาวฝรั่งเศสมาถวายมิสซาบ้างเป็นบางครั้ง เมื่อไม่มีพระสงฆ์โปรตุเกสมาประจำอยู่ พวกเขาค่อยๆ ยอมรับพระสังฆราชชาวฝรั่งเศสซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้อง จากสมเด็จพระสันตะปาปา ดังนั้นพระคุณเจ้า ฟลอรังส์ จึงเข้าปกครองวัดกาลหว่าร์ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1822 เป็นต้นมา
ต่อมาชาวโปรตุเกส จากค่ายแม่พระลูกประคำนี้ จึงอพยพโยกย้ายไปทำมาหากินตามที่ต่างๆ ทำให้ลดจำนวนลงเรื่อยๆ จนแทบไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป มีพระสงฆ์ไทยมาทำมิสซาบ้างเป็นบางโอกาส
ในปี ค.ศ. 1820 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 2 ทรงพระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งตั้งอยู่ใต้วัดกาลหว่าร์ลงไปเล็กน้อย เพื่อตั้งกงศุลโปรตุเกส และในภายหลังได้กลายเป็น สถานเอกอัครราชทูตโปรตุเกส ในปัจจุบัน
คุณพ่อ อัลบรังค์ มาถึงกรุงเทพฯ ในปี ค.ศ. 1815 ประจำอยู่ที่วัดอัสสัมชัญ ท่านได้ติดต่อกับชาวจีนกลุ่มหนึ่ง และท่านได้ไปโปรดศีลล้างบาปให้ชาวจีนกลุ่มนั้นที่วัดอัสสัมชัญ ต่อมาในปี ค.ศ. 1837 ท่านได้ย้ายไปอยู่ที่บ้านพักพระสงฆ์ ที่วัดกาลหว่าร์ เพื่อความสะดวกในการดูแลคริสตังชาวจีน ที่ทำมาค้าขายอยู่ในบริเวณนี้ และ ณ ที่นี้เอง ท่านได้สร้างศาลาใหญ่ ทำด้วยไม้ไผ่มุงแฝก เพื่อเป็นที่สอนคำสอน แก่คริสตังใหม่ด้วย
ฯพณฯ กูรเวอซี่ ได้สั่งให้รื้อวัดหลังแรก เพราะไม่สามารถซ่อมแซมได้แล้วและให้สร้างวัดหลังที่ 2 เป็นเครื่องอิฐครึ่งไม้กำแพงอิฐสูงเท่าตัวคน ปิดชั้นบนด้วยเสาไม้เรียงกัน และได้ทำหอระฆังด้วยอิฐ ตั้งอยู่ใกล้ๆ แยกจากตัววัด พระคุณเจ้าปาลกัว ซึ่งเป็นพระสังฆราชผู้ช่วยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1833 ได้ทำพิธีเสกในวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ. 1839 ซึ่งเป็นวันฉลองแม่พระลูกประคำ และตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า "วัดแม่พระลูกประคำ" ทำให้ชาวโปรตุเกสพอใจเป็นอย่างมากเพราะรูปแม่พระลูกประคำของพวกเขาได้รับเกียรติให้เป็นอุปถัมภ์ของวัดสืบมาจนทุกวันนี้
ส่วนรูปพระศพของพระเยซูเจ้านั้นก็ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี โดยจะนำมาแห่รอบวัดปีละ 1 ครั้ง ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้บรรดาสัตบุรุษได้กราบไหว้นมัสการ และพิธีนี้ก็ยังคงกระทำติดต่อกันมาตลอดทุกปี จวบจนถึงปัจจุบันและด้วยเหตุนี้เอง วัดแม่พระลูกประคำ
คุณพ่อดีอปองค์ รับหน้าที่แทนคุณพ่อ อัลบรังค์ ท่านออกไปประกาศศาสนาตามเมืองเล็กเมืองน้อยอยู่ประจำ และท่านปกครองดูแลทำงานเทศน์สอน อยู่ประมาณ 18 ปีก็ได้รับอภิเษกเป็นพระสังฆราชปกครองมิสซังในประเทศไทย
คุณพ่อดาเนียล ชาวฝรั่งเศส เข้ามาปกครองสืบต่อจากคุณพ่อดีอปองค์ ในปี ค.ศ. 1864 และในปีนี้เองเกิดเพลิงไหม้บ้านพักพระสงฆ์ ซึ่งได้ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากต่อเอกสารต่างๆ ของวัด ภายหลังเหตุการณ์ได้ 10 ปีคุณพ่อดาเนียลก็กลับฝรั่งเศส
คุณพ่อซาลาแด็ง ได้รับหน้าที่ต่อจากคุณพ่อดาเนียล ในปี ค.ศ. 1874 นับเป็นคุณพ่อเจ้าวัดองค์ที่ 4 ประจำอย่ 4 ปี แล้วย้ายไปเป็นเจ้าวัด วัดบางช้าง (วัดบางนกแขวก จ.ราชบุรี) จากนั้นก็มีคุณพ่อราบาร์แดล และคุณพ่อโฟก มารับช่วงตำแหน่งติดต่อกันองค์ละ 2 เดือน ตามลำดับ
ในวัดหลังที่ 2 นี่เอง เจ้าหน้าที่สถานทูตโปรตุเกสจะมีที่นั่งสงวนไว้สำหรับพวกเขา เพราะเขาถือความสัมพันธ์ที่พวกเขามีอยู่อย่างแน่นแฟ้นกับชุมชนนี้ และธรรมเนียมนี้ก็ยังคงมีต่อมาแม้ในวัดหลังที่ 3 คือหลังปัจจุบันก็ตาม และเป็นเช่นนี้จนกระทั่ง ภาษาไทย และภาษาจีน เข้ามาแทนที่ภาษาลาติน จึงเลิกธรรมเนียมนี้ไป
ในปี ค.ศ. 1879 คุณพ่อเดสซาลส์ มาปกครองวัดกาลหว่าร์ ได้พยายามบูรณะซ่อมแซมวัดหลังที่ 2 แต่ก็สุดที่จะกระทำได้ เพราะชำรุดทรุดโทรมมาก จึงได้ทำการรื้อเมื่อปี ค.ศ. 1890 และย้ายไปทำมิสซาที่ตึกบริเวณวัดแทน ระหว่างนั้นเองคุณพ่อได้พยายามวิ่งเต้นเพื่อหาเงินจัดสร้างใหม่ขึ้นแทน
ความพยายามของท่านก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1891 ตรงกับวันฉลองแม่พระลูกประคำ มี ฯพณฯ สังฆราชเวย์ ได้กระทำพิธีเสกศิลาฤกษ์
การก่อสร้างวัดหลังใหม่ ซึ่งวางโครงสร้างอย่างถาวร มีความโออ่า ด้วยสถาปัตยกรรมแบบนีโอกอทิก เป็นรูปกางเขนโรมันหันหน้าลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณพระแท่นหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นอยู่ด้านในสุดของวัด เป็นที่ตั้งของพระแท่นหินอ่อน เหนือพระแท่นมีพระรูปจำลองขนาดใหญ่ของพระแม่มารี อุ้มพระกุมาร และกำลังมอบสายประคำให้นักบุญดอมีนีโก และนักบุญกาทารีนาแห่งซีแอนนา ถัดมาทางมุขด้านหน้าบริเวณพระแท่นนั้นมีพระแท่นเล็กตั้งไว้ตรงกันในมุข 2 ด้าน โดยบริเวณเหนือพระแท่นเล็กด้านใต้ เป็นพระรูปพระหฤทัยพระเยซูเจ้า และด้านเหนือเป็นรูปนักบุญยอแซฟ
นอกจากนั้นตามผนังยังมีรูปปั้นนักบุญต่างๆ และรูป 14 ภาค แขวนไว้โดยรอบด้านหน้าวัดใกล้ประตูมีรูปเทวดา ถือเปลือกหอย บรรจุน้ำเสก สำหรับผู้เข้า-ออกวัด ใช้ทำ สำคัญมหากางเขน ตั้งอยู่ทั้ง 2 ข้าง บริเวณเหนือหน้าต่างทุกบานจะมีกระจกสีช่องแสงสวยงาม เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์เก่าและใหม่ ควบคู่กันไป มองจากภายนอกจะเห็นยอดสูง ซึ่งเป็นหอระฆัง บนยอดปักรูปกางเขนไว้ให้แลดูสง่างาม
วัดหลังนี้ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐ ถือปืนซึ่งเป็นลักษณะวิธีการก่อสร้างในสมัยนั้น มิใช่การทำเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กเช่นปัจจุบันนัยว่า ใช้เวลาก่อสร้างทั้งสิ้น 7 ปี เงินในการก่อสร้าง 7 หมื่น 7 พันบาท ได้ทำการเสกเมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 1897 ซึ่งในขณะนั้นมีสัตบุรุษ ชาย หญิงทั้งสิ้น ประมาฯ 600 คน
"กาลหว่าร์" หมายถึง "วัดของพระตาย" ซึ่งน่าจะมาจากคำว่า กัลวารีโอ เนินเขาที่พระเยซูเจ้าถูกตรึง กางเขนจนสิ้นพระชนม์นั่นเอง