โนเกีย (อังกฤษ: Nokia) เป็นบริษัทโทรคมนาคมรายใหญ่ของโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองเอสโป ประเทศฟินแลนด์ ปัจจุบันเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกโดยมีมีประวัติย้อนกลับไปกว่า 140 ปีเริ่มจากการเป็นบริษัทผลิตกระดาษ พัฒนาเป็นเครื่องอุปโภคบริโภค และอุตสาหกรรมโทรคมนาคม โนเกียมีส่วนสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของฟินแลนด์ โดยมีส่วนถึงราวหนึ่งในสามของ market capitalization ของตลาดหลักทรัพย์เฮลซิงกิ ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556 ไมโครซอฟท์ได้ประกาศเข้าซื้อกิจการด้านโทรศัพท์ของโนเกียทั้งหมด ในราค 7.17 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในวันที่ 25 เมษายน 2557 ไมโครซอฟท์ได้เปลี่ยนชื่อโนเกียเป็นไมโครซอฟท์ โมบาย ซึ่งจะเป็นในฐานะบริษัทลูก
โนเกียไม่ได้เริ่มธุรกิจด้านอิเล็กทรอนิคเป็นพื้นฐานอย่างแรกของบริษัท แต่ได้เปิดบันทึกหน้าแรกของประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นผู้ผลิตเยื่อกระดาษ โดยมีวิศวกร Fredrik Idestam เป็นเจ้าของ
ย้อนเวลากลับไปยังปี ค.ศ. 1865 บริษัทโนเกียได้ก่อตั้งขึ้นบนริมฝั่งแม่น้ำ Nokia (โนเกีย) แม่น้ำสายใหญ่ในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วย ป่าไม้ และทะเลสาบนับว่าเป็นดินแดนที่เหมาะสมอย่างมากทำธุรกิจ เยื่อกระดาษในย่านนี้ และกลายมาเป็นโรงงานผู้ผลิตเยื่อกระดาษรายใหญ่ที่เติบโต อย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ Idestam ยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอทำงานด้านธุรกิจ จึงจำเป็นต้องหยิบยืมเทคโนโลยีมาจากประเทศเยอรมันในปี 1866 แต่นั่นก็ช่วยทำให้เขาพัฒนาบริษัทขึ้น
ต่อมาในปี 1867 นวัตกรรมที่ Idestam คิดค้นขึ้นก็ได้ชนะรางวัลเหรียญทองแดงในงาน Paris Wood Exposition ที่กรุงปารีส(ประเทศฝรั่งเศส) นับแต่วันนั้นมาชื่อของโนเกียได้กลายมาเป็นที่รู้จัก โนเกีย จึงได้ฉวยโอกาสนี้ประทับแบรนด์ของเขาบนผลิตภัณฑ์ทุกชนิดซึ่งสร้างชื่อเสียงได้มากขึ้น จนกระทั่งเครื่องผลิตกระดาษได้เข้ามามีบทบาทในการผลิตเยื่อไม้ในปี 1880 และได้มาเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของโนเกีย จนเรียกได้ว่าร้อยละ 80 ของผลิตภัณฑ์นั้น คือ กระดาษห่อสีน้ำตาล รวมไปถึงวอลเปเปอร์สี
ต่อมาในปี 1902 Idestam ได้ขยายธุรกิจจากโรงงานกระดาษมาสู่ธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้า เนื่องจากเห็นว่าธุรกิจกระดาษที่ทำอยู่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าค่อนข้างมาก จึงได้ตัดสินใจสร้างโรงผลิตไฟฟ้าขึ้นเองในปี 1903 แต่แล้วในช่วงสงครวมโลกครั้งที่ 1 มรสุมใหญ่ก็ผ่านเข้ามา ธุรกิจส่งออกกระดาษของโนเกียได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจนประสบภาวะาขาดทุนอย่างรุนแรง แต่ในขณะเดียวกันนั่นเองธุรกิจด้านพลังงานไฟฟ้ากลับเติบโตอย่างรวดเร็วเพราะการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศฟินแลนด์ ทำให้ช่วยพยุงกิจการด้านกระดาษที่ขาดทุนอย่างสูงไว้ได้ในระดับหนึ่ง
และในปี 1918 บริษัท Finnish Rubber Works (FRW) ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำผลิตภัณฑ์ยางในประเทศฟินแลนด์และเป็นหนึ่งในลูกค้ารายสำคัญของโรงงานผลิตไฟฟ้าของโนเกียได้มาเป็นหุ้น ส่วนรายใหญ่ของโนเกียหลังจากที่โนเกียไม่สามารถรองรับการขาดทุนของธุรกิจได้จนต้องตกไปเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท FRW แทน
จากนั้นใน ปี 1922 บริษัท Cable Works ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านสายเคเบิลและสายโทรศัพท์ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Nokia group จากความสนใจของบริษัท FRW แม้จะมีความหลากหลายของธุรกิจที่รวมเข้าด้วยกันแต่โนเกียก็ยังคงผลิตสินค้าออกมาทั้ง 3 ประเภท คือกระดาษ ผลิตภัณฑ์ยาง (รองเท้ายาง ยาง รถยนต์) และสายเคเบิล โดยสินค้าทั้งหมดออกจำหน่ายในนามของโนเกีย
ยุคของอิเล็กทรอนิคกับโนเกียได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี 1977 ภายใต้การดูแลของ Kari Kairamo ประธานบริษัทซึ่งได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา แตกต่างจากรุ่นก่อนหน้านี้ที่จะมีหัวไปทางรัสเซียโดยผลิตสินค้าส่งออก คือ สายไปเคเบิล ให้กับ ประเทศรัสเซีย Kairamo นำแนวคิดแบบตะวันตกและแหวกแนวมาประยุกต์มุ่งเน้นให้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิคให้เข้ากับยุคแห่งพลังงานจนกลายมาเป็นธุรกิจหลักของโนเกียในยุคนี้เป็นต้นมาโดยผลิตโทรทัศน์และคอมพิวเตอร์ออกมาเบิกทางในตลาด ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงกับการติดอันดับผู้ผลิตโทรทัศน์รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของยุโรปเลยทีเดียว
ก้าวมาสู่ยุคแห่งการสื่อสารไร้สายในการนำของรองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการบริหารการเงิน Jorma Ollila ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานตั้งแต่ปี 1992 - 1999 และ CEO ของโนเกียในปี 1999 จนตราบถึงทุกวันนี้ด้วยแนวคิดของ Ollila ภายใต้การดูแลของ Kairamo นั้น โนเกียกับโทรศัพท์มือถือจึงได้ถือกำเนิดขึ้น
โดยในยุคแรกนั้นจะเป็น NMT Mobile Phone Standard (Nordic Mobile Telephony) หรือโทรศัพท์มือถืออนาล็อกรุ่นแรกนั่นเอง และได้รับความนิยมอย่างสูงเมื่อเผยโทรศัพท์ NMT รุ่นแรกในปี 1987 โดยมีสโลแกน "Connecting People" กับแนวคิดที่ต้องการเปิดอิสระและความต่อเนื่องในการติดต่อสื่อสาร จนกระทั่งกลายมาเป็นคำที่อยู่ในใจของผู้รักโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันกันถ้วนหน้า
ไม่นานระบบเครือข่ายที่ดีขึ้นก็เป็นที่ต้องการในสังคม โนเกียจึงพัฒนาเครือข่าย GSM ขึ้นเป็นครั้งแรกให้กับ Radiolinja บริษัทของฟินแลนด์ เมื่อปี 1989 ณ จุดนี้เองที่ Nokia 1011 บรรพบุรุษของบรรดาโทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบันได้ออกมาสู่สายตาของทุกคนเป็นครั้งแรกในปี 1992 จากนั้นโนเกียก็ได้ยึดโทรศัพท์มือถือเป็นธุรกิจหลักเป็นต้นมา
โนเกียไม่ได้ผลิตเพียงแค่โทรศัพท์มือถือเท่านั้น แต่ยังพัฒนาอุปกรณ์เสริมและเทคโนโลยีต่างๆไปพร้อมๆกันในตัว แนวคิดแรกที่ถือว่าโนเกียเป็ยผู้บุกเบิกเลยก็คือ ความสามารถในการเปลี่ยนหน้ากากซึ่งได้กลายเป็นลูกเล่นหลักของโทรศัพท์มือถือจากโนเกียในเวลาต่อมา นอกจากนี้เทคโนโลยีการสนทนาอย่าง Push-to-Talk (PTT) กับโทรศัพท์มือถือก็มาจากโนเกียอีกเช่นกัน
วันที่ 19 มิถุนายน 2006 บริษัท Siemens AG ได้เข้ารวมกับโนเกียในการพัฒนาธุรกิจเครือข่าย มุ่งหวังจะกลายเป็นบริษัทเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุด โดยมีส่วนแบ่งเท่าเทียมกันที่ร้อยละ 50 และอยู่ในนามของ Nokia Siemens Networks แต่ภายหลังทางโนเกียได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่บริษัท Siemens AG ได้ถืออยู่คืนทั้งหมดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2013 ด้วยมูลค่า 1,700 ล้านยูโร (ราวๆ 58,000 บาท) และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น Nokia Solutions and Networks (NSN)