แอนทราไซต์ (อังกฤษ: Anthracite) เป็นถ่านชนิดหนึ่ง แข็งและมีความวาวสูง มีความเป็นคาร์บอนสูงที่สุดในบรรดาถ่านทั้งหมด และให้พลังงานความร้อนสูงที่สุด แอนทราไซต์ เป็นถ่านที่แปรสภาพมากที่สุด มีปริมาณคาร์บอน 92-98% และสารเศษซากอื่นๆ 2-8% แต่จะจุดติดได้ยาก บางครั้งเรียกว่า ถ่านไบด์ (Blind coal), ถ่านคิลเคนนี (Kilkenny coal), ถ่านอีกา (Crow coal) และเพชรดำเป็นต้น แล้วแต่สถานที่ต่างๆ กันไป ส่วนถ่านแอนทราไซต์ที่มีคุณภาพต่ำเราเรียกว่า คัมล์ (Culm)
แอนทราไซต์ แยกจากถ่านอื่นโดยใช้ความแข็ง ความแข็ง ความวาว ความหนาแน่นประมาณ 1.3-1.4 มีปริมาณคาร์บอน มากกว่าสารประกอบอื่นในสัดส่วนที่มาก แอนทราไซต์แปรสภาพมาจากบีทูมินัส ความชื้นของแอนทราไซต์มีน้อยกว่า 15 % และให้ปริมาณความร้อน อยู่ในช่วง 22-28ล้าน BTU/short ton (26-33MJ/Kg) ถ้าคิดเป็นจูล (Joules) จะให้พลังงานกว่า 35 เมกะจูลต่อกิโลกรัม แอนทราไซต์ใช้ผสมกับถ่านที่คุณภาพต่ำกว่าเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าจากโรงงาน ผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำ แอนทราไซต์เป็นช่วงชั้นรอยต่อระหว่าง บีทูมีนัสกับแกรไฟต์ มีการกำจัดสารประกอบอื่นๆ ออกไปจนมีปริมาณคาร์บอนสมบูรณ์พบมากในบริเวณที่มีการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกมาก อาจนับว่าเป็นหินแปรชนิดหนึ่งก็ได้ ขณะที่บีทูมีนัสเป็นเพียงหินตะกอนเท่านั้น แอนทราไซต์เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ค่อยพบได้บ่อยนัก เมื่อเราสัมผัสก้อนถ่านแอนทราไซต์จะมีความรู้สึกได้ว่าเย็นกว่าก้อนถ่านบีทูมีนัสในขนาดเดียวกัน
แอนทราไซต์ ถูกนำมาเผาใช้ครั้งแรกบริเวณตอนใต้ของแคว้นเวลส์ในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ยุคกลาง จุดประสงค์หลักคือนำมาใช้ภายในประเทศ ส่วนในอเมริกามีการนำมาใช้ในปี ค.ศ. 1790 รัฐเพลซิลวาเนีย ซึ่งเหมืองแร่ถูกค้นพบโดยนายพรานผู้หนึ่ง การใช้ประโยชน์ส่วนใหญ่นำมาใช้ภายในบ้านเรือนโดยเป็นการให้ความร้อนความอบอุ่นเป็นจุดประสงค์หลัก โดยมีการนำแอนทราไซต์มาทดลองใช้เป็นเชื้อเพลิงความร้อนในบ้านเรือนเมื่อปี ค.ศ. 1808 ที่รัฐเพลซิลวาเนียนั่นเอง จนกระทั่งมีการคิดค้นการใช้น้ำมัน และแก๊สธรรมชาติจึงเริ่มลดการใช้ถ่านหินไป เนื่องจากแอนทราไซต์หาได้ยากขึ้นและมีราคาแพง รวมถึงการใช้พลังงานแอนทราไซต์ในการผลิตกระแสไฟฟ้ายังมีต้นทุนที่สูงขึ้นอีก ด้วยต่อมาการเผาโลหะได้มีการนำถ่านโค้กมาแทนที่ อย่างไรก็ตามถ่านแอนทราไซต์ยังมีการใช้อยู่ในปัจจุบันซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการจุดระเบิดเครื่องยนต์ ปริมาณการผลิตแอนทราไซต์ในแต่ละปีกว่า 5,000,000 ตันต่อปี แอนทราไซต์สามารถแบ่งแยกออกมาได้ตามขนาดโดยขั้นตอนแรกคือการบดและทำให้ก้อนถ่านเล็กลง จากนั้นจะไปร่อนตระแกรงเพื่อคัดขนาด มีการแยกเพื่อใช้ในเตาเผาโลหะ หรือเตาผิง จนถึงทุกวันนี้แม้ว่าแอนทราไซต์จะเป็นถ่านที่มีคุณภาพสูงที่สุด แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายๆ ประเทศถ่านแอนทราไซต์ก็เป็นพลังงานที่ต้องขออนุญาตก่อนที่จะนำมาใช้เพื่อลดมลภาวะ เนื่องจากมลพิษในหลายๆด้านที่มันก่อนั่นเอง ปัจจุบัน ในปี ค.ศ. 2008 ราคาถ่านหินแอนทราไซต์มีราคาอยู่ที่ 150USD/Short ton
เหมืองแอนทราไซต์ขนาดใหญ่เช่นในอเมริกา มีการทำเหมืองถ่านแอนทราไซต์ในรัฐเพลซิลวาเนีย มีคนงานกว่า 2,000 คน ส่วนใหญ่เป็นผลพลอยได้จากการทำเหมืองถ่านปกติ และเป็นเหมืองบนดินส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้มีการพยายามหาจุดคุ้มทุนของการทำ เหมืองแอนทราไซต์โดยเสาะหาแหล่งแอนทราไซต์ใต้ดิน
ปกติจะเกิดจากอุบัติเหตุหรือความผิดพลาดจากการทำเหมือง ยังไม่มีรายงานการติดไฟจากการทำปฏิกิริยาจากออกซิเจนด้วยตัวเอง เหมืองเก่าจะมีการปิดผนึกและฟังให้ดีไม่งั้นอาจมีถ่านที่เหลืออยู่เกิดลุกไหม้ขึ้นมาได้ ปริมาณสำรอง ในสหรัฐอเมริกามีแหล่งแอนทราไซต์ที่ใหญ่ที่สุดที่สามารถทำเชิงธุรกิจได้ อยู่ในรัฐเพลซิลวาเนีย หรือที่เรียกว่า แหล่งถ่านหินที่ปริมาณสำรองกว่า 6.3 พันล้านตัน แอนทราไซต์ที่มีอายุอ่อนเกิดในยุคเทอร์เทียรี่หรือครีเตเซียส พบบริเวณตอนเหนือของเทือกเขาร็อกกี้ในประเทศแคนาดา และพบกระจายอยู่บริเวณเทิอกเขาแอนดีสในประเทศเปรู
ชนิดของถ่านหินแอนทราไซต์จะใช้ขนาดเป็นตัวแบ่งแยกและมเป็นสำคัญโดยแบ่งเป็น Chestnut Pea Buckwheat และ Rice จากใหญ่ไปเล็กตามลำดับ Chestnut และ Rice เป็นขนาดที่นิยมใช้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเตาผิงปกติ ส่วน Buckwheat และ Rice เตาผิงอัตโนมัติ ในปัจจุบัน ถ่านหินชนิด Rice เป็นชนิดที่หาซื้อได้ง่ายที่สุดตามท้องตลาด ทางฝั่งประเทศอังกฤษในแคว้นเวลส์ มีกระบวนการนำถ่านที่ไม่ซับซ้อนมากนัก แต่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยจะมีการคัดแยกถ่านด้วยมือและมีการกำจัดไพไรต์ออกไปซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดกำมะถันจากการเผาถ่าน ฝุ่นผงแอนทราไซต์ จะนำไปทำเป็นขี้ใต้เพื่อเป็นเชื้อไฟต่อไป เราเรียกว่า ฟัวนาไซต์ (Phurnacite) อันซิต (Ancit) หรือ เทไบรต์ (Taybrite)