แนวคิดปฏิเสธเอดส์ (AIDS denialism) เป็นมุมมองของกลุ่มคนและองค์กรบางกลุ่มที่ปฏิเสธว่าเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อมหรือเอดส์ ผู้มีแนวคิดปฏิเสธบางคนปฏิเสธการมีอยู่ของเชื้อเอชไอวี ในขณะที่บางคนยอมรับว่าเชื้อนี้มีจริง แต่เป็นเชื้อไวรัสอาศัยธรรมดาที่ไม่มีอันตราย และไม่ได้ทำให้เกิดเอดส์ แม้ผู้มีแนวคิดปฏิเสธจะยอมรับว่าเอดส์เป็นโรคที่มีอยู่จริง แต่ก็จะเชื่อว่าเป็นโรคที่เกิดจากการใช้ยาเสพติด ภาวะทุพโภชนาการ ปัญหาสุขอนามัย และผลข้างเคียงจากยาต้านไวรัส แทนที่จะเกิดจากการติดเชื้อเอชไอวี
ในทางวิทยาศาสตร์นั้นถือว่าหลักฐานสนับสนุนว่าเอชไอวีเป็นสาเหตุของโรคเอดส์นั้นได้ข้อสรุปแล้วชุมชนวิทยาศาสตร์ได้ปฏิเสธและเพิกเฉยต่อข้ออ้างของเหล่าผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์จากการใช้เหตุผลที่ไม่ถูกต้อง การเลือกยกข้อมูลบางส่วนขึ้นอ้าง และการแปลผลให้เข้าใจผิดจากข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่ล้าสมัย จากการที่มีการปฏิเสธที่จะถกเถียงข้ออ้างเหล่านี้จากชุมชนวิทยาศาสตร์ ข้อมูลของผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์จึงแพร่กระจายทางอินเทอร์เน็ตเป็นหลัก
แม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากวิทยาศาสตร์ แนวคิดปฏิเสธเอดส์กลับมีผลกระทบทางการเมืองไม่น้อย โดยเฉพาะในประเทศแอฟริกาใต้ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี Thabo Mbeki นักวิทยาศาสตร์และแพทย์ได้พยายามเตือนถึงผลเสียต่อมนุษย์ที่เกิดจากแนวคิดปฏิเสธเอดส์ที่ทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่มารับการรักษาจากวิธีการรักษาที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผล นักวิจัยทางสาธารณสุขในแอฟริกาใต้และมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดต่างศึกษาผลกระทบจากแนวคิดปฏิเสธเอดส์โดยเป็นอิสระจากกัน ประมาณการว่าผลจากการยอมรับแนวคิดปฏิเสธเอดส์ของรัฐบาลแอฟริกาใต้ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเอดส์เพิ่ม 330,000 ถึง 340,000 คน ติดเชื้อเอชไอวี 171,000 คน และมีทารกแรกเกิดติดเชื้อเอชไอวี 35,000 คน
ปี ค.ศ. 1983 นักวิทยาศาสตร์และแพทย์กลุ่มหนึ่งในสถาบันปาสเตอร์ ฝรั่งเศส นำโดย Luc Montagnier ค้นพบไวรัสชนิดใหม่ชนิดหนึ่งในผู้ป่วยที่มีอาการและอาการแสดงที่มักพบนำมาก่อนเอดส์ และตั้งชื่อไวรัสนี้ว่า "lymphadenopathy-associated virus" (ไวรัสที่สัมพันธ์กับการมีพยาธิสภาพของต่อมน้ำเหลือง) หรือ LAV และได้ส่งตัวอย่างไวรัสนี้ไปให้ทีมวิจัยของ Robert Gallo ในสหรัฐอเมริกา การค้นพบนี้ได้รับการตรวจสอบโดยผู้เสมอกันและได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Science
ในปี พ.ศ. 2550 เว็บไซต์ aidstruth.org นำโดยนักวิจัยเรื่องเอชไอวีเพื่อต่อต้านคำอ้างของกลุ่มผู้มีแนวคิดปฏิเสธได้แสดงรายชื่อส่วนหนึ่งของผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์ที่เสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับโรคเอดส์ ตัวอย่างเช่น นิตยสาร Continuum ซึ่งเคยปฏิเสธการมีอยู่ของเอชไอวีและเอดส์มาตลอดต้องปิดตัวลงหลังจากบรรณาธิการของนิตยสารต่างเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ทั้งหมด ในทุกรายที่เสียชีวิตนั้น ชุมชนผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์ต่างลงความเห็นว่าเป็นการเสียชีวิตที่ไม่ทราบสาเหตุ หรือจากการใช้ยาบางอย่างโดยลับ หรือความเครียด แทนที่จะเป็นจากเอชไอวีหรือเอดส์ เช่นเดียวกันมีอดีตผู้คัดค้านที่มีเชื้อเอชไอวีหลายคนถูกขับออกจากชุมชนผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์หลังจากที่มีอาการของเอดส์และเข้ารับการรักษาด้วยยาต้านไวรัส
ในปีพ.ศ. 2551 Christine Maggiore นักเคลื่อนไหวคนหนึ่งเสียชีวิตลงด้วยวัย 52 ปี ขณะที่รับการรักษาจากแพทย์ด้วยโรคปอดบวม โดย Maggiore มีบุตรสองคน เธอเป็นผู้ก่อตั้งองค์กรเพื่อช่วยเหลือให้แม่ที่มีเชื้อเอชไอวีหลีกเลี่ยงการรับยาต้านไวรัสที่ลดความเสี่ยงของการถ่ายทอดเชื้อจากแม่สู่ลูก หลักจากบุตรสาวอายุ 3 ปีได้เสียชีวิตลงจากโรคปอดบวมที่เกิดจากเอดส์ในปี พ.ศ. 2548 แล้ว Maggiore ก็ยังเชื่ออยู่ว่าเอชไอวีไม่ใช่สาเหตุของเอดส์ และเธอกับสามีคือ Robin Scovil ฟ้อง Los Angeles County ร่วมกับคนอื่นในนามของบุตรสาวเรื่องการละเมิดสิทธิของบุตรสาวของเธอด้วยการเปิดเผยผลการชันสูตรศพที่ระบุว่าบุตรสาวเสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับเอดส์ ผลการฟ้องศาลทำให้เขตปกครองต้องจ่าย Scovill เป็นเงิน 15,000 เหรียญในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 โดยไม่ยอมรับผิด คำตัดสินของเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพของลอสแอลเจลิสว่า Eliza Jane Scovill เสียชีวิตจากโรคเอดส์ยังคงได้รับการยอมรับจากคณะลูกขุนอยู่
แม้สมาชิกชุมชนผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์จะรวมตัวกันด้วยความเข้าใจร่วมกันคือการไม่เห็นด้วยว่าเอชไอวีเป็นสาเหตุของโรคเอดส์ รายละเอียดของแนวคิดก็มีความแตกต่างกันอยู่มาก ผู้มีแนวปฏิเสธปฏิเสธจะอ้างข้อมูลหลายอย่าง เช่น เอชไอวีไม่มีจริง เอชไอวีไม่เคยได้รับการเพาะเชื้ออย่างเหมาะสม เอชไอวีไม่เป็นไปตามสมมติฐานของโคชการตรวจเอชไอวีไม่มีความแม่นยำ และแอนติบอดีต่อเอชไอวีสามารถป้องกันไวรัสไม่ให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้ สาเหตุอื่นของโรคเอดส์ที่มีการเสนอไว้มีหลายอย่างเช่น การใช้ยาเสพติด ภาวะทุพโภชนาการ รวมถึงตัวยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเองด้วย
ข้ออ้างเช่นนี้ได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วในบทความทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ชนิดที่มีการตรวจสอบโดยผู้เสมอกัน เกิดเป็นข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่ล้มล้างข้ออ้างของแนวคิดนี้อย่างชัดเจน และเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุของเอดส์จริงๆ สำหรับกรณีที่ดูสเบิร์กอ้างอิงว่ายังไม่สามารถ "แยก" เชื้อเอชไอวีออกมาได้นั้น การทำปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (PCR) หรือเทคนิกอื่นๆ สามารถแสดงให้เห็นการมีอยู่ของเชื้อไวรัสได้ และคำอ้างของแนวคิดปฏิเสธที่ว่าการตรวจเอชไอวีไม่มีความแม่นยำนั้นมาจากความเข้าใจที่ผิดหรือไม่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับวิธีการตรวจแอนติบอดีต่อเอชไอวีและการแปลผล ส่วนเรื่องของ Koch's postulate นั้น วารสาร New Scientist กล่าวว่า "ควรมีการถกเถียงตั้งแต่ความเหมาะสมของการมุ่งเอาหลักการที่คิดขึ้นสำหรับพิจารณาการติดเชื้อแบคทีเรียตั้งแต่ศตวรรษที่ยังไม่มีการค้นพบไวรัสมาใช้ในการนี้ อย่างไรก็ดี เชื้อ HIV นั้นเป็นไปตาม Koch's postulate ทุกประการ ตราบเท่าที่ไม่มีการนำหลักการนั้นไปใช้อย่างบิดเบือนจนไม่เหลือความเป็นเหตุเป็นผล" บทความเดียวกันนี้ได้อธิบายไว้ชัดเจนว่าเชื้อ HIV ตรงตาม postulate แต่ละข้ออย่างไร
ในช่วงแรกนั้นผู้มีแนวคิดปฏิเสธยกคำอ้างขึ้นว่าแนวคิดเรื่อง HIV/AIDS มีจุดอ่อนตรงที่ไม่สามารถสร้างวิธีการรักษาที่ได้ผลดีตามแนวคิดนี้ได้ อย่างไรก็ดี หลังจากมีการนำการรักษาด้วยยาต้านรีโทรไวรัสแบบได้ผลสูง (HAART) มาใช้ในช่วงกลางทศวรรษ 1990 แล้วผลปรากฏว่าจำนวนผู้รอดชีวิตจากการป่วยติดเชื้อ HIV/AIDS เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนก็ทำให้คำอ้างนี้ตกไป เพราะวิธีการรักษานี้พัฒนามาจากแนวคิดว่าด้วย HIV/AIDS โดยตรง การพัฒนาการรักษา AIDS ด้วยยาต้าน HIV ที่ได้ผลดีนี้เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่เคยมีแนวคิดปฏิเสธหลายคนยอมรับว่า HIV เป็นสาเหตุของ AIDS
ในบทความปี ค.ศ. 2010 ว่าด้วยทฤษฎีสมคบคิดทางวิทยาศาสตร์ Ted Goertzel ได้ลงรายชื่อของผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์เอาไว้เป็นตัวอย่างของการที่ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ถูกปฏิเสธด้วยแนวคิดที่ไม่มีเหตุผล เขากล่าวว่าผู้ค้านทั้งหลายอาศัยแต่เพียงข้ออ้างที่เรียกร้องความเท่าเทียม และสิทธิในการเสนอความคิดเห็น มากกว่าที่จะเสนอหลักฐานโต้แย้ง ผู้คัดค้านเหล่านี้มักยกเอาเรื่องราวของนักวิทยาศาสตร์อิสระผู้กล้าหาญต่อต้านกระแสความคิดหลักดั้งเดิม โดยยกชื่อนักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชื่อดังในอดีตอย่างกาลิเลโอขึ้นมาเปรียบเทียบ Goertzel กล่าวถึงการยกเปรียบเทียบนี้เอาไว้ว่า
...การมีแนวคิดต่อต่อต้านความคิดดั้งเดิมนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนที่ยากคือการหาทฤษฎีที่ดีกว่ามาเสนอแทนแนวคิดเก่า การตีพิมพ์ทฤษฎีใหม่ที่คัดค้านทฤษฎีเดิมนั้นจะมีความสำคัญก็ต่อเมื่อมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมารองรับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องให้คนอ่านใช้เวลาเท่ากันมาวิจารณ์ทฤษฎีที่คัดค้านทฤษฎีเก่าๆ ทุกทฤษฎี
คำอ้างของกลุ่มผู้มีแนวคิดปฏิเสธเอดส์ไม่ได้รับการสนับสนุนจากชุมชมวิทยาศาสตร์เนื่องจากหลักฐานว่าด้วยการเป็นเชื้อก่อโรคของ HIV ต่อ AIDS นั้นถือว่าชัดเจนเป็นที่สรุปแล้ว แต่การเคลื่อนไหวของกลุ่มฯ ก็ยังมีผลกระทบในวงการการเมือง ทำให้อดีตประธานาธิบดีประเทศแอฟริกาใต้อย่าง Thabo Mbeki ถึงกับยอมรับคำกล่าวอ้างของกลุ่มฯ ผลที่ตามมาทำให้รัฐบาลปฏิเสธที่จะสนับสนุนการให้การรักษาด้วยการใช้ยาต้าน HIV จนมีผู้เสียชีวิตจากเอดส์ก่อนเวลาอันควรในประเทศแอฟริกาใต้มากถึงหลายแสนคน
ความสงสัยเรื่อง HIV เป็นสาเหตุของ AIDS จริงหรือไม่เริ่มมีขึ้นแทบจะทันทีที่มีการประกาศการค้นพบ HIV ผู้ตั้งข้อสงสัยคนแรกๆ ที่มีบทบาทสำคัญคือนักข่าว John Lauritsen ซึ่งโต้แย้งเอาไว้ในบทความที่เขียนลง New York Native ว่า AIDS นั้น จริงๆ แล้ว เกิดจากเครื่องดื่มบำรุงกำลังที่มีส่วนผสมของ amyl nitrite และรัฐบาลกำลังวางแผนสมคบคิดเพื่อปิดบังเรื่องนี้