บิสมาร์ค เป็นเรือประจัญบานของเยอรมนี และหนึ่งในเรือรบที่มีชื่อเสียงที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง บิสมาร์คเป็นเรือลำแรกในเรือประจัญบานชั้นบิสมาร์ค ซึ่งตั้งตามชื่อนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ออตโต ฟอน บิสมาร์ค บิสมาร์คมีระวางขับน้ำเต็มที่ถึง 50,000 ตัน และเป็นเรือประจัญบานขนาดใหญ่ที่สุดในโลกที่เข้าประจำการในสมัยนั้น
บิสมาร์คได้ปฏิบัติการเพียงครั้งเดียวตลอดอายุการใช้งานอันสั้นของมัน โดยจมลงในตอนเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ระหว่างปฏิบัติการไรนือบุง ซึ่งบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักอีกลำหนึ่งพยายามที่จะขัดขวางและทำลายขบวนเรือซึ่งแล่นระหว่างอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักร ขณะที่บิสมาร์คและเรือรบเยอรมันอีกลำหนึ่งกำลังพยายามที่จะแล่นออกไปยังมหาสมุทรแอตแลนติก เรือรบทั้งสองถูกค้นพบโดยกองทัพเรืออังกฤษ และถูกดึงเข้าสู่ยุทธนาวีช่องแคบเดนมาร์ก ระหว่างการรบเวลาสั้น ๆ เรือลาดตระเวนประจัญบานฮู้ด เรือธงของกองเรือหลวงและความภาคภูมิใจของกองทัพเรืออังกฤษ ถูกจมลงหลังจากถูกยิงเพียงไม่กี่นาที นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์ ออกคำสั่ง "จมเรือบิสมาร์ค" ซึ่งกระตุ้นให้กองทัพเรืออังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ
สองวันถัดมา เมื่อบิสมาร์คเกือบจะไปถึงน่านน้ำที่ปลอดภัยแล้ว เครื่องบินปีกสองชั้นของกองทัพเรืออังกฤษได้ยิงตอร์ปิโดถล่มเรือและทำให้หางเสือเรือขัดของ ทำให้เรือรบหนักของอังกฤษสามารถตามทันบิสมาร์คได้ ในการรบที่เกิดขึ้นตามมาในช่วงเช้าของวันที่ 27 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 บิสมาร์คถูกโจมตีอย่างหนักเป็นเวลานานเกือบสองชั่วโมงก่อนที่จะจมลงสู่ก้นทะเล การจมของบิสมาร์คได้รับการรายงานบนหน้าแรกของหนังสือพิมพ์หลายฉบับทั่วโลก
เรือบิสมาร์คถูกสั่งสร้างภายใต้ชื่อ แอร์ซัทซ์ ฮานโนเฟอร์ (Ersatz Hannover) ภายใต้ข้อตกลง "เอฟ" เพื่อทดแทนเรือปืน เอสเอ็มเอส ฮันโนเฟอร์ (SMS Hannover) ที่จัดสร้างขึ้นก่อนเรือรบเดรดนอต ในข้อตกลงได้มอบหมายให้อู่ต่อเรือโบลมและฟอสส์ (Blohm & Voss) ในเมืองฮัมบูร์กเป็นผู้จัดสร้าง มีการวางกระดูกงูในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1936 ที่ Helgen IX เรือปล่อยลงน้ำในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ระหว่างพิธีการ โดโรเท วอน เลอเวนเฟลด (Dorothee von L?wenfeld) หลานสาวนายกรัฐมนตรีออทโท ฟอน บิสมาร์คเป็นผู้ทำพิธีตั้งเรือและปล่อยเรือลงน้ำ และมีอดอล์ฟ ฮิตเลอร์เป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ในพิธี งานปรับปรุงและติดตั้งอุปกรณ์ได้ดำเนินงานหลังการปล่อยเรือลงน้ำ ในเวลานั้น หัวเรือเดิมแบบมุมตรงได้ถูกแทนที่ด้วยหัวเรือเอียงลาดแบบแอตแลนติก (Atlantic bow) ซึ่งคล้ายกับเรือประจัญบานชั้นชันฮอร์ซท (Scharnhorst) บิสมาร์คเข้าประจำการในกองเรือวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1940 ขณะทำการแล่นเรือทดสอบ มีหน้าที่ควบคุมทะเลบอลติก โดยมีนาวาเอก (Kapit?n zur See[note 1]) แอร์นซท ลินเดมัน (Ernst Lindemann) เป็นผู้บังคับการเรือในขณะเรือเข้าประจำการ
เรือบิสมาร์คมีระวางขับน้ำมาตรฐาน 41,700 ตัน (41,000 ลองตัน[note 2]) และมีระวางขับน้ำเต็มที่ 50,300 ตัน (49,500 ลองตัน) มีความยาวตลอดลำ 251 เมตร (823 ฟุต 6 นิ้ว), กว้าง 36 เมตร (118 ฟุต 1 นิ้ว) และกินน้ำลึกสูงสุด 9.9 เมตร (32 ฟุต 6 นิ้ว) เรือบิสมาร์คเป็นเรือประจัญบานเยอรมันที่ใหญ่ที่สุด และมีระวางขับน้ำมากกว่าเรือประจัญบานของชาติอื่นๆ ในยุโรป ยกเว้นเรือ เอชเอ็มเอส แวนการ์ด (HMS Vanguard) เรือมีแหล่งกำลังเป็นกังหันไอน้ำโบลมและฟอสส์แบบเปลี่ยนเกียร์ได้ 3 กังกัน และหม้อไอน้ำความร้อนยวดยิ่งวักเนอร์ (Wagner) ซึ่งใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง 12 หม้อ ให้กำลังถึง 150,170 แรงม้า (shaft horsepower) (111,980 กิโลวัตต์) ให้ความเร็วสูงสุด 30.01 นอต (55.58 กม./ชม.; 34.53 ไมล์/ชม.) ในตอนแล่นทดสอบ มีระยะทำการ 8,870 ไมล์ทะเล (16,430 กม.; 10,210 ไมล์) ที่ความเร็ว 19 นอต (35 กม./ชม.; 22 ไมล์/ชม.) เรือบิสมาร์คติดตั้งเรดาร์ค้นหา FuMO 23 สามชุด ติดไว้ด้านหน้าเรือ กล้องวัดระยะท้ายเรือ และยกพื้นที่อยู่ส่วนบนสุดของเสาหน้ากระโดงเรือ
ตามมาตรฐานของเรือ เรือจะมีลูกเรือเป็นนายทหาร 103 นาย และพลทหาร 1,962 นาย ลูกเรือจัดแบ่งเป็น 12 กองพล กองพลละ 180 ถึง 220 นาย หกกองพลแรกรับผิดชอบอาวุธยุทธภัณฑ์ กองพลที่ 1 ถึงกองพลที่ 4 ดูแลหมู่ปืนหลักและหมู่ปืนรอง กองพลที่ห้าและหกรับผิดชอบปืนต่อต้านอากาศยาน กองพลที่ 7 ประกอบด้วยผู้ชำนาญเฉพาะทางซึ่งรวมถึงพ่อครัวและช่างไม้ กองพลที่ 8 มีหน้าที่ดูแลจัดการอาวุธยุทธภัณฑ์ พนักงานวิทยุ เจ้าหน้าที่ให้สัญญาณ และเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายพลาธิการ ประจำกองพลที่ 9 สามกองพลสุดท้ายประจำในห้องเครื่องยนต์ เมื่อบิสมาร์คออกจากท่า เรือจะมีลูกเรือมากกว่า 2,200 นาย เพราะจะนับรวมพนักงานกองเรือ ลูกเรือที่มีหน้าที่นำส่งเรือเชลย และนักข่าวสงครามบนเรือด้วย พนักงานห้องเครื่องยนต์ราว 200 นายมาจากเรือลาดตระเวนเบาคาร์ลซรู (Karlsruhe) ที่สูญเสียไประหว่างปฏิบัติการเวเซรือบุง (Operation Weser?bung) ซึ่งเป็นปฏิบัติการการรุกรานนอร์เวย์ของเยอรมัน
เรือบิสมาร์คติดอาวุธปืน SK C/34 ลำกล้อง 38 ซม. แปดกระบอกในป้อมปืนแฝด 4 ป้อม ป้อมปืนติดตั้งแบบซูปเปอร์ไฟร์อิ้ง (super-firing[note 3]) ป้อมปืนหน้าชื่อ "อันทอน (Anton)" และ "บรูโน (Bruno)" ป้อมหลังชื่อ "เคซาร์ (Caesar)" และ "โดรา (Dora)"[note 4] อาวุธรองประกอบด้วยปืน L/55 ลำกล้อง 15 ซม. 12 กระบอก ปืน L/65 ลำกล้อง 10.5 ซม. 16 กระบอก ปืน L/83 ลำกล้อง 3.7 ซม. 16 กระบอก และปืนต่อสู้อากาศยาน ลำกล้อง 2 ซม. 12 กระบอก เรือบิสมาร์คยังบรรทุกเครื่องบินทุ่นลอยน้ำลาดตระเวนอาราโด อาแอร์ 196 (Arado Ar 196) โรงเก็บเครื่องบินขนาดใหญ่ และเครื่องดีดแบบหัวท้ายเหมือนกัน (double-ended catapult) เกราะข้างหนา 320 มม. (13 นิ้ว) และปกคลุมโดยเกราะคู่ส่วนบนและเกราะหลักของดาดฟ้าเรือหนา 50 มม. (2.0 นิ้ว) และ 100 ถึง 120 มม. (3.9 ถึง 4.7 นิ้ว) ตามลำดับ ป้อมปืนหลักได้รับการปกป้องด้วยเกราะหนา 360 มม. (14.2 นิ้ว) บริเวณด้านหน้า และหนา 220 มม. (8.7 นิ้ว) บริเวณด้านข้าง
วันที่ 15 กันยายน ค.ศ. 1940 สามสัปดาห์หลังเข้าประจำการ เรือบิสมาร์คออกจากฮัมบูร์กเพื่อเริ่มแล่นเรือทดสอบในอ่าวคีล (Kiel Bay) เรือซแพร์แบร์เชอร์ (Sperrbrecher) 13 ได้ทำหน้าที่คุ้มกันเรือเดินทางไปแหลมอาร์โคนา (Cape Arkona) ในวันที่ 28 กันยายน แล้วจึงไปถึงเมืองโกเทนฮาเฟน (Gotenhafen) เพื่อแล่นเรือทดสอบในอ่าวดันซิก (Gulf of Danzig) โรงไฟฟ้าของเรือได้รับการทดสอบอย่างละเอียด มีการปรับการวัดไมล์ทะเลให้ถูกต้องแม่นยำ และการแล่นเรือความเร็วสูง ขณะที่ความเสถียรและการจัดการกลยุทธ์ที่เริ่มทดสอบ พบว่ามีข้อบกพร่องในการออกแบบ ขณะที่ความพยายามที่จะคัดท้ายเรือด้วยคนเพียงลำพังด้วยการพัฒนาปรับเปลี่ยนการพัฒนาใบจักรเรือ ลูกเรือเรียนรู้ว่าการปฏิบัตินั้นด้วยตัวคนเดียวปฏิบัติยากมาก แม้ว่า สกรูท้ายเรือจะทำงานเต็มกำลังในทิศตรงข้าม แต่ก็เพิ่มความสามารถในการเลี้ยวเพียงเล็กน้อย หมู่ปืนเรือหลักทำการทดสอบยิงครั้งแรกปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจากการทดสอบพบว่าเรือเป็นแท่นปืนใหญ่ที่มีความเสถียรมาก เรือได้แล่นทดสอบจนถึงเดือนธันวาคม บิสมาร์คได้เดินทางกลับไปถึงฮัมบูร์กในวันที่ 9 ธันวาคม สำหรับการปรับเปลี่ยนอีกเล็กน้อยและการติดตั้งอุปกรณ์ที่จำเป็นให้สมบูรณ์
เรือบิสมาร์คมีแผนเดินทางกลับคีลในวันที่ 24 มกราคม ค.ศ. 1941 แต่มีเรือสินค้าอับปางในคลองคีลส่งผลให้ใช้ทางน้ำไม่ได้ สภาพอากาศที่เลวร้ายได้ขัดขวางการกู้ซากเรือที่จมลง เรือบิสมาร์คจึงเดินทางกลับคีลไม่ได้จนกระทั่งเดือนมีนาคม ความล่าช้าสร้างความผิดหวังให้แก่ลินเดมันเป็นอย่างมาก เขากล่าวว่า "เรือบิสมาร์คติดอยู่ที่ฮัมบูร์กถึงห้าสัปดาห์... เวลาอันมีค่าที่จะล่องเรือในทะเลสูญเสียไปด้วยเหตุที่ไม่ได้ก่อขึ้น และเป็นความล่าช้าอย่างมีนัยยะในการเคลื่อนกำลังในขั้นสุดท้ายด้วยเหตุซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้" ขณะที่รอให้เดินทางไปถึงคีล เรือบิสมาร์คเป็นที่รับรองเรือเอกแอนเดอร์ ฟอร์เชลล์ (Anders Forshell) ผู้ช่วยทูตกองทัพเรือสวีเดนไปยังเบอร์ลิน เขากลับไปยังสวีเดนพร้อมรายละเอียดลักษณะของเรือ และได้เผยความลับนี้กับอังกฤษ โดยทหารที่สนับสนุนอักฤษในกองทัพเรือสวีเดน ข้อมูลถูกจัดเตรียมไว้ให้กองทัพเรืออังกฤษกับรายละเอียดแรกทั้งหมดของเรือ แม้ว่าจะขาดลักษณะจำเพาะที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วยความเร็วสูงสุด, ระยะทำการ, และระวางขับน้ำ
วันที่ 6 มีนาคม เรือบิสมาร์คได้รับคำสั่งแล่นเรือไปคีล โดยมีเครื่องบินขับไล่เมสเซอร์ชมิท เบเอฟ 109 (Messerschmitt Bf 109) จำนวนหลายลำ และเรือสินค้าติดอาวุธจำนวน 2 ลำทำหน้าที่คุ้มกันระหว่างเส้นทาง พร้อมเรือตัดน้ำแข็ง เมื่อเวลา 08:45 น. วันที่ 8 มีนาคม บิสมาร์คได้เกยตื้นที่ชายฝั่งด้านใต้ของคลองคีลเป็นเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะหลุดออกมาใต้ภายในหนึ่งชั่วโมง เรือเดินทางถึงคีลในวันถัดมา ลูกเรือได้ทำการกักตุนอาวุธยุทธภัณฑ์ เชื้อเพลิง และเสบียงอื่นๆ และดำเนินการพรางเรือด้วยลายพรางแบบแดซเซิล (dazzle paint) วันที่ 12 มีนาคม เครื่องบินทิ้งระเบิดของอังกฤษได้เข้าโจมตีท่าเรือแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ วันที่ 17 มีนาคม เรือประจัญบานเก่า เอสเอ็มเอส เชลซีน (SMS Schlesien) ซึ่งปัจจุบันดัดแปลงเป็นเรือตัดน้ำแข็ง คุ้มกันฝ่าน้ำแข็งไปถึงเมืองโกเทนฮาเฟน เพื่อฝึกความพร้อมในการรบ
กองบัญชาการสูงสุดกองทัพเรือ (Oberkommando der Marine หรือ OKM) ซึ่งบัญชาการโดยพลเรือเอกเอริช เรเดอร์ (Erich Raeder) มีเป้าหมายที่จะคงภารกิจที่ใช้เรือขนาดหนักโจมตีเส้นทางการค้าของฝ่ายสัมพันธมิตรในมหาสมุทรแอตแลนติกต่อไป เรือประจัญบานชั้นชาร์นฮอร์ชต (Scharnhorst) สองลำที่ประจำอยู่ที่เมืองแบรสต์ (Brest) ประเทศฝรั่งเศส เป็นหัวหอกหลักในการโจมตีในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเวลานั้นปฏิบัติการเบอร์ลิน (Operation Berlin) เพิ่งจบลง เรือเทียร์พิตส์ซึ่งเรือพี่น้องของเรือบิสบาร์คถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว เรือบิสมาร์คและเรือเทียร์พิตส์เข้าโจมตีเข้าไปในเขตศัตรูจากทะเลบอลติกและนัดพบกับเรือชั้นชาร์นฮอร์ชตทั้งสองลำในแอตแลนติก ปฏิบัติการมีแผนเริ่มดำเนินการประมาณวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 1941 ในช่วงเดือนมืดซึ่งจะทำให้ปัจจัยแวดล้อมช่วยอำนวยประโยชน์
การจัดสร้างและติดตั้งอุปกรณ์บนเรือเทียร์พิตส์เสร็จสมบูรณ์ล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ อย่างไรก็ตามเรือยังคงไม่ขึ้นระวางจนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ และเรือยังไม่พร้อมเข้าทำการรบจนกระทั่งปลายปี ด้วยสถานการณ์ที่ซับซ้อน เรือประจัญบานไกเซเนา (Gneisenau) ได้รับความเสียหายจากตอร์ปิโดขณะอยู่ในแบรสต์และจากระเบิดขณะอยู่ในอู่แห้ง เรือประจัญบานชาร์นฮอร์ชต (Scharnhorst) ต้องการยกเครื่องหม้อไอน้ำเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการเบอร์ลิน ระหว่างการยกเครื่อง คนงานพบว่าหม้อไอน้ำมีสภาพเลวร้ายกว่าที่คาด เรือต้องถอนตัวจากแผนการโจมตี การโจมตีของเครื่องบินทิ้งระเบิดที่คลังสรรพาวุธในคีลทำให้เกิดความล่าช้าในการซ่อมแซมเรือลาดตระเวนหนักพลเรือเอกเชร์ (Admiral Scheer) และพลเรือเอกฮิพเพอร์ (Admiral Hipper) เรือทั้งสองไม่พร้อมที่จะปฏิบัติการไปจนถึงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคม พลเรือเอกกึนเธอร์ ลึทเจนต์ นายทหารซึ่งได้รับเลือกเป็นผู้นำปฏิบัติการ ปรารถนาถ้ายืดเวลาปฏิบัติการออกไปอีกอย่างน้อยจนกว่าเรือชาร์นฮอร์ชตหรือเรือเทียร์พิตส์จะพร้อม แต่กองบัญชาการสูงสุดกองทัพเรือตัดสินใจที่จะดำเนินการปฏิบัติการชื่อรหัส ปฏิบัติการไรนือบุง ต่อไป ซึ่งกองเรือประกอบด้วยบิสมาร์คและเรือลาดตระเวนหนักพรินซ์ออยเกน (Prinz Eugen) เท่านั้น
ถึงแม้ว่ากองเรือขนาดใหญ่ของเยอรมันจะประสบปัญหาและไม่พร้อมออกทะเลก็ตาม แต่ฝ่ายเสนาธิการทหารเรือเยอรมันก็เร่งรัดให้รีบส่งกองเรือขนาดใหญ่ออกตีกองเรือสัมพันธมิตรในแอตแลนติกให้ได้ เหตุเพราะว่า จากการต่อตีกองเรือของอังกฤษที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ของอังกฤษย่ำแย่อย่างหนัก ทำให้ฝ่ายอังกฤษมีการนำเรือรบมาคุ้มกันเรือลำเลียงมากขึ้น และฝ่ายเยอรมัน ก็ได้กลัวว่า หากสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมสงคราม จะทำให้ปฏิบัติการทางทะเลของเยอรมันยิ่งประสบความลำบาก เยอรมันจึงควรส่งกองเรือขนาดใหญ่ออกปฏิบัติการกดดันการลำเลียงทางทะเลของอังกฤษอย่างต่อเนื่อง ฝ่ายเยอรมันจึงต้องส่ง บิสมาร์ค ออกปฏิบัติการต่อตีกองเรือผิวน้ำอังกฤษ ตั้งแต่แอตแลนติกเหนือไปจนถึงเส้นศูนย์สูตร ร่วมกับกองเรือดำน้ำ และเพื่อเป็นการหลอกล่อกองเรือคุ้มกันของอังกฤษให้ไล่ตามบิสมาร์ค เพื่อเปิดโอกาสให้เรือดำน้ำและเรือผิวน้ำของฝ่ายเยอรมันสามารถโจมตีกองเรือลำเลียงได้ วันที่22เมษายน 1941 พลเรือเอก ลึทเจนต์ ได้ร่างแผนปฏิบัติการในชื่อ ยุทธการ "ไรนบุง" แต่ว่า เรือที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการอื่นๆ ได้แก่ ทีร์ปีตส์ กไนส์เนาส์ และ ชาร์นฮอร์สต์ ล้วนไม่พร้อมปฏิบัติการทั้งสิ้น แม้แต่เรือลาดตะเวณหนัก ปริ๊นซ์ ออยเกิน ยังชนทุ่นระเบิดได้รับความเสียหาย ต้องทำการซ่อมแซม พลเรือเอกลึทเจนต์ ได้หารือกับจอมพลเรือเรเดอร์ ผู้บรรชาการทหารเรือเยอรมัน ให้เลื่อนแผนปฏิบัติการออกไป จนกว่า ทีร์ปีตส์ หรือ ชาร์นฮอร์สต์ จะพร้อมปฏิบัติการ แต่เรเดอร์ ยังคงให้ทำตามแผนที่วางไว้ต่อไป กำหนดออกเรือของบิสมาร์ค คือวันที่16พฤษภาคมจากเดิมคือวันที่14 เพื่อซ่อมแซมเคนกราบซ้ายที่ชำรุด และจะเริ่มแผนยุทธการไรนบุง ในวันที่18พฤษภาคม 1941
ในวันที่ 24 พฤษภาคม 1941 เรือทั้ง 2 ลำ ถูกฝั่งอังกฤษตรวจจับได้ ขณะอยู่ในบริเวณสแกนดิเนเวียทำให้อังฤกษส่งเรือรบเรือประจัญบานลำใหม่ เอชเอ็มเอส ปรินส์ออฟเวลส์ เรือลาดตระเวนประจัญบานลำเก่า ฮู้ดออกไปดักโจมตีที่ช่องแคบเดนมาร์ก เวลาประมาณ 05:30 น. ของวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม กองเรือเยอรมันได้เดินทางมาถึงช่องแคบเดนมาร์ก ไฮโดรโฟนของพรินซ์ออยเกนตรวจพบเรือสองลำทางกราบซ้าย แต่โชคยังเป็นของอังกฤษ เมื่อผู้บังคับการเรือปรินส์ออฟเวลส์ได้สังเกตเห็นถึงความผิดพลาดและทำการเปลี่ยนเป้าหมาย ฮอลแลนด์ได้รับคำสั่งแก้ไขเป้าหมายแต่คำสั่งนั้นกลับไปไม่ถึงพลปืนของฮู้ดก่อนที่จะได้ยิงตับแรกออกไป ฮู้ดได้ยิงกระสุนนัดแรกในยุทธนาวีเมื่อเวลา 05.52 น.ในเวลารุ่งอรุณ และตามติดด้วยพรินซ์ออฟเวลส์ ระยะห่างจากเรือฝ่ายเยอรมันในตอนนั้นประมาณ 12.5 ไมล์ (20.1 กม.) การยิงตับแรกของฮู้ด กระสุนตกใกล้กับพรินซ์ออยเกน ทำให้เกิดความเสียหายเล็กน้อยใกล้กับป้อมปืนท้าย
นานกว่า 2 นาทีที่ไม่มีการยิงตอบโต้จากกองเรือเยอรมัน ก่อนที่ผู้บังคับการเรือ ลินเดอมันน์ (Lindemann) จะสั่งให้ยิงตอบโต้ไปยังเรือธงของอังกฤษ ซึ่งก็คือเรือฮู้ดโดยเยอรมันสามารถระบุบได้เมื่อกองเรือรบอังกฤษได้ทำการเปลี่ยนทิศทางไปยังเรือฮู้ดเมื่อเวลา 05.55 น. กลยุทธ์นี้จะใช้เมื่อเรือพยายามจัดวางตำแหน่งของตนเองให้อยู่ในโซนคุ้มกัน เมื่ออยู่ในโซนดังกล่าวแล้วเรือจะสามารถยิงมุมสูงได้ (ยิงทำลายดาดฟ้าเรือ) และการยิงตรงของเรือศัตรูจะไม่ค่อยได้ผล แต่เมื่อพิจารณาแล้ว ฮู้ดก็ยังคงมีจุดอ่อนเล็กน้อยและการควบคุมการยิงของเยอรมันยังเหนือกว่านิดหน่อย นอกจากนี้ยังมีข้อเสียคือ ในระหว่างการแล่นเรือปืนใหญ่ 8 กระบอกจาก 18 กระบอกไม่สามารถยิงสนับสนุนได้
การอับปางของเรือลำนี้เกิดขึ้นหลังการปฏิบัติการไรนือบุง นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร วินสตัน เชอร์ชิลล์ ออกคำสั่ง "จมเรือบิสมาร์ค" ซึ่งกระตุ้นให้กองทัพเรืออังกฤษติดตามเรือบิสมาร์คไปอย่างไม่ลดละ และในระหว่างที่เรือกำลังกลับจากปฏิบัติการนี้ เวลา 09:02 am เครื่องบินรบอังกฤษได้ระดมยิงตอร์ปิโดจำนวนมาก ทำให้เจ้าหน้าที่เรือเสียชีวิตกันมากมาย และหางเสือเรือทรงตัวไม่ได้ และเรือรบ 4 ลำของอังกฤษ ได้ยิงปืนใหญ่ถล่มเรือ Bismarck จนเรือเสียหายอย่างรุนแรง และในที่สุดเวลา 10:20 am เรือก็อับปางลง พร้อมชีวิตของเจ้าหน้าที่เรือ 2,200 ชีวิต มีเพียง 114 ชีวิตเท่านั้นที่รอดมาได้
อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ชื่อ "FOOTNOTECampbell.2C_.22Naval_Weapons_of_World_War_II.22219" ซึ่งนิยามใน <references> ไม่ถูกใช้ในข้อความก่อนหน้า