เบอร์ลิน (เยอรมัน: Berlin แบร์ลีน) เป็นเมืองหลวงและรัฐหนึ่งในสิบหกรัฐสหพันธ์ของประเทศเยอรมนี มีประชากร 3.4 ล้านคนในเขตเมือง มากที่สุดในเยอรมนี และมากเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป เป็นศูนย์กลางของเขตนครหลวงเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์ก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี มีประชากรในเขตนครหลวงรวม 5 ล้านคนจาก 180 ชาติ มากเป็นอันดับเก้าในสหภาพยุโรป
เบอร์ลินเป็นหนึ่งในศูนย์กลางที่มีอิทธิพลที่สุดของยุโรป ในด้านการเมือง วัฒนธรรม สื่อสารมวลชน และวิทยาการ เป็นศูนย์กลางที่สำคัญของการคมนาคมทางอากาศและทางรางของทวีป พื้นฐานเศรษฐกิจของเมืองคือธุรกิจบริการอันหลากหลาย ซึ่งประกอบไปด้วย อุตสาหกรรมการสร้างสรรค์ บริษัทด้านสื่อ การบรีการสิ่งแวดล้อม ศูนย์การประชุมและแสดงสินค้า เบอร์ลินมีนักท่องเที่ยวมากเป็นอันดับสามของยุโรป อุตสาหกรรมอื่น ๆ รวมถึง วิศวกรรมจราจร ออปโตอิเล็กทรอนิกส์ ไอที อุตสาหกรรมยานยนต์ สุขภาพ วิศวกรรมชีวการแพทย์ และเทคโนโลยีชีวภาพ
มหานครแห่งนี้เป็นบ้านของมหาวิทยาลัย สถาบันวิจัย การแข่งขันกีฬา ออร์เคสตรา พิพิธภัณฑ์ และบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลกจำนวนมาก ภูมิทัศน์นครและมรดกทางประวัติศาสตร์ของเบอร์ลินทำให้มันนิยมถูกใช้เป็นฉากสำหรับการถ่ายทำภาพยนตร์ นครแห่งนี้มีชื่อเสียงในเรื่องเทศกาล สถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ศิลปะร่วมสมัย ศิลปะแนวทดลอง (อาวองการ์ด) ชีวิตกลางคืน และคุณภาพชีวิต ในระหว่างทศวรรษที่ผ่านมาเบอร์ลินได้วิวัฒน์ไปสู่จุดรวมของปัจเจกชนและศิลปินหนุ่มสาวมากมายหลากหลายชาติจากทั่วโลก ที่ถูกดึงดูดด้วยวิถีชีวิตแบบเสรีและจิตวิญญาณแห่งกาลเวลาสมัยใหม่ (modern zeitgeist)
เบอร์ลินตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรีและฮาเฟลทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี ห้อมล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก มีพื้นที่ 891.75 ตารางกิโลเมตร ในสมัยก่อน เบอร์ลินเคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบรานเดนบวร์กก่อนจะแยกการปกครองออกเป็นนครรัฐต่างหากรัฐหนึ่ง
ชื่อ Berlin ซึ่งออกเสียงในภาษาอังกฤษว่า /b??l?n/ และในภาษาเยอรมันว่า /b???li?n/ (วิธีใช้?ข้อมูล) นั้นไม่ทราบแหล่งที่มา แต่อาจเกี่ยวข้องกับหน่วยคำภาษาโปลาเบียนเก่า berl-/birl- ซึ่งหมายถึง "หนองน้ำ"
เบอร์ลินได้รับการบันทึกในประวัติศาสตร์ครั้งแรกเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 13 โดยได้เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรปรัสเซีย (ตั้งแต่ ค.ศ. 1701), จักรวรรดิเยอรมัน (ค.ศ. 1871-1918), สาธารณรัฐไวมาร์ (ค.ศ. 1919-1932) และจักรวรรดิที่สาม (ค.ศ. 1933-1945)
สงครามสามสิบปีระหว่าง ค.ศ. 1618 และ 1648 ทำให้เบอร์ลินได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง บ้านเรือนหนึ่งในสามเสียหาย และประชากรลดเหลือครึ่งเดียวเฟรเดอริก วิลเลียม “เจ้าชายผู้ยิ่งใหญ่” ซึ่งสืบอำนาจเป็นผู้ปกครองต่อจาก จอร์จ วิลเลียม ผู้บิดาใน ค.ศ. 1640 ได้ริเริ่มนโยบายส่งเสริมการอพยพย้ายถิ่นและเสรีภาพในการนับถือศาสนา ด้วยกฤษฎีกาแห่งพอทสดัม (Edict of Potsdam) ใน ค.ศ. 1685 เฟรเดอริกได้เสนอที่ลี้ภัยให้กับพวกฮิวเกอโนต์ซึ่งเป็นพวกโปรเตสแตนท์ชาวฝรั่งเศส ฮิวเกอโนต์มากกว่า 15,000 คนได้มายังบรานเดนบวร์ก ในจำนวนนั้น 6,000 คนตั้งถิ่นฐานในเบอร์ลิน ใน ค.ศ. 1700 ประมาณร้อยละยี่สิบของผู้อยู่อาศัยในเบอร์ลินเป็นชาวฝรั่งเศส และอิทธิพลทางวัฒนธรรมของพวกเขาแก่เมืองนั้นมีมหาศาล ผู้อพยพอื่น ๆ จำนวนมากมาจากโบฮีเมีย โปแลนด์ และซาลซ์บูร์ก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองเบอร์ลินถูกแยกเป็นสองส่วน ระหว่างปี พ.ศ. 2492-2533 คือ เบอร์ลินตะวันออก และ เบอร์ลินตะวันตก ฝั่งตะวันออกปกครองโดยสหภาพโซเวียต ส่วนฝั่งตะวันตกปกครองโดย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส โดยในช่วงแรก การแบ่งเขตเป็นไปอย่างไม่เคร่งเครียดนัก ประชาชนของทั้งสองฝั่งสามารถไปมาหาสู่กันได้ จนกระทั่งสงครามเย็นถึงจุดตึงเครียด รัฐบาลเบอร์ลินตะวันออกได้สร้างกำแพงเบอร์ลินขึ้นเมื่อ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2504 ล้อมรอบเบอร์ลินตะวันตก ตัดขาดสองฝั่งของเมืองออกจากกันอย่างสิ้นเชิง
ช่วงที่เยอรมนียังถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ ประเทศเยอรมนีตะวันออกถือเอาเบอร์ลินตะวันออกเป็นเมืองหลวงของตน (แต่ไม่ได้รับการยอมรับจากชาติพันธมิตรตะวันตก) ส่วนเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีตะวันตกคือบอนน์ (และโดยฐานะอย่างเป็นทางการแล้ว เบอร์ลินตะวันตกก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเยอรมนีตะวันตก) หลังจากการรวมประเทศเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เบอร์ลินก็กลับมาเป็นเมืองหลวงของประเทศเยอรมนีอีกครั้งหนึ่ง
เบอร์ลินตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของเยอรมนี ประมาณ 70 กม. (44 ไมล์) ทางตะวันตกของพรมแดนโปแลนด์ ภูมิประเทศของเบอร์ลินนั้นถูกกัดเซาะให้เป็นอย่างปัจจุบันโดยธารน้ำแข็งระหว่างยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด ใจกลางเมืองทอดตัวตามแนวแม่น้ำสปรี ในหุบเขาธารน้ำแข็งโบราณเบอร์ลิน-วอร์ซอ (Berlin-Warsaw Urstromtal) ซึ่งก่อตัวโดยน้ำที่ไหลละลายจากธารน้ำแข็งในตอนสิ้นสุดยุคน้ำแข็งครั้งล่าสุด
หุบเขาธารน้ำแข็งโบราณดังกล่าวทอดตัวระหว่างที่ราบสูงบาร์นิมตอนล่าง (low Barnim) ไปทางเหนือ และที่ราบสูงเทลโทว์ (Teltow) ไปทางใต้ แม่น้ำสปรีบรรจบกับแม่น้ำฮาเฟล ที่เขตสปันเดา ทางตะวันตกสุดของเบอร์ลิน โดยไหลจากทางตอนเหนือไปทางตอนใต้ผ่านเบอร์ลินตะวันตก เส้นทางของแม่น้ำฮาเฟลนั้นเหมือนกับทะเลสาบที่เชื่อมกัน โดยแห่งที่ใหญ่ที่สุดคือ ทะเลสาบเทเกเลอร์เซ (Tegeler See) และ โกรซเซอร์วานเซ (Gro?er Wannsee) มีชุดทะเลสาบจำนวนหนึ่งไหลสู่แม่น้ำสปรีตอนบนเช่นกัน โดยไหลผ่านทะเลสาบโกรซเซอร์มึงเกิลเซ (Gro?er M?ggelsee) ในเบอร์ลินตะวันออก
หน้าตาของนครเบอร์ลินในปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากบทบาทนำของมันในประวัติศาสตร์เยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 20 รัฐบาลแห่งชาติแต่ละชุดล้วนตั้งอยู่ในเมืองแห่งนี้ — จักรวรรดิเยอรมัน ค.ศ. 1871, สาธารณรัฐไวมาร์, นาซีเยอรมนี, เยอรมนีตะวันออก และเยอรมนีในปัจจุบันที่รวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง — ได้ริเริ่มโครงการก่อสร้างอันทะเยอทะยานมากมาย แต่ละโครงการล้วนมีคุณลักษณะโดดเด่นในตัวเอง เบอร์ลินถูกทำลายอย่างหนักจากการทิ้งระเบิดหลายครั้งระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง อาคารเก่าหลายหลังที่รอดพ้นจากการทิ้งระเบิดดังกล่าวได้ถูกรื้อถอนในคริสต์ทศวรรษที่ 1950 และ 1960 ทั้งในฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก การรื้อถอนดังกล่าวจำนวนมากริเริ่มโดยโครงการสถาปัตยกรรมระดับเทศบาล เพื่อสร้างย่านที่พักอาศัยหรือย่านธุรกิจและถนนสายหลัก ประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเหมือนของเบอร์ลินได้ก่อร่างสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์อันน่าตื่นตาของเมืองแห่งนี้
ในฝั่งตะวันออก เราจะพบอาคาร "พลาทเทนเบา" (Plattenbau เป็นอาคารที่ส่วนต่าง ๆ ถูกสร้างสำเร็จจากที่อื่นและถูกขนมาประกอบ ณ ที่ก่อสร้าง) จำนวนมาก ซึ่งหวนให้นึกถึงความทะเยอทะยานของโลกตะวันออก (Eastern Bloc) ที่จะสร้างบริเวณที่พักอาศัยอันสมบูรณ์แบบ ด้วยสัดส่วนคงที่ของร้านค้า สถานเลี้ยงเด็ก และโรงเรียน
ความต่างเล็กน้อยระหว่างฝั่งตะวันออกเดิมและฝั่งตะวันตกเดิมอีกอย่างก็คือการออกแบบตัวคนสีเขียวสีแดงในไฟจราจรที่ทางข้ามถนน (อัมเพิลแมนเชน Ampelm?nnchen ในภาษาเยอรมัน); แบบของฝั่งตะวันออกนั้นถูกคงเอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง ในระหว่างการเปลี่ยนสัญญาณจราจรทั่วเยอรมนีให้เป็นแบบเดียวกันหมดภายหลังการรวมประเทศ อัมเพิลแมนเชนแบบตะวันออกนั้นในปัจจุบันถูกใช้ในฝั่งตะวันตกของเมืองเช่นกัน
อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีของเบอร์ลินอยู่ที่ 9.4 ?C และมีระดับน้ำฝนเฉลี่ยทั้งปีที่ 578 มม. เดือนที่อุ่นที่สุดคือมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม โดยมีอุณหภูมิระหว่าง 16.7 ถึง 17.9 ?C และหนาวที่สุดในเดือนธันวาคม มกราคม และกุมภาพันธ์ ระหว่าง ?0.4 ถึง 1.2 ?C พื้นที่สิ่งปลูกสร้างของเบอร์ลินนั้นสร้างสภาพอากาศประจำถิ่น (ไมโครไคลเมต) ความร้อนจะถูกกักเก็บไว้ในอาคารต่าง ๆ อุณหภูมิในเมืองอาจสูงกว่าบริเวณรอบ ๆ อยู่ 4 ?C ตามระบบแบ่งภูมิอากาศแบบเคิปเปน สภาพอากาศของเบอร์ลินเป็นแบบภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น (Cfb)
หอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ม (Fernsehturm) ที่อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ ในเขตมิทเทอ สูง 368 เมตร เป็นอาคารที่สูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป สร้างในปี ค.ศ. 1969 เราสามารถมองเห็นหอนี้ได้จากเกือบทุกเขตศูนย์กลางของเมือง ในหอที่ระดับความสูง 204 เมตร มีชั้นสังเกตการณ์มุมสูงซึ่งเราสามารถชมทิวทัศน์ของเมืองได้ จากตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของถนน คาร์ล มาร์กซ์ อัลลี (Karl-Marx-Allee) ซึ่งทอดตัวไปทางทิศตะวันออก ตามแนวถนนนี้เป็นอาคารที่อยู่อาศัยที่เตือนให้ระลึกอดีต อาคารเหล่านี้ออกแบบในแนวคลาสสิกสังคมนิยม (Socialist Classicism Style) ของยุคสตาลิน ติดกับพื้นที่หอโทรทัศน์นั้นคืออาคารที่ว่าการเมือง มีชื่อว่า Rotes Rathaus (ที่ว่าการเมืองสีแดง) ซึ่งโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอิฐแดงของมัน ด้านหน้าของที่ว่าการเมืองมีน้ำพุเนปจูน Neptunbrunnen ซึ่งเป็นน้ำพุที่ประดับด้วยฉากจากตำนานเทพปกรณัม
อีสท์ไซด์แกลลอรี (East Side Gallery) เป็นนิทรรศการกลางแจ้งของงานศิลปะที่วาดลงไปโดยตรงบนส่วนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ของกำแพงเบอร์ลิน มันเป็นหลักฐานของการแบ่งแยกเมืองในสมัยก่อนที่ยังหลงเหลืออยู่ชิ้นใหญ่ที่สุด มันเพิ่งจะบูรณะเสร็จเมื่อไม่นานมานี้
เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 ยูเนสโกได้ประกาศให้โครงการที่พักอาศัยแนวสมัยใหม่นิยมในเบอร์ลินหกแห่งเป็นมรดกโลก กลุ่มอาคารที่พักอาศัยดังกล่าวสร้างขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ช่วงปี ค.ศ. 1913 - 1934 ในสมัยสาธารณรัฐไวมาร์ กลุ่มอาคารซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกอาวองการ์ด บรูโน เทาต์ มาร์ติน วากเนอร์ วอลเตอร์ โกรเปียส และ ฮันส์ ชาเราน์ เหล่านี้ ได้กลายเป็นตัวแบบของที่พักเพื่อสังคม ซึ่งได้พัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้พักอาศัยชนชั้นกรรมาชีพที่มีรายได้น้อย และปฏิรูปความคิดด้านการออกแบบ สถาปัตยกรรม และการผังเมือง อาคารเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอพาร์ตเมนต์สมัยใหม่รุ่นแรกของโลก ที่มีครัว ห้องน้ำ ระเบียง และหน้าต่างที่ใหญ่เพียงพอ จากมรดกโลกจำนวนทั้งหมด 850 แห่ง อาคารเหล่านี้เป็นหนึ่งในเพียง 21 แห่งจากยุคสมัยใหม่
เบอร์ลินเป็นเมืองหลวงของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และเป็นที่อยู่ของประธานาธิบดีแห่งเยอรมนี ซึ่งมีที่อาศัยอย่างเป็นทางการที่วัง Schloss Bellevue ตั้งแต่การรวมเยอรมนีเมื่อ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2533 เบอร์ลินก็กลายเป็นหนึ่งในสามนครรัฐ เคียงคู่กับ ฮัมบูร์ก และ เบรเมน, ในทั้งหมด 16 รัฐของเยอรมนี สภาสหพันธ์ (Bundesrat) เป็นตัวแทนของรัฐสหพันธ์ (Bundesl?nder) ทั้งหลายของเยอรมนี และมีที่ตั้งที่อยู่ที่อาคาร Herrenhaus ซึ่งเคยเป็นสภาขุนนางของปรัสเซียในอดีต แม้กระทรวงส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในเบอร์ลิน แต่บางส่วน รวมถึงกรมเล็ก ๆ ก็ตั้งอยู่ที่บอนน์ เมืองหลวงเก่าของเยอรมนีตะวันตก สหภาพยุโรปลงทุนในหลายโครงการภายในเมืองเบอร์ลิน โดยส่วนใหญ่แล้วแผนงานด้านสาธารณูปโภค การศึกษา และสังคม จะได้ทุนสนับสนุนร่วมจากงบประมาณจากกองทุนเพื่อความเชื่อมแน่นของอียู (EU Cohesion Fund)
งบประมาณรัฐประจำปีของเบอร์ลินใน พ.ศ. 2549 นั้นเกิน 20.5 พันล้านยูโร โดยมีงบขาดดุล 1.8 พันล้านยูโร สาเหตุใหญ่มาจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรวมเมือง เบอร์ลินในฐานะรัฐเยอรมันมีหนี้สะสมมากกว่าเมืองใด ๆ ในเยอรมนี โดยมียอดประมาณการปัจจุบันอยู่ที่ 63 พันล้านยูโร ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549
เบอร์ลินแบ่งเป็นสิบสองเขตเทศบาล (Bezirke) โดยก่อนหน้าที่จะมีการปฏิรูปการปกครองของเบอร์ลินใน ค.ศ. 2001 เบอร์ลินเคยมี 23 เขตเทศบาล แต่ละเขตเทศบาลจะแบ่งเป็นตำบลย่อย ๆ (Stadtteile) ซึ่งแบ่งตามย่านชุมชนดั้งเดิม โดยบางเขตตำบลก็ถูกจัดใหม่หลายครั้งในช่วงเวลาที่ผ่านมา ในปัจจุบันเบอร์ลินประกอบด้วยทั้งหมด 95 ตำบล ตำบลต่าง ๆ มักจะประกอบด้วย "ละแวกบ้าน" จำนวนหนึ่ง (มักเรียกว่า Kiez ในภาษาพูด) ซึ่งเป็นย่านอยู่อาศัยเล็ก ๆ
แต่ละเขตเทศบาลจะดูแลโดยสภาเทศบาล (Bezirksamt) ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกสภาเทศบาล (Bezirksstadtr?te) ห้าคน และนายกเทศมนตรี (Bezirksb?rgermeister) หนึ่งคน สภาเทศบาลนั้นแต่งตั้งโดยสมัชชาเทศบาล (Bezirksverordnetenversammlung)
เบอร์ลินรักษาความเป็นพันธมิตรอย่างเป็นทางการกับ 17 นคร การจับคู่เป็นเมืองแฝดกับเมืองอื่น ๆ นั้นเริ่มกับลอสแอนเจลิส ใน ค.ศ. 1967พันธมิตรของเบอร์ลินตะวันออกนั้นถูกยกเลิกไปเมื่อครั้งรวมประเทศเยอรมนี และได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นบางส่วนในภายหลัง
ส่วนพันธมิตรของเบอร์ลินตะวันตกนั้นตั้งแด่เดิมถูกจำกัดให้อยู่ในระดับเทศบาล ระหว่างยุคสงครามเย็น พันธมิตรดังกล่าวได้สะท้อนถึงกลุ่มขั้วอำนาจ โดยเบอร์ลินตะวันตกจับมือกับเมืองหลวงในประเทศตะวันตก และเกือบจะทั้งหมดของเมืองเบอร์ลินตะวันออกจับคู่ด้วยจะเป็นเมืองจากกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอและพันธมิตร
เบอร์ลินมีแผนงานร่วมร่วมกับนครต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น โคเปนเฮเกน เฮลซิงกิ โยฮันเนสเบิร์ก เซี่ยงไฮ้ โซล โซเฟีย ซิดนีย์ และเวียนนา เบอร์ลินเข้าร่วมในสมาคมนครนานาชาติต่าง ๆ เช่น สหพันธ์เมืองหลวงของสหภาพยุโรป (Union of the Capitals of the European Union) ยูโรซิตีส์ (Eurocities) เครือข่ายนครวัฒนธรรมยุโรป (Network of European Cities of Culture) เมโทรโพลิส (Metropolis), Summit Conference of the World's Major Cities, Conference of the World's Capital Cities.
ณ กันยายน พ.ศ. 2549 เบอร์ลินมีผู้อยู่อาศัยที่ขึ้นทะเบียนจำนวน 3,402,312 คน ในพื้นที่ 891.82 ตร.กม. เขตพื้นที่มหานครเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์กมีประชากรประมาณ 4.3 ล้านคน ในพื้นที่ 5,370 ตร.กม.
จากจำนวนผู้อยู่อาศัย 3.4 ล้านคน มี 463,723 คน (13.9%) ที่เป็นชาวต่างชาติ จาก 183 ประเทศ โดยกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดมาจากประเทศตุรกี (116,665), โปแลนด์ (42,889), เซอร์เบียและมอนเตเนโกร (24,337), รัสเซีย (14,065), อิตาลี (14,026), สหรัฐอเมริกา (12,735), ฝรั่งเศส (11,776), โครเอเชีย (11,378), เวียดนาม (11,513), บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา (10,463), กรีซ (10,102), สหราชอาณาจักร (9,396), ยูเครน (8,667), ออสเตรีย (8,409), สเปน (5,962), ไทย (5,876), จีน (5,620)
กลุ่มศาสนาที่ใหญ่ที่สุดคือ กลุ่มที่ไม่นับถือศาสนา 60%, โปรเตสแตนต์ (ส่วนใหญ่เป็นเยอรมันอีแวนเจลิก) 23% (757,000), โรมันคาทอลิก 9% (312,000), อิสลาม 6% (213,000), ยิว 0.4% (12,000)
ใน พ.ศ. 2550, จีดีพีในรูปตัวเงินของนครรัฐเบอร์ลินมีอัตราเติบโต 1.8% (ประเทศเยอรมนี 2.5%) และมีมูลค่าทั้งหมด €81.7 ($114) พันล้าน ระหว่างทศวรรษหลังสุดนี้เบอร์ลินมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญไปสู่เศรษฐกิจการบรีการ ก่อนการรวมเยอรมนีและเบอร์ลินใน พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) นั้น เบอร์ลินตะวันตกได้รับเงินอุดหนุนก้อนใหญ่จากทางการเยอรมนีตะวันตก เพื่อชดเชยการที่ถูกตัดขาดทางภูมิศาสตร์ออกจากเยอรมนีตะวันตก เงินอุดหนุนเหล่านั้นจำนวนมากได้ถูกยกเลิกไปหลัง พ.ศ. 2533 ฐานอุตสาหกรรมของอดีตเบอร์ลินตะวันออกได้ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญในช่วงทศวรรษเดียว ทำให้นำไปสู่การเติบโตของจีดีพีที่หยุดนิ่ง และอัตราการว่างงานที่สูงจนกระทั่ง พ.ศ. 2548 หลังจากนั้นอัตราการว่างงานได้ค่อย ๆ ลดลงอย่างมั่นคง และถึงจุดที่ต่ำที่สุดในรอบ 13 ปี ที่ 13.6% ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2551 แต่ก็ยังคงสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศเยอรมนีอยู่ (7.5% มิ.ย. 2551)
ในบรรดาบริษัทในรายการ Forbes Global 2000 และดัชนีตลาดหลักทรัพย์ DAX ของเยอรมนีนั้น, มีเพียง ซีเมนส์ (Siemens AG) และ ดอยท์เชอบาห์น (Deutsche Bahn) เท่านั้นที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ในเบอร์ลิน อย่างไรก็ตามบริษัทเยอรมันและนานาชาติจำนวนมากได้ตั้งแผนกหรือสำนักงานบรีการระดับรองลงมาในเมืองดังกล่าว ในบรรดานายจ้าง 20 รายใหญ่สุด มีบริษัทรถไฟดอยท์เชอบาห์น (Deutsche Bahn AG), โรงพยาบาลชาริเต้ (Charit?), ซีเมนส์, บริษัทขนส่งมวลชนท้องถิ่น เบเฟาเก (BVG), บริษัทผู้ให้บรีการ Dussmann และกลุ่ม Piepenbrock Group. เดมเลอร์ (เจ้าของเมอร์เซเดส-เบนซ์) ผลิตรถยนต์ และบีเอ็มดับเบิลยูผลิตรถจักรยานยนต์ในเบอร์ลิน ไบเออร์เชริ่ง ฟาร์มา และ Berlin Chemie เป็นบริษัทเภสัชกรรมสำคัญที่มีสำนักงานใหญ่ในเบอร์ลิน
อุทยานวิทยาศาสตร์และธุรกิจใน Berlin-Adlershof เป็นหนึ่งใน 15 อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก การวิจัยและพัฒนาได้นัยยะสำคัญทางเศรษฐกิจ และเบอร์ลินติดอันดับหนึ่งในสามเขตนวัตกรรมที่ก้าวหน้าที่สุดในสหภาพยุโรป
ภาคที่โตอย่างรวดเร็วคือ คมนาคม, วิทยาศาสตร์สุขภาพ, การเคลื่อนย้ายและบรีการที่มีเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, สื่อและดนตรี, โฆษณาและออกแบบ, บรีการสิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยีชีวภาพ, การขนส่ง, และวิศวกรรมการแพทย์ เบอร์ลินเป็นหนึ่งในนครการประชุมและแสดงสินค้าของโลก และเป็นบ้านของศูนย์ประชุมที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป นั่นคือ Internationales Congress Centrum (ICC). นี่ช่วยเสริมภาคการท่องเที่ยวซึ่งมีโรงแรม 592 แห่ง 90,700 เตียง จำนวนเข้าพัก 17.3 ล้านคืน และแขกโรงแรม 7.5 ล้านคนในปี พ.ศ. 2550 เบอร์ลินได้สถาปนาตัวเองกลายมีผู้ไปท่องเที่ยวมากเป็นอันดับสามในสหภาพยุโรป.
เบอร์ลินเป็นบ้านของสถานีวิทยุโทรทัศน์จำนวนมาก ทั้งระดับนานาชาติ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่น สำนักงานใหญ่ขององค์กรกระจายเสียงสาธารณะ RBB (Rundfunk Berlin-Brandenburg) ตั้งอยู่ที่นี่ เช่นเดียวกับสำนักงานใหญ่ของบริษัทกระจายเสียงเชิงพาณิชย์ เอ็มทีวียุโรป, VIVA, TVB, FAB, N24 และ Sat.1. องค์กรกระจายเสียงสาธารณะนานาชาติของเยอรมนี Deutsche Welle มีหน่วยผลิตรายการโทรทัศน์ในเบอร์ลิน นอกจากนี้ผู้กระจายเสียงระดับชาติเกือบทั้งหมดก็มีสตูดิโออยู่ในเมืองนี้
เบอร์ลินมีจำนวนหนังสือพิมพ์รายวันมากที่สุดในเยอรมนี โดยมีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขนาดบรอดชีตที่มียอดขายจำนวนมาก (Berliner Zeitung, Der Tagesspiegel), และแท็บลอยด์รายใหญ่สามหัว รวมถึงหนังสือพิมพ์รายวันระดับชาติในขนาดต่าง ๆ ซึ่งแต่ละหัวก็มีความสัมพันธ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน เช่น Die Welt, Junge Welt, Neues Deutschland และ Die Tageszeitung
นอกจากนั้น หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์จำนวนหนึ่งก็ตีพิมพ์ที่นี่ (Junge Freiheit) และเบอร์ลินยังมีหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ทางเลือกอีกสามหัวที่เน้นเรื่องวัฒนธรรมและการบันเทิง นิตยสารรายเดือน Exberliner เป็นวารสารภาษาอังกฤษฉบับเดียวของเบอร์ลิน เบอร์ลินยังเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของสำนักพิมพ์ภาษาเยอรมันรายใหญ่สองราย: Walter de Gruyter และ Springer ซึ่งแต่ละรายนั้นตีพิมพ์หนังสือ วารสาร และผลิตภัณฑ์มัลติมีเดีย
เบอร์ลินเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของอุตสาหกรรมภาพยนตร์เยอรมันและยุโรป มันเป็นบ้านของบริษัทผลิตรายการโทรทัศน์และภาพยนตร์มากกว่าหนึ่งพันบริษัท, โรงภาพยนตร์ 270 โรง, และมีภาพยนตร์ที่ผลิตระดับชาติและร่วมผลิตระดับนานาชาติ 300 เรื่องถ่ายทำในบริเวณเบอร์ลินทุกปี กลุ่มสตูดิโอบาเบลสแบร์กและบริษัทสร้างภาพยนตร์ Universum Film AG นั้นตั้งอยู่ในเมืองพอทสดัมติดกับเบอร์ลิน เบอร์ลินยังเป็นที่ตั้งของยูโรเปียนฟิล์มอะคาเดมีและเยอรมันฟิล์มอะคาเดมี และเป็นเจ้าภาพงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติเบอร์ลินประจำปี
เขตเมืองหลวงเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์กเป็นหนึ่งในศูนย์กลางอุดมศึกษาและการวิจัยที่โดดเด่นที่สุดของสหภาพยุโรป เบอร์ลินมีมหาวิทยาลัยสี่แห่ง และวิทยาลัยเอกชน วิทยาลัยอาชีพ และวิทยาลัยเทคนิค (Fachhochschule) อีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งเสนอสาขาวิชาที่หลากหลายให้กับนักศึกษา นักศึกษาประมาณ 130,000 คนเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัย และวิทยาลัยอาชีพหรือวิทยาลัยเทคนิค มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดสามแห่ง มีจำนวนนักศึกษารวมประมาณ 100,000 คน มหาวิทยาลัยเหล่านี้ได้แก่ มหาวิทยาลัยเสรีแห่งเบอร์ลิน (Freie Universit?t Berlin) (35,000 คน) มหาวิทยาลัยฮุมโบลด์ทแห่งเบอร์ลิน (35,000) และ มหาวิทยาลัยเทคนิกแห่งเบอร์ลิน (30,000) ส่วนมหาวิทยาลัยศิลปะเบอร์ลิน มีนักศึกษาราว 4,300 คน
เบอร์ลินมีจำนวนสถาบันวิจัยหนาแน่น เช่นสถาบันวิจัยในเครือ สมาคมฟรอนโฮเฟอร์ และ สมาคมมักซ์ พลังค์ ซึ่งเป็นอิสระจากมหาวิทยาลัยที่สังกัด หรือเพียงเชื่อมกันอย่างหลวม ๆ เท่านั้น ในเมืองมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนทั้งหมด 62,000 คน ทำงานในด้านวิจัยและพัฒนา
นอกจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แล้ว เบอร์ลินยังมีหอสมุดรัฐ ชตัตบิบลิโอเทค ซู แบร์ลิน (Staatsbibliothek zu Berlin) ซึ่งเป็นห้องสมุดวิจัยที่สำคัญ หอสมุดนี้มีที่ตั้งหลักสองแห่ง: หนึ่งแห่งใกล้กับพอทสดัมเมอร์ พลาทซ์ บนถนนพอทสดัมเมอร์สตราเซอร์ และอีกแห่งบนถนนอุนเทอร์ เดน ลินเดน ในเมืองมีห้องสมุดสาธารณะทั้งหมด 108 แห่ง
เบอร์ลินมีโรงเรียน 878 แห่ง สอนนักเรียน 340,658 คน ใน 13,727 ชั้นเรียน และมี 56,787 ผู้รับการฝึกงานในภาคธุรกิจและภาคอื่น ๆ เมืองมีแผนการศึกษาขั้นพื้นฐานหกปี หลังจากจบการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว นักเรียนจะเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนมัธยมหนึ่งในสี่ประเภทต่ออีกหกปี ประเภทของโรงเรียนเหล่านี้ได้แก่ ฮัปชูเลอ (Hauptschule), เรอาลชูเลอ (Realschule), กิมนาซิอุม (Gymnasium), หรือ เกซามชูเลอ (Gesamtschule) เบอร์ลินมีแผนการศึกษาสองภาษาที่ไม่เหมือนใครบรรจุอยู่ในโรงเรียน "ออยโรปาชูเลอ" (Europaschule) ในโรงเรียนเหล่านี้นักเรียนจะเรียนในหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาเยอรมันและภาษาต่างชาติ ซึ่งสามารถเลือกได้จาก 9 ภาษาหลักของยุโรป ในโรงเรียน 29 แห่งซึ่งกระจายอยู่ในเกือบทุกเขตเทศบาล
เบอร์ลินมีชื่อเสียงเรื่องสถาบันด้านวัฒนธรรมที่มีเป็นจำนวนมากมาย ซึ่งหลายแห่งมีชื่อเสียงระดับนานาชาติ เบอร์ลินมีสภาพแวดล้อมศิลปะที่หลากหลายมาก มีหอศิลป์หลายร้อยแห่ง ทุกปีจะมีการจัดงาน Art Forum งานแสดงศิลปะนานาชาติ ซึ่งเน้นที่ศิลปะร่วมสมัย ศิลปินเยอรมันและนานาชาติรุ่นใหม่ยังคงย้ายเข้ามาอาศัยในเมืองนี้ และเบอร์ลินก็ได้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมป๊อปและ youth cutlure ของยุโรป สัญญาณหลายอย่างของการขยายตัวนี้มาจากการประกาศใน พ.ศ. 2546 ว่างาน Popkomm งานชุมนุมอุตสาหกรรมดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปจะย้ายไปจัดที่เบอร์ลิน, หลังจากจัดที่โคโลญมาเป็นเวลา 15 ปี หลังจากนั้นไม่นาน ยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุ๊ป และ MTV ก็ตัดสินใจย้ายสำนักงานใหญ่ประจำยุโรปและสตูดิโอหลักของตนมายังริมฝั่งแม่น้ำสปรีในย่านฟรีดริชชายน์. ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เบอร์ลินได้ขึ้นบัญชีเมืองแห่งการออกแบบ (City of Design) ของยูเนสโก.
เบอร์ลินมีชีวิตกลางคืนที่หลากหลายและมีสีสันมากที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป หลังจากกำแพงเบอร์ลินล่มสลายลงใน ค.ศ. 1989 อาคารจำนวนมากในเขตมิทเท่อ (Mitte) อดีตใจกลางเมืองของเบอร์ลินตะวันออก ได้ถูกซ่อมแซมใหม่ อาคารจำนวนมากไม่เคยถูกรื้อสร้างใหม่เลยนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สอง อาคารเหล่านี้ถูกจับจองอย่างผิดกฎหมายโดยกลุ่มคนหนุ่มสาว และกลายเป็นแหล่งชุมนุมบ่มเพาะวัฒนธรรมใต้ดินและวัฒนธรรมต่อต้าน (counter-culture) สารพัดรูปแบบ ย่านมิทเท่อเป็นที่ตั้งของไนท์คลับจำนวนมาก รวมถึงคุนสท์เฮาส์ทาเชเลส (Kunst Haus Tacheles), คลับเทคโนอย่าง Tresor, WMF, Ufo, E-Werk, และที่มีชื่อเสียงในทางไม่ดีนักคือ Kitkatclub กับ Berghain คลับ Linientreu ใกล้กับโบสถ์ไกเซอร์-วิลเฮล์ม (Kaiser-Wilhelm-Ged?chtniskirche หรือที่ชาวไทยในเบอร์ลินนิยมเรียกว่า "โบสถ์หัก") นั้นโด่งดังในเรื่องดนตรีเทคโนมาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1990 ดิสโกเธค LaBelle ในฟริเดเนา (Friedenau) ที่ครั้งหนึ่งเป็นที่ ๆ ทหารอเมริกันชอบไปเที่ยว มีชื่อเสียงโด่งดังจากเหตุการณ์วางระเบิดก่อการร้ายใน ค.ศ. 1986
ร้าน SO36 ในครอยซ์แบร์ก (Kreuzberg) ที่เดิมเน้นดนตรีพังก์เป็นส่วนใหญ่ ก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ยอดนิยมสำหรับการเต้นรำและสังสรรค์ทุกรูปแบบ ร้าน SOUND ที่เคยตั้งอยู่ที่เทียร์การ์เทนช่วง ค.ศ. 1971 - 1988 และปัจจุบันอยู่ที่ชาร์ลอตเทนบวร์ก (Charlottenburg) ได้รับชื่อเสียงในทางไม่ดีในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษ 1970 ด้วยมันเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้เฮโรอีนและยาเสพติดชนิดอื่น ๆ ดังที่พรรณนาไว้ในหนังสือ Wir Kinder vom Bahnhof Zoo ของ Christiane F.
งานเฉลิมฉลอง คาร์นิวาลแดร์คูลทัวเรน (Karneval der Kulturen - งานเฉลิมฉลองวัฒนธรรม) - ขบวนแห่บนถนนของนานาชาติพันธุ์ จัดขึ้นทุกปี ในช่วงสุดสัปดาห์เทศกาลสมโภชพระจิตเจ้า (50 วันหลังวันอาทิตย์อีสเตอร์) และ คริสโตเฟอร์สตรีทเดย์ - ไพรด์พาเรดของเกย์-เลสเบี้ยนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปตอนกลาง ได้รับการสนับสนุนอย่างเปิดเผยจากรัฐบาลเมือง เบอร์ลินยังเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับงานเฉลิมฉลองดนตรีเทคโน เลิฟพาเหรด (Love Parade) และเทศกาลทางวัฒนธรรม แบร์ลีเนอร์เฟสสปีล (Berliner Festspiele) ซึ่งมีเทศกาลแจ๊ส แจ๊สเฟส แบร์ลีน (JazzFest Berlin) เป็นส่วนหนึ่ง
เบอร์ลินเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ 153 แห่ง กลุ่มพิพิธภัณฑ์บนเกาะพิพิธภัณฑ์นั้น เป็นมรดกโลกของยูเนสโก ตั้งอยู่ทางส่วนเหนือของเกาะสปรี ระหว่างแม่น้ำสปรีและ Kupfergraben ตั้งแต่ ค.ศ. 1841 อย่างเร็วที่สุด มันถูกกำหนดให้เป็น “เขตที่อุทิศให้กับศิลปะและวัตถุโบราณ” โดยพระราชกฤษฎีกา
ในเขตดาห์เลม มีพิพิธภัณฑ์อยู่จำนวนหนึ่งที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมโลก เช่น พิพิธภัณฑ์ศิลปะอินเดีย, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเอเชียตะวันออก, พิพิธภัณฑ์ชาติพันธุ์วิทยา, พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมยุโรป, รวมถึง พิพิธภัณฑ์ฝ่ายพันธมิตร (พิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับสงครามเย็น) และ พิพิธภัณฑ์บรึคเค่อ (Br?cke Museum) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะ ในลิชเทนแบร์ก ซึ่งเป็นที่มั่นของกระทรวงความมั่นคงแห่งรัฐของอดีตเยอรมนีตะวันออก หรือ สตาซี่ (Stasi) นั้น ก็มีพิพิธภัณฑ์สตาซี่ จุดตรวจเช็คพอยท์ชาร์ลียังคงตั้งอยู่ที่เดิม และมีพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับหนึ่งในจุดข้ามแดนหลายแห่งในกำแพงเบอร์ลิน โดยพิพิธภัณฑ์นี้ดำเนินงานโดยเอกชน แสดงวัตถุที่เกี่ยวกับผู้คนที่พยายามวางแผนต่าง ๆ เพื่อหลบหนีออกจากฝั่งตะวันออก ส่วน Beate Uhse Erotic Museum อยู่ใกล้สถานีรถไฟสวนสัตว์เบอร์ลิน ซึ่งอ้างว่าเป็นพิพิธภัณฑ์อีโรติกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เบอร์ลินเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 และเป็นเมืองเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 นัดชิงชนะเลิศ โดยแข่งที่สนามโอลิมเปียสตาดิโอน เบอร์ลิน
เมืองมีสโมสรฟุตบอลหลายสโมสร สโมสรที่ใหญ่ที่สุดคือ แฮร์ธา เบอร์ลิน ซึ่งปัจจุบัน (ฤดูกาล 2006-7) เล่นในลีกบุนเดสลีกา
เบอร์ลินได้พัฒนาระบบคมนาคมและระบบจ่ายพลังงานที่ซับซ้อนตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง หลังจากสงคราม เบอร์ลินตะวันตกถูกตัดขาดออกจากดินแดนโดยรอบ และจำเป็นต้องพัฒนาระบบสาธารณูปโภคของตนเอง ในระหว่างนั้นเอง รัฐบาลของเยอรมนีตะวันออกก็ได้ก่อสร้างทางรถไฟและทางหลวงเพื่อให้การจราจรอ้อมเบอร์ลินตะวันตกไปได้ การกลับมารวมกันของเบอร์ลินตะวันออกและตะวันตก ได้นำไปสู่การรวมกันของระบบคมนาคมและระบบจ่ายพลังงานของเบอร์ลินเข้ากับระบบของเขตรอบ ๆ อีกครั้ง เบอร์ลินมีสะพาน 979 แห่ง มีถนนยาวรวมกันทั้งหมด 5,334 กม. ในจำนวนนี้เป็นทางหลวง 66 กม. ใน ค.ศ. 2004 มียานพาหนะจดทะเบียนในเมืองจำนวน 1.428 ล้านคัน ซึ่งรวมถึงแท็กซี่ 6,800 คน สายรถไฟระยะไกลเชื่อมเบอร์ลินกับเมืองใหญ่ทุกเมืองในเยอรมนีและกับหลายเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน สายรถไฟท้องถิ่นเชื่อมเมืองกับบริเวณบรานเดนบวร์กและเยอรมนีตะวันออก
ระบบขนส่งมวลชนภายในเบอร์ลิน ประกอบด้วย เอส-บาห์น (S-Bahn รถไฟเขตเมือง) ซึ่งดำเนินการโดย บริษัทเอส-บาห์น เบอร์ลิน (S-Bahn Berlin GmbH) และ อู-บาห์น (รถไฟใต้ดิน U-Bahn), รถราง (Stra?enbahn), รถเมล์, และเรือข้ามฟาก ซึ่งดำเนินการโดย บริษัทระบบขนส่งเบอร์ลิน หรือ เบเฟาเก (Berliner Verkehrsbetriebe - BVG) เอส-บาห์นนั้นโดยส่วนใหญ่วิ่งอยู่เหนือดิน ส่วนอู-บาห์นส่วนใหญ่จะอยู่ใต้ดิน สตาสเซ่นบาห์น หรือ รถราง นั้นเกือบทั้งหมดจะวิ่งอยู่ในเขตตะวันออกของเมือง รถเมล์ให้บรีการเชื่อมเขตรอบนอกเข้ากับใจกลางเมือง และเชื่อมกับเอส-บาห์นและอู-บาห์น ขนส่งมวลชนแทบทุกชนิด ยกเว้นเรือข้ามฟากบางสาย ใช้ตั๋วโดยสารร่วมกันได้ โดยปกติแล้วผู้โดยสารไม่จำเป็นต้องแสดงหรือตอกตั๋ว ยกเว้นบนรถเมล์ - อย่างไรก็ตาม จะมีพนักงานนอกเครื่องแบบคอยสุ่มตรวจเป็นประจำ โดยจะขึ้นมาในห้องโดยสารแล้วเรียกขอดูตั๋วจากผู้โดยสารทุกคน ใครก็ตามที่ไม่มีตั๋วที่ถูกต้อง จะถูกปรับเป็นเงิน 40 ยูโร
เบอร์ลินมีสนามบินพาณิชย์สามแห่ง คือ ท่าอากาศยานนานาชาติเทเกล (Tegel - TXL), ท่าอากาศยานนานาชาติเทมเปิลโฮฟ (Tempelhof - THF), และ ท่าอากาศยานนานาชาติเชินเนอเฟลด์ (Sch?nefeld - SXF) ในปี พ.ศ. 2549 สนามบินสามแห่งนี้ให้บรีการผู้โดยสาร 18.5 ล้านคนสู่ 155 จุดหมายปลายทาง โดย 118 แห่งในนั้นอยู่ในยุโรป
ท่าอากาศยานเชินเนอเฟลด์กำลังอยู่ในการก่อสร้างเพิ่มเติม และเมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็น ท่าอากาศยานนานาชาติเบอร์ลิน-บรานเดนบวร์ก (Flughafen Berlin Brandenburg ?Willy Brandt“ – BER) โดยท่าอากาศยานเทเกลและเทมเปิลโฮฟจะปิดตัวลงหลังจาก BBI เปิดใช้
?Ich bin ein Berliner.“ ("ผมเป็นชาวเบอร์ลิน")
จากประโยคเต็ม "All free men, wherever they may live, are citizens of Berlin, and, therefore, as a free man, I take pride in the words 'Ich bin ein Berliner'." ("เสรีชนทั้งหลาย ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่แห่งใด ล้วนเป็นพลเมืองของเบอร์ลิน และดังนั้น ในฐานะเสรีชนผู้หนึ่ง ผมภูมิใจในคำว่า 'ผมเป็นชาวเบอร์ลิน'")(จอห์น เอฟ. เคนเนดี้, ประธานาธิบดีสหรัฐอเมรีกา, 26 มิถุนายน ค.ศ. 1963 ระหว่างเยี่ยมเบอร์ลินตะวันตก)
?Ihr V?lker der Welt ... schaut auf diese Stadt!“ ("ชาวโลกทั้งหลาย ... มองที่เมืองแห่งนี้สิ!")(Ernst Reuter, นายกเทศมนตรี, ในสุนทรพจน์ช่วง Berlin blockade, พ.ศ. 2491)
?Ich hab noch einen Koffer in Berlin“ ("ฉันยังมีกระเป๋าเสื้อผ้าอีกใบอยู่ที่เบอร์ลิน")(Marlene Dietrich, เพลงโดยนักแสดงและนักร้องที่เกิดในเบอร์ลิน-เชินเนอแบร์ก)
?Berlin ist eine Stadt, verdammt dazu, ewig zu werden, niemals zu sein“ ("เบอร์ลินเป็นเมืองที่อยู่ในสภาพ 'กำลังจะเป็น' อยู่เสมอ และไม่เคย 'เป็น' เลย")(Karl Scheffler, ผู้เขียน Berlin: Ein Stadtschicksal, 1910)
“Berlin combines the culture of New York, the traffic system of Tokyo, the nature of Seattle, and the historical treasures of, well, Berlin.” ("เบอร์ลินผสมวัฒนธรรมของนิวยอร์ก ระบบจราจรของโตเกียว ธรรมชาติของซีแอตเทิล และขุมทรัพย์ทางประวัติศาสตร์ของ, อืม, เบอร์ลิน")(Hiroshi Motomura, ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายสหรัฐอเมริกา, พ.ศ. 2547)
อัมสเตอร์ดัม?เนเธอร์แลนด์อันดอร์ราลาเวลลา?อันดอร์ราบรัสเซลส์?เบลเยียมดักลาส?เกาะแมน (สหราชอาณาจักร)ดับลิน?ไอร์แลนด์ลอนดอน?สหราชอาณาจักรปารีส?ฝรั่งเศสเซนต์เฮลเยอร์?เจอร์ซีย์ (สหราชอาณาจักร)เซนต์ปีเตอร์พอร์ต?เกิร์นซีย์ (สหราชอาณาจักร)
โคเปนเฮเกน?เดนมาร์กเฮลซิงกิ?ฟินแลนด์มารีเอฮัมน์?หมู่เกาะโอลันด์ (ฟินแลนด์)ออสโล?นอร์เวย์เรคยาวิก?ไอซ์แลนด์รีกา?ลัตเวียสตอกโฮล์ม?สวีเดนลองเยียร์เบียน?สฟาลบาร์ (นอร์เวย์)ทาลลินน์?เอสโตเนียวิลนีอุส?ลิทัวเนีย
เบอร์ลิน?เยอรมันเบิร์น?สวิตเซอร์แลนด์บราติสลาวา?สโลวาเกียบูคาเรสต์?โรมาเนียบูดาเปสต์?ฮังการีลูบลิยานา?สโลวีเนียลักเซมเบิร์ก?ลักเซมเบิร์กปราก?สาธารณรัฐเช็กวาดุซ?ลิกเตนสไตน์เวียนนา?ออสเตรียวอร์ซอ?โปแลนด์
เอเธนส์?กรีซเบลเกรด?เซอร์เบียลิสบอน?โปรตุเกสมาดริด?สเปนโมนาโก?โมนาโกพอดกอรีตซา?มอนเตเนโกรพริชตีนา?คอซอวอโรม?อิตาลีซานมาริโน?ซานมารีโนซาราเยโว?บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนาสโกเปีย?มาซิโดเนียโซเฟีย?บัลแกเรียติรานา?แอลเบเนียวัลเลตตา?มอลตานครรัฐวาติกัน?นครรัฐวาติกันซาเกร็บ?โครเอเชีย
1985 เอเธนส์ ? 1986 ฟลอเรนซ์ ? 1987 อัมสเตอร์ดัม ? 1988 เบอร์ลินตะวันตก ? 1989 ปารีส ? 1990 กลาสโกว์ ? 1991 ดับลิน ? 1992 มาดริด ? 1993 แอนต์เวิร์ป ? 1994 ลิสบอน ? 1995 ลักเซมเบิร์ก ? 1996 โคเปนเฮเกน ? 1997 เทสซาโลนีกี ? 1998 สตอกโฮล์ม ? 1999 ไวมาร์ ? 2000 เรคยาวิก ? แบร์เกน ? เฮลซิงกิ ? บรัสเซลส์ ? ปราก ? กรากุฟ ? ซานเตียโกเดกอมโปสเตลา ? อาวีญง ? โบโลญญา ? 2001 รอตเทอร์ดาม ? โปร์ตู ? 2002 บรูช ? ซาลามังกา ? 2003 กราซ ? 2004 เจนัว ? ลีล ? 2005 คอร์ก ? 2006 แพทรัส ? 2007 ลักเซมเบิร์กและปริมณฑล ? ซีบีอู ? 2008 ลิเวอร์พูล ? สตาวังเงร์ ? 2009 ลินซ์ ? วิลนีอุส ? 2010 เอสเซิน ? เพช ? อิสตันบูล ? 2011 ตุรกุ ? ทาลลินน์ ? 2012 มารีบอร์ ? กีมาไรช์ ? 2013 คอชิตเซ ? มาร์แซย์ ? 2014 อูเมโอ ? รีกา ? 2015 มงส์ ? เปิลเซน ? 2016 โดโนสเตีย-ซานเซบัสเตียน ? วรอตสวัฟ ? 2017 ออร์ฮูส ? แพฟอส 2018 วัลเลตตา ? เลวาร์เดิน 2019 พลอฟดิฟ ? มาเตรา