มหาอำมาตย์โท นายพันเอก เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ (6 พฤษภาคม พ.ศ. 2402 - 5 มกราคม พ.ศ. 2453) เป็นเจ้านครเชียงใหม่ องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร หรือ ราชวงศ์เจ้าเจ็ดตน
เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ มีพระนามเดิมว่า เจ้าน้อยสุริยะ ราชสมภพเมื่อวันศุกร์ เดือน 6 ขึ้น 5 ค่ำ ปีมะแม จ.ศ. 1221 (6 พฤษภาคม พ.ศ. 2402) เป็นพระราชโอรสในพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้านครเชียงใหม่ องค์ที่ 7 กับแม่เจ้ารินคำ และทรงเป็นราชนัดดา (หลานปู่) ในพระยาราชวงศ์ (มหาพรหมคำคง) พระยาราชวงศ์นครเชียงใหม่ และราชนัดดา (หลานตา) ในเจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ เจ้าผู้ครองนครลำพูน องค์ที่ 6
เจ้าน้อยสุริยะได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็น "เจ้าราชบุตร" เมื่อปี พ.ศ. 2432 เป็น "เจ้าราชวงศ์" ในปี พ.ศ. 2436 และได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น "เจ้าอุปราช" ในปี พ.ศ. 2441 ต่อมาได้รับโปรดเกล้าฯ พระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้งเป็น เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ดำรงนพีสีนคร สุนทรทศลักษ์เกษตร์ วรฤทธิ์เดชดำรง จำนงยุติธรรมสุจริต วิศิษฐสัตยธาดา มหาโยนางคราชวงษาธิบดี เจ้านครเชียงใหม่ โดยมีพิธีการตั้งเจ้าผู้ครองนครเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 นับเป็นเจ้านครเชียงใหม่องค์แรก ภายหลังปี พ.ศ. 2442 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบมณฑลเทศาภิบาล โดยมีมณฑลพายัพ หรือ มณฑลลาวเฉียง และมณฑลมหาราษฎร์ เป็นมณฑลในอาณาจักรล้านนา โดยราชสำนักกรุงเทพฯ ส่งข้าหลวงขึ้นมาช่วยให้คำแนะนำเจ้านายฝ่ายเหนือในการบริหารราชการ และได้มีการแต่งตั้งตำแหน่งเสนากรมขึ้นมาใหม่ 6 ตำแหน่ง โดยให้คงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครอยู่ แต่ลดอำนาจลง และในที่สุดในปี พ.ศ. 2442 ล้านนาได้ถูกปฏิรูปการปกครองเป็นแบบ มณฑลเทศาภิบาล เป็นการยกเลิกฐานะหัวเมืองประเทศราช และผนวกดินแดนล้านนาที่อยู่ใต้การปกครองของเชียงใหม่มาเป็นส่วนหนึ่งของสยาม
เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ป่วยด้วยโรคปอด จนถึงแก่พิราลัยในวันที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2453(หรือปี พ.ศ. 2452 หากนับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นศักราชใหม่) รวมระยะเวลาที่ทรงครองนคร 8 ปี ชันษา 50 ปี
เจ้าน้อยสุริยะ ในฐานะเจ้าอุปราช รักษาการเมืองนครเชียงใหม่ ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จากกรุงเทพ ด้วยเหตุที่ว่า เจ้าอุปราชเป็นคนไม่เอาการเอางาน ไม่คิดจะทำงานให้บ้านเมือง แสวงหาแต่ประโยชน์สุขส่วนตน และยังเชื่อคำยุยงประจบสอพลอของข้าบ่าวบริวารจนเสียการงานไปหมด ดังปรากฏในรายงานของพระยาศรีสหเทพ (เส็ง วีรยศิริ) ต่อกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เสนาบดีมหาดไทย ซึ่งมีใจความว่า "...เจ้านายพระยาท้าวแสน ไม่หันหน้าหาพวกข้าหลวง คอยแต่ขัดขวางทุกอย่าง เพราะเมื่อครั้งพระยาทรงสุรเดชนั้นกลัวนัก ครั้นนึกถึงพระยานริศราชกิจ เห็นพระยานริศราชกิจเป็นคนใจดี นึกเสียว่ากลัว เลยขัดขวางพระยานริศราชกิจทำอะไรไม่ได้ [...] การที่ขัดขวางต่างต่างนั้น เปนด้วยพวกพระยาลาวแลคนไทยหลายคนยุให้ทำพวกเจ้านาย โง่ เขลา ก็ทำตามจนหมดอำนาจเชียงใหม่ ตกลงพวกพระยาผู้น้อยมีอำนาจบังคับการบ้าน การเมือง ได้เด็ดขาด เอาเจ้านายไว้เปน ลูกไก่ แล้วแต่พวกเจ้าพระยาจะใช้หรือยุให้ทำอะไร..."
รัฐบาลสยามไม่พอใจการทำงานของเจ้าอุปราช (น้อยสุริยะ) เป็นอย่างมาก รัฐบาลสยามถึงกับต้องว่าจ้างชายาของเจ้าอุปราชคอยดูแลและกำกับตัวเจ้าอุปราช ดังโทรเลขของพระยาศรีสหเทพต่อกรมหลวงดำรงราชานุภาพ เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2443 ใจความตอนหนึ่งว่า "...ได้จัดตั้งเบี้ยหวัดเจ้าทิพเนตร ปีละ ๕๐๐ รูเปีย เท่ากับแม่นางภัณฑารักษ์ ยกขึ้นให้เปนข้าราชการฝ่ายผู้หญิง เงินเบี้ยหวัดรายนี้ ได้บอกให้เจ้าทิพเนตรเข้าใจว่า ถ้าเจ้าอุปราชเมา หรือไม่รับราชการดี จะลดหย่อนเงินเดือนเสีย ถ้ายังไม่ฟัง ขืนเมาหรือขืนเชื่อคำคนสอพลอยุยง ให้เจ้าทิพเนตรฟ้องต่อข้าหลวงใหญ่ อนึ่งเงินค่าตอไม้ แม่ปิง แม่ฮ่องสอน ซึ่งเจ้าผู้ครองเมืองเก็บได้ จะยกเอาเปนของหลวง..."
เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ มีพระชายา 3 พระองค์ โดยมีราชโอรส 1 พระองค์ อยู่ในราชตระกูล ณ เชียงใหม่
พระบิดา ใน เจ้าหญิงลดาคำ ณ เชียงใหม่ ชายาใน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน และเป็นพระอัยกา (เจ้าตา) ในหม่อมเจ้าภัทรลดา ดิศกุล และท่านผู้หญิงฉัตรสุดา วงศ์ทองศรี
เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ชอบที่จะใกล้ชิดประชาชนมีรูปแบบการปกครองเป็นแบบพ่อปกครองลูก ทรงประกอบพระกรณียกิจในฐานะเจ้านครเชียงใหม่ ในด้านต่างๆ อาทิ
เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ พร้อมด้วยเจ้าราชภาคินัย เจ้าน้อยเลาแก้ว เจ้าน้อยสมพมิตร เจ้าน้อยเมืองชื่น และเจ้าน้อยวุฒิวงษ์ เข้าเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการ เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2447 ตามราชประเพณีที่ประเทศราชต้องส่งต้นไม้เงินต้นไม้ทอง และเครื่องราชบรรณาการไปยังกรุงเทพฯ ทุกๆ 3 ปี หรือทุกปี เพื่อแสดงความสวามิภักดิ์และการยอมเป็นเมืองขึ้น และนับเป็นเครื่องราชบรรณาการ งวดสุดท้าย ก่อนจะมีการยกเลิกธรรมเนียมการถวายต้นไม้เงินต้นไม้ทองและเครื่องราชบรรณาการตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ในปี พ.ศ. 2446 ได้จัดให้มีการเรียนหนังสือภาษาไทย และส่งเสริมให้มีการสร้างโรงเรียนขึ้นในนครเชียงใหม่ เพื่อรองรับการสร้างบุคลากรให้รับราชการในตำแหน่งต่าง ๆ ที่มีการจัดตั้งจากรัฐบาลส่วนกลาง และในปี พ.ศ. 2449 ได้อนุญาตให้ใช้คุ้มของเจ้าหลวงแห่งหนึ่ง ตั้งเป็นโรงเรียนผู้หญิง (ปัจจุบันคือ โรงเรียนวัฒโนทัยพายัพ) และทรงรับอุปการะด้วย
นอกจากนั้นเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ ยังดำริให้สร้างสวนสัตว์ขึ้นในบริเวณคุ้มหลวง โดยนำเอาสัตว์มาเลี้ยงไว้ให้ประชาชนได้ชมโดยไม่เสียเงิน เช่น นกกระจอกเทศ อูฐ จระเข้ เสือลายพาดกลอน เป็นต้น
ในกิจการพุทธศาสนา ทรงเป็นพุทธศาสนูปถัมภกที่เข้มแข็ง นอกจากการบำเพ็ญกุศลตามเทศกาลและวาระต่างๆ เป็นปกติแล้ว เจ้าหลวงยังคงปรากฏให้เห็นผลงานได้แก่ ในปี พ.ศ. 2435 ได้จัดการฉลองพระวิหารวัดกิตติ (ปัจจุบันคือวัดร้างในโรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่) ในปี พ.ศ. 2442 ได้สร้างกุฏิวัดหอธรรม ในปี พ.ศ. 2445 ได้เป็นมหาสัทธาเค้า เป็นประธานคณะศรัทธาบวชสามเณร 44 รูป
ในปี พ.ศ. 2446 ได้ปฏิสังขรณ์และยกยอดฉัตรพระเจดีย์ธาตุเจ้าทุ่งตุ๋ม ในปีถัดมาได้ฉลองพระไตรปิฎกวัดเชียงมั่น และวัดกิตติ ในปี พ.ศ. 2448 ได้สร้างวิหารวัดดอกเอื้อง และสร้างพระพุทธรูปทันใจองค์หนึ่งด้วยไม้จันทน์ ในปี พ.ศ. 2449 สร้างวิหารวัดนางเหลียว และในปี พ.ศ. 2451 สร้างฉัตรพระเจดีย์วัดทุงยู
ในปี พ.ศ. 2442 ทรงมีดำริให้มีการวางผังเมืองเชียงใหม่ตามแนวความคิดสมัยใหม่ โดยย้ายหน่วยงานราชการมาไว้ภายในเขตกำแพงเมือง และย้ายตลาดกลางเวียง ไปอยู่ที่ริมแม่น้ำปิง จัดตั้งเป็นตลาดวโรรสดังเช่นปัจจุบัน ทำให้สามารถลดความคับคั่งของผู้คนในตัวเมืองได้
ในปี พ.ศ. 2444 ทรงนำเครื่องปั่นไฟฟ้ามาริเริ่มสร้างกระแสไฟฟ้าใช้ในคุ้มหลวงเป็นครั้งแรกของนครเชียงใหม่ และในปี พ.ศ. 2451 ทรงเห็นความสำคัญของการสื่อสาร จึงได้ช่วยอุดหนุนราชการของรัฐบาล โดยบริจาคเสาโทรเลข จำนวน 250 ต้น เพื่อขยายเขตการสื่อสารในนครเชียงใหม่
ในยุคของเจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ เป็นยุคที่เจ้าหลวงไม่มีอำนาจในการจัดเก็บรักษาเงินของเมือง โดยที่เงินผลประโยชน์ของเจ้าหลวงและเจ้านายบุตรหลานจะได้มาจากส่วนแบ่งค่าตอไม้ เงินเดือนพระราชทาน และเงินส่วนแบ่งค่าแรงแทนเกณฑ์ การจัดเก็บภาษีใหม่นี้จึงเรียกว่า "เงินค่าราชการ" จึงเป็นช่วงที่เจ้าหลวงและเจ้านายบุตรหลานต้องยอมสละประโยชน์และเสียอำนาจไปเป็นอันมาก
เจ้าราชบุตร (สุริยฆาต) • พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงษ์ • เจ้าหนานมหาวงศ์ • เจ้าสำใส • เจ้าหนานไชยเสนา
เจ้าศรีปิมปา • พระเจ้ามโหตรประเทศ • เจ้าหลวงน้อยคำแสน • เจ้าอุปราช (หน่อคำ) • เจ้าน้อยพรหมา • เจ้าหนานอินตา • เจ้าสุธรรมมา • เจ้าปทุมมา • เจ้าคำทิพย์ • เจ้าบัวคำ • เจ้าองค์ทิพย์ • เจ้ากาบแก้ว • เจ้าบุญปั๋น • เจ้าเกี๋ยงคำ • เจ้าจันทร์เป็ง • เจ้าแก้วยวงคำ
เจ้าหนานไชยเสนา • เจ้าหนานมหายศ • พระยาอุปราชพิมพิสาร • เจ้าไชยลังกาพิศาลโสภาคย์คุณ • เจ้าหลวงหนานธรรมลังกา • เจ้าบัวคำ • เจ้าเกี๋ยงคำ • เจ้าคำค่าย • พระยาราชวงศ์ (มหาพรหมคำคง) • เจ้าบุญนำ • เจ้าคำเกี้ยว • แม่เจ้าเขียวก้อมเทวี • เจ้าฟองสมุทร • เจ้าเปาพิมาลย์ • เจ้าคำเมา • เจ้าลังกา • เจ้าคำปวน • เจ้าหนานมหาวงศ์ • เจ้าบัวถา • เจ้ากัณหา • เจ้ามณีวรรณ • เจ้าธรรมเสนา • เจ้าบุรีรัตน์ (ภูเกียง) • เจ้าอุปราช (ธรรมปัญโญ) • เจ้าน้อยธรรมกิติ • เจ้าหนานธรรมปัญญา • เจ้าหนานพรหมจักร • เจ้าหนานคำวัง • เจ้าน้อยจักรคำ • เจ้าน้อยมโนรส • เจ้าหนานสุยะ • เจ้าคำตื้อ • แม่เจ้ากันธิมาเทวี • เจ้ากัลยา • เจ้ามุกดา • เจ้าสนธยา • เจ้าบัวบุศย์ • เจ้าหนานกาวิละ • เจ้าบัวศรี • เจ้าพิมพา • เจ้าคำนาง • เจ้าเบ็ญจ๋าย • เจ้าบัวไข • เจ้ากรรณิกา
เจ้าราชบุตร (หนานธนัญไชย) • เจ้าหนานปัญญา • เจ้าน้อยขี้วัว • เจ้าน้อยขี้ควาย • เจ้าน้อยขี้ช้าง • เจ้าเฮือนคำ • เจ้าน้อยหน่อแก้ว • เจ้าศิริวรรณา • เจ้าสุนันทา สุริยโยดร
เจ้าอุตรการโกศล (มหาพรหม) • เจ้าราชบุตร (สุริยวงศ์) • เจ้าน้อยเทพวงศ์ • เจ้าหนานไชยวงศ์ • เจ้ามหันต์ยศ • เจ้าหนานไชยเทพ • เจ้าหนานมหาเทพ • เจ้าน้อยคำกิ้ง • เจ้าอุปราช (ปัญญา) • เจ้าบุญปั๋น • เจ้าน้อยก้อนแก้ว • เจ้าคำปวน • เจ้ายอดเรือน • เจ้าอุษา • เจ้าบัวทิพย์ • เจ้าคำหลอ • เจ้าปิมปา • เจ้าอโนชา • เจ้าตุ่นแก้ว
เจ้าจันทรโสภา • เจ้าดารารัศมี พระราชชายา • เจ้าอินทวโรรสสุริยวงษ์ • เจ้าแก้วนวรัฐ • เจ้าจอมจันทร์ • เจ้าน้อยโตน • เจ้าแก้วปราบเมือง • เจ้าน้อยมหาวัน • เจ้าราชวงศ์ (น้อยขัตติยะ) • เจ้าคำข่าย • เจ้าคำห้าง
เจ้าอุตรการโกศล (ศุขเกษม ณ เชียงใหม่) • เจ้าบัวทิพย์ ณ เชียงใหม่ • เจ้าราชบุตร (วงศ์ตวัน ณ เชียงใหม่) • เจ้าพงษ์อินทร์ ณ เชียงใหม่ • เจ้าศิริประกาย ณ เชียงใหม่ • เจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่