เจ้าหญิงเมงอทเว หรือ เจ้าหญิงเจ้าภุ้นชิ่ เป็นพระราชธิดาในพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองกับพระสุพรรณกัลยา ซึ่งพระสุพรรณกัลยาเป็นพระพี่นางในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และสมเด็จพระเอกาทศรถ เนื่องจากพระสุพรรณกัลยาทรงเป็นองค์ประกันในพม่า พระสุพรรณกัลยาจึงมีพระนามภาษาพม่าว่า อเมี๊ยวโหย่ว และเชื่อว่าเป็นมเหสีที่พระเจ้าบุเรงนองทรงโปรดปราน ส่วนพระนามของพระราชธิดา โดยได้รับพระราชทานพระนามว่า เจ้าภุ้นชิ่ ซึ่งมีความหมายว่า ผู้มีสติปัญญาและพระบารมี แต่โดยมากจะรู้จักกันในพระนาม เมงอทเว (เมง-อะ-ทเว) พระองค์นี้อันมีความหมายว่า "พระธิดาองค์สุดท้อง" (และเป็นพระธิดาองค์สุดท้ายของพระเจ้าบุเรงนองด้วย)
หลังจากงานบูชามหาเจดีย์ชเวดากองจบสิ้นลง พระเจ้าบุเรงนองได้นิมนต์พระสงฆ์พม่า มอญ เชียงใหม่ และไทใหญ่ 3,500 รูป เจริญพระพุทธมนต์ และทำพิธีพุทธาภิเษกพระพุทธรูปหล่อด้วยทองคำ เงิน สำริด และปัญจโลหะ อย่างละองค์ ในการนี้พระเจ้าบุเรงนองได้ทำการเฉลิมพระยศพระราชโอรส และพระราชธิดา โดยในการนี้ เจ้าหญิงเจ้าภุ้นชิ่ พระราชธิดาในพระสุพรรณกัลยาได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็น พิษณุโลกเมียวซา เนื่องจากทรงได้รับสิทธิ์ในภาษีประจำปีที่ได้จากพิษณุโลก นับแต่นั้นมาทุกคนจึงขานพระนามพระราชธิดาพระองค์นี้ว่า เจ้าหญิงพิษณุโลก
มิกกี้ ฮาร์ท (Myin Hsan Heart) นักประวัติศาสตร์ชาวพม่าได้นำเสนอข้อมูลที่กล่าวถึงเจ้าหญิงเจ้าภุ้นชิ่ หรือเจ้าหญิงพิษณุโลก ได้ปรากฏว่าได้ตามเสด็จพระราชมารดาออกมาประทับนอกพระราชวังกัมโพชธานี โดยเจ้าหญิงเจ้าภุ้นชิ่ได้เสกสมรสกับ เจ้าเกาลัด พระโอรสของเจ้าอสังขยา เจ้าเมืองตะลุป ซึ่งเป็นชาวไทใหญ่ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของพระเจ้ามังรายกะยอชวา โอรสองค์ที่สองของพระเจ้านันทบุเรง และมีพระธิดาด้วยกันคือ เจ้าหญิงจันทร์วดี ซึ่งหมายความว่าในช่วงสงครามยุทธหัตถี พ.ศ. 2135 พระสุพรรณกัลยาซึ่งเป็นพระมารดามิได้ประทับอยู่ในหงสาวดีแต่ทรงประทับอยู่ในอังวะ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2137 พระเจ้าตองอู พระเจ้านยองยัน และพระเจ้าเชียงใหม่ ต่างแยกตัวเป็นอิสระจากหงสาวดี พระเจ้านยองยันจังได้เข้าครองกรุงอังวะที่เจ้าหญิงพิษณุโลก และพระมารดาอาศัยอยู่ อีกทั้งยังเป็นผลดีแก่ทั้งสองพระองค์ด้วย เนื่องจากพระเจ้านยองยันนั้นเป็นพระโอรสองค์หนึ่งของพระเจ้าบุเรงนอง ทั้งยังมีความคุ้นเคยกับเจ้าอสังขยาบิดาของเจ้าเกาลัด ภายหลังเจ้าเกาลัดจึงได้นำทหาร 3,000 นายออกจากหงสาวดีไปสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้านยองยันด้วยเหตุนี้ พระสวามีในเจ้าภุ้นชิ่จึงได้รับพระราชทานนามเป็น เจ้าโกโตรันตรมิตร และได้รับพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีเช่นเดียวกับเจ้าอสังขยาผู้เป็นพระบิดา
ภายหลังจากการสวรรคตของพระเจ้านยองยัน พระเจ้าสุทโธธรรมราชาพระราชโอรสจึงได้ครองราชย์ต่อ โดยพระองค์ได้แต่งตั้งให้เจ้าโกโตรันตรมิตรเป็นที่ปรึกษาของพระนางอดุลจันทร์เทวี พระอัครมเหสีของพระองค์ โดยพระอัครมเหสีได้มีความรักใคร่เอ็นดูเจ้าหญิงจันทร์วดีเป็นอันมาก เมื่อเจ้าหญิงจันทร์วดีมีพระชนมายุได้ 20 พรรษาก็ได้เสกสมรสกับเจ้าจอสูร์ จากเมืองส้าในไทใหญ่ ในปี พ.ศ. 2168 และได้ให้พระประสูติกาลพระโอรสพระนามว่า เจ้าจันทร์ญี และพระธิดา นามว่า เจ้ามณีโอฆ
ภายหลังเจ้าหญิงมณีโอฆได้เสกสมรสกับมหาเศรษฐีชาวอังวะ (พ.ศ. 2191-2192) และมีบุตรชายด้วยกันนามว่า กุลา โดยนายกุลาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ในสมัยพระเจ้าศรีมหาสีหสูรสุธรรมราชา เป็น "เจ้ารูปลังกา" และท่านผู้นี้ก็เป็นผู้แต่งพงศาวดารมหาราชวงษ์ หรือพงศาวดารพม่าที่มีชื่อเสียงที่สุดฉบับหนึ่งในปี พ.ศ. 2257