เจ้าหญิงอี พัง-จา (ฮันกึล: ???; ฮันจา: ???; อาร์อาร์: I Bangja; เอ็มอาร์: Yi Pangja; ญี่ปุ่น: ??? Ri Masako ?) มีพระนามเมื่อครั้งเป็นเจ้าในญี่ปุ่นว่า เจ้าหญิงมะซะโกะแห่งนะชิโมะโตะ (ญี่ปุ่น: ????? Nashimoto-no-miya Masako ?, ประสูติ: 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 — สิ้นพระชนม์: 30 เมษายน พ.ศ. 2532) พระชายาในเจ้าชายอุยมิน มกุฎราชกุมารแห่งเกาหลี เดิมทั้งสองพระองค์มีสิทธิ์ในการสืบราชบัลลังก์เป็นจักรพรรดิและจักรพรรดินีแห่งเกาหลี หากแต่เกิดการล้มล้างการปกครองจากสนธิสัญญาการยึดครองของญี่ปุ่น-เกาหลี ในปี พ.ศ. 2453 ที่คาบสมุทรเกาหลีตกเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่น
อี พัง-จา เป็นเชื้อพระวงศ์ญี่ปุ่นทั้งเป็นพระประยูรญาติสนิทของสมเด็จพระจักรพรรดินีโคจุง และเจ้าหญิงเซะสึโกะ เจ้าหญิงชิชิบุ สืบมาแต่ฝ่ายพระบิดาและพระมารดาตามลำดับ จากการที่ทรงประกอบพระกรณียกิจด้วยการอุปถัมภ์องค์กรเพื่อคนพิการทุพพลภาพและการก่อตั้งโรงเรียนขึ้นในเกาหลีใต้ ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงเป็นหนึ่งในสตรีญี่ปุ่นที่ชาวเกาหลีให้ความเคารพอย่างกว้างขวาง
อี พัง-จา หรือพระนามเดิมว่า เจ้าหญิงมะซะโกะแห่งนะชิโมะโตะ ประสูติเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2444 เป็นพระธิดาพระองค์ใหญ่ในเจ้าชายโมะริมะซะ เจ้าชายนะชิโมะโตะ กับเจ้าหญิงอิสึโกะ เจ้าหญิงนะชิโมะโตะ (สกุลเดิม: นะเบะชิมะ) มีพระขนิษฐาร่วมอุทรหนึ่งพระองค์คือ เจ้าหญิงโนะริโกะแห่งนะชิโมะโตะ (2450-2535) และมีพระอนุชาที่พระมารดาทรงรับเลี้ยงไว้ ชื่อเจ้าชายโนะริฮิโกะแห่งนะชิโมะโตะ (ต่อมาได้มียศและเปลี่ยนนามเป็น "เคานต์โนะริฮิโกะ ทะซุตะ")
พื้นฐานครอบครัวของพระองค์ พระบิดาเป็นพระโอรสในเจ้าชายอะซะฮิโกะแห่งคุนิ เจ้าหญิงมะซะโกะจึงเป็นพระญาติและมิตรสหายกับเจ้าหญิงนะงะโกะแห่งคุนิ (ต่อมาได้เป็นพระจักรพรรดินีในจักรพรรดิโชวะ) ส่วนบรรพชนฝ่ายพระมารดาคือสกุลนะเบะชิมะ เป็นบุตรของนะโอะฮิโตะ นะเบะชิมะ ไดเมียวคนสุดท้ายแห่งซะงะ เจ้าหญิงพังจามีพระญาติชั้นหนึ่งในสายนี้ที่มีความสนิทสนมเป็นสหายร่วมกัน ชื่อ เซะสึโกะ มะสึไดระ ที่ต่อมาได้เป็นพระชายาในเจ้าชายยะซุฮิโตะ เจ้าชายชิชิบุ และโยะชิโกะ มะสึไดระ ที่ต่อมาเป็นพระชายาในเจ้าชายก็อนแห่งเกาหลี
เมื่อพระองค์ล่วงเข้าสู่วัยสาวสะพรั่ง พระองค์ได้ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในสตรีที่มีความเหมาะสมกับการเป็นพระชายาของยุพราชเจ้าแห่งญี่ปุ่น ซึ่งก็รวมไปถึงเจ้าหญิงนะงะโกะแห่งคุนิ พระสหาย และโทะกิโกะ อิชิโจ ที่มีความเหมาะสมในเรื่องของวัยและสถานะทางสังคม แต่ด้วยเหตุที่ว่าพื้นฐานครอบครัวของพระองค์นั้นมีบุตรน้อยทั้งยังเป็นสตรีเสียหมดเจ้าหญิงอาจจะให้กำเนิดพระราชโอรสยาก เจ้าหญิงมะซะโกะจึงเป็นตัวเลือกที่ถูกตัดออกเป็นคนแรก
แต่อย่างไรก็ตามเจ้าหญิงมะซะโกะก็ได้เสกสมรสกับเจ้าชายอุยมิน มกุฎราชกุมารแห่งเกาหลีแทน โดยมกุฎราชกุมารแห่งเกาหลีพระองค์นี้ถูกนำมาเข้ารับการศึกษาที่ญี่ปุ่นเมื่อปี พ.ศ. 2459 ครั้นเจ้าหญิงมะซะโกะทรงสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนกะกุชูอิงในปี พ.ศ. 2463 ก็ได้มีการจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสเมื่อวันที่ 28 เมษายนปีเดียวกันนั้น ณ พระราชวังลี กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และได้รับการสถาปนาเป็น "มกุฎราชกุมารีแห่งเกาหลี" ส่วนพระนาม "มะซะโกะ" ของพระองค์ออกเสียงอย่างเกาหลีว่า "พังจา" และสะกดด้วยอักษรจีนเช่นกัน
เจ้าหญิงมะซะโกะ หรือเจ้าหญิงพังจา ได้ให้ประสูติกาลพระโอรสพระองค์แรกคือ เจ้าชายจิน เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2464 แต่พระโอรสพระองค์น้อยนี้ก็มีพระชนม์ให้ชื่นชมโสมนัสได้ไม่นานก็ถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2465 ขณะที่มกุฎราชกุมารและเจ้าหญิงพังจาพำนักอยู่ในเกาหลี สร้างความเศร้าเสียพระทัยแก่ทั้งสองมาก
วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2469 สมเด็จพระจักรพรรดิซุนจง พระเชษฐาของมกุฎราชกุมารเสด็จสวรรคต พระองค์จึงมีพระอิสริยยศเป็น "พระราชินี" ส่วนพระสวามีเป็น "พระราชา" ก็เพราะสนธิสัญญาการผนวกดินแดนเกาหลี-ญี่ปุ่นที่ลดตำแหน่งผู้นำเกาหลีจากจักรพรรดิเป็นเพียงราชา แต่เจ้าชายอุยมินไม่เคยผ่านพิธีราชาภิเษก ทั้งสองจึงมีอิสริยยศเพียงมกุฎราชกุมาร และมกุฎราชกุมารีตามเดิม ระหว่างนี้เจ้าหญิงพังจาได้ให้ประสูติกาลพระโอรสองค์ที่สอง คือ เจ้าชายกู เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2474
หลังสงครามโลกครั้งที่สอง กลุ่มเชื้อพระวงศ์ รวมทั้งตำแหน่งขุนนางต่าง ๆ ถูกล้มเลิกโดยยึดครองของสหรัฐอเมริกา การปกครองของเกาหลีจึงเปลี่ยนแปลงไป โดยเกาหลีเหนือมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเกาหลีใต้ที่พระองค์ประทับอยู่ ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นแบบสาธารณรัฐ ในสมัยของรัฐบาลอี ซึง-มัน มกุฎราชกุมารอุยมินได้เสด็จออกจากเกาหลีไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในญี่ปุ่นแทน จนในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2506 ครอบครัวของอดีตมกุฎราชกุมารได้เสด็จกลับเกาหลีตามคำกราบทูลเชิญของพัก ช็อง-ฮี ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ โดยประทับที่พระราชวังชังด็อก ในโซล แต่หลังจากนิวัติกลับมาได้ไม่ถึงทศวรรษ มกุฎราชกุมารอุยมินได้หมดสติและสิ้นพระชนม์ลงในโรงพยาบาลเซอุลซุงโม (Seoul Sungmo Hospital) เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2513 ด้วยพระอาการเส้นพระโลหิตอุดตัน
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าหญิงพังจาได้อุทิศพระองค์ให้กับการศึกษาเกี่ยวกับสภาพจิตใจและบุคคลทุพพลภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเป็นประธานและคณะกรรมการต่าง ๆ รวมทั้ง "คณะกรรมการที่ระลึกถึงมกุฎราชกุมารอุยมิน" (Commemorative Committee of Crown Prince Euimin) และโรงพยาบาลมย็องฮวี-ว็อน สำหรับคนหูหนวก, เป็นใบ้ หรือผู้ป่วยทารก นอกจากนี้ยังทรงก่อตั้งโรงเรียนจาฮเย และโรงเรียนมย็องฮเย สำหรับคนพิการให้ปรับตัวเข้าสู่สังคมได้อย่างปกติสุข ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงได้รับการเคารพจากชาวเกาหลีว่าเป็น "แม่พระของผู้ทุพพลภาพแห่งเกาหลี" แม้จะมีการต่อต้านญี่ปุ่นก็ตาม แต่เจ้าหญิงพังจาก็เป็นชาวญี่ปุ่นที่ชาวเกาหลีเคารพรักอย่างกว้างขวาง
ภายหลังการสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิงพังจาในปี พ.ศ. 2532 ราชสกุลนะชิโมะโตะได้เข้ามาแสดงความเคารพเจ้าหญิงพังจาที่โซลในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 ราชสกุลนะชิโมะโตะมีการจัดตั้งกองทุนการกุศลให้การช่วยเหลือชาวเกาหลีมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งการตรวจร่างกาย เฉกเช่นเมื่อสมัยที่เจ้าหญิงพังจาได้กระทำขณะเจ้าหญิงยังมีพระชนม์อยู่
เจ้าหญิงสิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็ง เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2532 ณ ตำหนักนักซอน พระราชวังชังด็อก โซล สิริรวมพระชนมายุได้ 87 พรรษา งานปลงพระศพที่จัดขึ้นเป็นกึ่งพระราชพิธี โดยมีเจ้าชายทะกะฮิโตะ เจ้าชายมิกะซะ และเจ้าหญิงยุริโกะ เจ้าหญิงมิกะซะ พระประยูรญาติจากญี่ปุ่นเข้าร่วมงานพิธีดังกล่าว พระศพของพระองค์ได้ถูกฝังเคียงข้างพระศพพระสวามีคือมกุฎราชกุมารอุยมินที่สุสานหลวงราชวงศ์โชซอนใกล้โซล
มีหนังสืออัตชีวประวัติของพระองค์ คือหนังสือ The World is One: Princess Yi Pangja's Autobiography โดยเนื้อหาในหนังสือจะมีรายละเอียดปลีกย่อยของพระองค์รวมอยู่ด้วย
พระประวัติของพระองค์ได้รับการถ่ายทอดเป็นละครของเกาหลีใต้เรื่อง "อี พัง-จา สตรีผู้อับโชค" (??? ??? ??; Unfortunate Mrs. Lee Bang Ja) ออกอากาศทางช่องเอสบีเอส (SBS) เมื่อปี พ.ศ. 2550 นำแสดงโดยคิม ฮี-เอ บทโทรทัศน์โดยจุง ฮา-ยุน ตามท้องเรื่องได้เล่าถึงเรื่องราวของพระองค์ที่เสกสมรสกับอี อึน ที่ญี่ปุ่น หลังทั้งสองย้ายกลับมายังเกาหลีเมื่อปี พ.ศ. 2505 อี พัง-จาได้ช่วยงานเพื่อสังคมโดยเฉพาะเด็กพิการจนสิ้นพระชนม์