สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แห่งราชวงศ์ปราสาททอง กับพระราชเทวีองค์ที่ 2 เป็นพระอนุชาร่วมพระมารดากับสมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ และเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังเจ้าฟ้าน้อยได้มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช จนถูกลงโทษทัณฑ์จนพระวรกายบวม มีอาการอ่อนเปลี้ยที่พระเพลา และเป็นอัมพาตที่พระชิวหา
สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง กับพระราชเทวีองค์ที่ 2 มีพระเชษฐาร่วมพระมารดาด้วยกันคือ สมเด็จเจ้าฟ้าอภัยทศ แต่เดิมสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตัดพระทัยจะมอบตำแหน่งรัชทายาทแก่เจ้าฟ้าอภัยทศ แต่ด้วยพระนิสัยฉุนเฉียว และกล่าวบริภาษด้วยถ้อยคำหยาบคาย สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงมีพระดำริที่จะสถาปนาเจ้าฟ้าน้อยในตำแหน่งรัชทายาทแทนพระเชษฐา
ด้วยเหตุที่เจ้าฟ้าน้อยมีพระจริยวัตรอันงดงาม พระสรีระโสภางดงาม และมีพระฉวีวรรณค่อนข้างขาว ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวสยามในขณะนั้น ทรงเป็นคนที่สุภาพ และรู้จักกันกว้างขวางในหมู่ชนทุกชั้น มีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี และจรรยามรรยาทละมุนละไม เป็นที่นิยมชมชอบในราชสำนัก และประชาชนทั่วไป สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงได้ทรงชุบเลี้ยงเปรียบเสมือนว่าเป็นพระโอรสของพระองค์เอง และได้มีพระดำริพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุดาวดี พระราชธิดาองค์เดียวของพระองค์เป็นพระชายา และเจ้าฟ้าหญิงก็ทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่ง แต่ความหวังก็พังพินาศลงในกาลต่อมา
ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) บุตรีของพระนมเปรมซึ่งเป็นผู้อภิบาลถวายการเลี้ยงดูสมเด็จพระนารายณ์มหาราช และเป็นพระขนิษฐาในพระเพทราชา ต่อมาได้ถวายตัวเป็นบริจาริกาในพระนารายณ์มหาราช ได้เกิดความพึงพอใจในเจ้าฟ้าน้อย จึงใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวงจนเจ้าฟ้าน้อยเสพสังวาสด้วยกับนางแต่เป็นการลับไม่ถึงพระเนตรพระกรรณ แต่ความเกิดแตกเนื่องจากตัวพระสนมเอง โดยนางได้ผ่านทางเข้าห้องที่ประทับของในหลวง ได้เห็นฉลองพระองค์ชั้นนอกของเจ้าฟ้าน้อยถอดวางไว้ ด้วยเป็นธรรมเนียมของการเข้าเฝ้าที่ต้องเปลือยกายครึ่งท่อนเสียก่อน ครั้นนางจำฉลองพระองค์ขององค์ชายได้ จึงให้นางทาสีหยิบนำไปเก็บไว้ที่ห้องของนางเสีย ด้วยคิดว่าองค์ชายจะทราบดีว่าผู้ใดเอาไป แล้วจะได้ติดตามไปในตำหนักของพระนาง แต่เจ้าชายหาได้เฉลียวใจเช่นนั้น เมื่อเจ้าชายออกมาไม่พบฉลองพระองค์ แต่โขลนทวารไม่ทราบว่าผู้ใดเอาไป จึงได้เที่ยวกันตามหาทั่วพระราชวัง เรื่องจึงเข้าถึงพระเนตรพระกรรณของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์จึงทรงพิโรธเป็นอันมากที่มีผู้เข้ามาลักทรัพย์ถึงในพระราชฐาน แค่พระทวารห้องที่ประทับของพระองค์แท้ๆ และผู้ที่มาหยิบก็ต้องออกมาจากพระราชฐานฝ่ายในเท่านั้น จึงมีรับสั่งให้ค้นให้ทั่วทันที โดยเข้าไปในตำหนักของพระสนมเอกก่อน จึงได้พบฉลองพระงค์ของเจ้าชาย ที่มิได้ซุกซ่อนให้มิดชิดวางอยู่ เหล่านางกำนัล และนางทาสีจึงชิงกันกราบทูลกล่าวโทษพระสนม สร้างความพิโรธแก่สมเด็จพระนารายณ์ฯเป็นอันมาก แม้กระนั้นพระองค์ก็มิทรงปรารถนาที่จะถือเอาแต่โทสจริต หรือวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงได้โปรดเกล้าฯ ตั้งให้คณะที่ปรึกษาแผ่นดินของพระองค์เป็นผู้วินิจฉัยคนทั้งสอง
คณะที่ปรึกษาได้พิจารณาลงโทษให้เอานางสนมไปโยนให้เสือกินเสีย ส่วนเจ้าฟ้าน้อยนั้นก็ทรงต้องระวางโทษให้สำเร็จโทษด้วยการใช้ไม้จันทน์สองท่อนบีบอัดเสียให้สิ้นพระชนม์ โดยอย่าให้โลหิตตกต้องแผ่นดินได้ สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ประหารพระสนมเอกตามคำพิพากษา ส่วนพระอนุชาธิราชได้พระราชทานผ่อนโทษลง ด้วยเหตุที่ว่า พระเชษฐภคินีองค์หนึ่งซึ่งพระองค์ทรงรักใคร่มากนั้น เมื่อใกล้จะถึงกาลกิริยาได้กราบทูลขอให้พระองค์ทรงชุบเลี้ยงพระอนุชาธิราชพระองค์นี้ เสมอว่าพระองค์เป็นพระบิดา ด้วยพระนางเธออำรุงเลี้ยงมาด้วยความเสน่หายิ่ง สมเด็จพระนารายณ์ฯจึงให้ลงทัณฑ์เสมอที่บิดาทำต่อบุตร แต่ด้วยถือเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จึงทรงทรงพิจารณาลงทัณฑ์ให้สาหัสด้วยหวาย และทรงเห็นว่าพระเพทราชาเป็นผู้หนึ่งที่ปรารถนาที่จะสำเร็จโทษเจ้าชาย เพื่อเป็นการแก้แค้นที่กระทำการลบหลู่พระเกียรติของพระองค์ จึงมีพระราชอาญาให้พระเพทราชา กับพระปีย์เป็นผู้ลงโทษ ทั้งสองได้ปฏิบัติตามคำสั่งโบยจนกระทั่งสลบแน่นิ่งไปเสมือนคนตาย แม้กระนั้นก็ยังฟื้นคืนพระชนม์ขึ้นมาได้ แต่พระวรกายนั้นบวมผิดปกติ มีอาการอ่อนเปลี้ยที่พระเพลา และมีการคล้ายเป็นอัมพาตที่พระชิวหา ทำให้พูดไม่ได้ บางคนก็กล่าวว่าพระองค์ทรงแกล้งเป็นใบ้เสีย เพื่อมิให้สมเด็จพระนารายณ์ฯแคลงพระทัย ด้วยขุนนางผู้ใหญ่ในแผ่นดิน และพระราชธิดาเองก็ยังสมัครรักใคร่พระองค์อยู่ หากพระองค์แสร้งเป็นใบ้ก็นับว่าพระองค์เป็นคนที่ใจแข็งมาก
ส่วนพระโอรสของเจ้าฟ้าน้อยที่เกิดกับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เข้าใจว่าสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงรอคอยจนกระทั่งมีพระประสูติการพระโอรสแล้ว จึงมีรับสั่งให้ลงพระราชอาญาความผิดนี้ด้วยการจับให้เสือกินเสีย ด้วยความที่กรมขุนเสนาบริรักษ์ ถือว่าเป็นลูกชู้ จึงมิได้รับการยกย่องในฐานพระราชนัดดาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแต่อย่างใด พระองค์จึงมีพระยศเป็น หม่อมแก้ว (ภายหลังพระราชพงศาวดารฯ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ (แก้ว) แก้ไขพระยศเป็น พระองค์แก้ว) จนถึงสมัยพระเพทราชา จึงสถาปนาหม่อมแก้ว พระราชนัดดาไว้ในตำแหน่ง "กรมขุนเสนาบริรักษ์" เจ้าต่างกรม