เจได เป็นสมาชิกของ นิกายเจได ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กรหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องสตาร์ วอร์ส นิกายเจไดเป็นนิกายที่ศึกษาและทำหน้าที่และใช้พลังลึกลับของสิ่งที่เรียกว่าพลังในด้านสว่าง เจไดได้ต่อสู้เพื่อสันติภาพและความยุติธรรมเพื่อความสงบเรียบร้อยในสาธารณรัฐกาแลคติค รวมทั้งต่อต้านกับ ซิธ ศัตรูที่ร้ายกาจ ผู้ที่เรียนรู้และใช้พลังด้านมืด แม้ว่านิกายนี้เกือบจะถูกทำลายถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดยจักรวรรดิซิธของดาร์ธ รีแวน และ ครั้งต่อมาเมื่อผ่านไปอีก 4,000 ปี โดยชำระบาปครั้งใหญ่ของดาร์ธ ซิเดียส นิกายยังคงอยู่จนกระทั่งรุ่งเรืองขึ้นด้วยความพยายามของ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ผู้ก่อตั้งนิกายเจไดใหม่เพื่อปกป้องสาธารณรัฐใหม่ หลังจากนั้นก็ได้เป็นตัวแทนของ สหพันธรัฐพันธมิตรอิสระกาแลกติก (Galactic Federation of Free Alliances)
โดยทั่วไปเจไดหมายถึง อัศวินเจได (Jedi Knight) ซึ่งเป็นบุคคลที่สามารถควบคุมและใช้งานพลัง โดยเจไดจะเลือกใช้งานเฉพาะด้านสว่างของพลังเท่านั้น
นิกายเจไดเกิดจากการรวมตัวของกลุ่มผู้เรียนรู้ปรัชญาบนดาวไทธอน (Tython) เจไดได้รับการเคารพว่าเป็นผู้รักษาความสงบและความยุติธรรมของกาแลคซี่ ด้วยอาวุธวิเศษจากพลังและพลังและด้านสว่างของพวกเขา ที่เรียกว่า กระบี่แสง (Lightsabers) พลังของเจไดจึงเป็นที่น่าเกรงขามของประชาชนในกาแลคซี่ ความสุขุมเยือกเย็น และ ความประพฤติของเจได ทำให้พวกเขาเป็นสุดยอดผู้นำมาซึ่งความสงบสุขในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งหรือสงคราม สำหรับพลังของเจไดและความหลากหลายที่เจไดมีน้อย บ่อยครั้งจึงถูกห้อมล้อมด้วยศัตรูในช่วงเวลาแห่งปัญหาและความสับสน พลังชั่วร้ายที่แฝงอยู่ได้ท้ายทายนิกายเจไดและสถาบันที่เจไดปกป้อง หนึ่งในนั้นคือ ซิธ นักรบมืดที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามของเจได ซิธสาปแช่งศัตรู สงครามระหว่างเจไดและซิธได้นำกาแลคซี่เข้าสู่สงครามครั้งแล้วครั้งเล่า ในช่วงวิกฤต อำนาจของซิธสามารถสกัดกั้นการรู้เห็นของนิกายเจไดให้มืดบอดได้
หนทางแห่งเจไดกลายเป็นหนทางแห่งปัญญาและความอดกลั้น ถูกผลักดันด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วและเด็ดขาดเมื่อถึงคราวจำเป็น บางครั้งที่สภาเจไดแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการตัดสินใจ อย่างเช่นในช่วงสงครามแมนดาลอเรี่ยน (Mandalorian Wars) ที่สภาเจไดควรทำงานตามสถานการณ์และแผนระยะยาว การนิ่งเฉยของสภากระตุ้นให้รีแวนตอบโต้กลับ และเป็นเหตุให้เข้าสู่สงครามเจไดกลางเมืองในส่วนอื่นๆ ของกาแลคซี่ เส้นแบ่งระหว่างซิธและเจไดก็เด่นชัดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งนี้ ทั้งสองฝ่ายถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของการทำลายล้างที่เกิดในที่ต่างๆ เช่น บนดาว คาทารร์(Katarr) ทีลอส(Telos)และบนแดนทูอีน (Dantooine)
ด้วยการวางแผนที่ซับซ้อนและความสามารถในการปรับตัวที่น่าพิศวงของปรมาจารย์ซิธผู้หนึ่ง (วุฒิสมาชิกพัลพาทีนแห่งนาบู) ได้ปรากฏตัวในห้องทำงานของสมุหนายกแห่งสาธารณรัฐ แผนของแห่งสงครามได้ถูกกำหนด และทำลายเจไดอย่างรุนแรงและรวดเร็วภายในครั้งเดียวได้ทำลายนิกายเจได และอ้างสิทธิ์การเป็นเจ้าของกาแล็กซี่ให้อยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ แม้ว่าการกวาดล้างเจไดจะยังไม่จบสิ้น ภายในยุคสมัยนั้น เจไดก็กลับมาปกป้องและทะนุบำรุงกาแล็กซี่อีกครั้งด้วยสติปัญญา และการนำทางของเจได ซึ่งก็คือที่มาของคติธรรมสำหรับสาธารณรัฐใหม่
การเป็นเจไดนั้นต้องรับข้อผูกมัดที่ลึกซึ้งและจิตใจที่หลักแหลม ชีวิตของเจไดคือการเสียสละ เจได คือผู้ที่มีสัมผัสของพลังซึ่งจะแผ่ออกมาตั้งแต่ยังเล็ก หากเกิดในดาวที่เจไดสามารถไประบุตัวได้ ก็จะได้รับการระบุตัวตั้งแต่ตอนเกิด (หรือโดยเร็วที่สุด) จากนั้นจะถูกนำตัวไปยังวิหารเจไดบนคอรัสซังค์ตั้งแต่ยังเป็นทารกหรืออายุน้อยมากไม่เกิน 7-8 ปี เมื่ออยู่ในวิหารเจได เด็กๆ จะได้รับการเลี้ยงดูและสั่งสอนตามวิธีของเจได รวมทั้งวิถีชีวิต กฎของเจไดที่ให้ความสำคัญเช่น ความสุขุม ความอดทน และความเมตตา และจะต้องระงับ ความรู้สึก เช่น ความเกลียด ความโกรธ และความกลัว ทำลายตนและนำสู่หนทางแห่งด้านมืดของพลัง
เจไดวัยเยาว์ส่วนใหญ่มักถูกเรียกว่ายังลิ่งหรือ เด็กๆ จะได้รับการจัดเป็นกลุ่มแล้วรับการถ่ายทอดวิชาจากปรมาจารย์เจไดที่มีประสบการณ์ เช่น โยดา เพื่อเรียนรู้วิถีของเจไดและอำนาจแห่งพลัง โดยปกติ การฝึกฝนเพื่อเป็นเจไดจะเริ่มตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เว้นแต่ยุคฟื้นฟูเจได หลังจากการสิ้นอำนาจของจักรวรรดิกาแล็กติก ระยะแรกนั้น เจไดรุ่นใหม่เป็นผู้ใหญ่ที่มีสัมผัสของพลัง ได้รับการฝึกครั้งแรกจากอาจารย์ลุค สกายวอล์คเกอร์โดยตรง หลังจากนั้นจึงค่อยรับเด็กๆเข้ามาฝึกฝนตามธรรมเนียมเดิม
เมื่อนักเรียนแต่ละคนได้รับการฝึกถึงขั้นที่น่าพอใจตามวิถีแห่งเจไดแล้ว เหล่าอัศวินที่ประสงค์จะมีศิษย์จะมาคัดเลือกเด็กเหล่านี้ไปฝึกฝนแบบตัวต่อตัว โดยเด็กที่ได้รับเลือกจะมีสถานะเป็น พาดาวัน สัญลักษณ์ของพาดาวัน (ในเผ่าพันธุ์ที่มีเส้นผม) คือ การไว้ผมเปียเล็กห้อยข้างใบหู และเกล้าหางม้าขนาดเล็กที่หลังศีรษะ สัญลักษณ์เหล่านี้จะถูกตัดออกในพิธีหลังจากพาดาวันได้รับการยอมรับเป็นอัศวินเต็มตัว ศิษย์พาดาวันจะติดตามอาจารย์ไปในภารกิจต่างๆ โดยอาจารย์จะทำตัวเป็นแบบอย่างให้คำชี้แนะ เมื่อพาดาวันมีประสบการณ์และฝีมือมากขึ้นก็อาจได้รับภารกิจเดี่ยวเป็นบางครั้ง
หากเด็กคนใดไม่ได้รับการเลือกไปเป็นพาดาวันของอัศวินเจไดภายในอายุ 13 ปี จะถูกคัดแยกไปอยู่ในหน่วยที่มีภารกิจเฉพาะ เช่น หน่วยสำรวจ หน่วยกสิกรรม หรือเป็นเจไดผู้เยียวยา
การเลื่อนจากพาดาวันขึ้นเป็นอัศวิน มีได้สองกรณีคือ ได้รับการทดสอบโดยสภาเป็นผู้ตัดสิน และ พาดาวันผู้นั้นมีผลงานโดดเด่นและได้รับการยอมรับว่า มีความสามารถสมควรได้รับการเลื่อนชั้นแล้ว ซึ่งโอบีวัน เคโนบี ได้เลื่อนชั้นเป็นอัศวินจากการเป็นผู้สังหารซิธ แม้ยังขณะที่ยังเป็นพาดาวัน
อาวุธตามธรรมเนียมของเจไดก็คือกระบี่แสงซึ่งเมื่ออยู่ในมือที่มีทักษะคล่องแคล่ว อาจกลายเป็นการต่อสู้ที่ร้ายกาจ แม้แต่กับการต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่ใช้อาวุธระยะไกล ในการบรรลุระดับของทักษะนี้ต้องการความตั้งใจสูงและการฝึกฝนที่เข้มงวด นักเรียนจะฝึกฝนการใช้กระบี่แสงจากระยะไกลและเด็กๆ จะใช้กระบี่แสงในการฝึกฝน พวกเขายังดวลกับเจไดด้วยกันเองเพื่อทดสอบฝีมือของพวกเขา เมื่อถึงเวลาการใช้กระบี่จริงๆ เจไดต้องการความระมัดระวังสูง ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนให้เป็นหนึ่งเดียวกับพลัง ตั้งแต่การเป็นหนึ่งเดียวกับความประณีตในเนื้อในของกระบี่แสงและชั้นแรกของประจุพลังซึ่งต้องการความรู้ทางด้านพลังเพื่อสนับสนุน เจไดจะสร้างกระบี่แสงด้วยตนเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝน โดยใช้คริสตัลพิเศษเป็นจุดรวมของใบกระบี่แสง ในช่วงสงครามเจไดกลางเมือง เจไดซีรีนหลายคนใช้คริสตัลพิเศษคาชาในกระบี่แสงเป็นเครื่องมือในการเข้าญาณ โดยเป็นหนึ่งเดียวกับคริสตัลในการฝึกกฎเกณฑ์ของพวกเขา เพื่อช่วยขจัดความวอกแวกในจิตใจ แม้แต่ความตึงเครียดในการต่อสู้จะนำตัวมันเองเพื่อหาส่วนประกอบของกระบี่แสง การเข้าญาณในถ้ำคริสตัลบนดาวเคราะห์ เช่น อิลัมหรือแดนทูอีนมักจะเห็นภาพใจจิตใจของเจไดเกี่ยวกับกระบี่แสงที่พวกเขาจะสร้างขึ้น การสร้างกระบี่แสงถูกพิจารณาเป็นเครื่องวัดระยะของการเข้าสู่ขั้นอัศวินเจไดและเป็นสัญลักษณ์ที่ให้ความหมายแข็งแกร่ง
ในการปฏิบัติตามหลักของเจได การปฏิบัติตัวของเจไดจะต้องไม่สั่นคลอนเพื่อยืนหยัดในระเบียบวินัยของตนเอง มีความรับผิดชอบและช่วยเหลือสาธารณะ เจไดต้องควบคุมความรู้สึกและความเห็นแก่ตัว พวกเขามีชีวิตที่มีเกียรติ มีหลักเกณฑ์ ในนิกายเจไดความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ เจไดมักช่วยสนับสนุนและปกป้องความอ่อนแอ กฎของการผูกมัด เช่น ความรู้สึก ความคิดเห็น ดั่งความเข้าใจในด้านมืดและสว่างในทุกสิ่ง เรียนรู้ที่จะเห็นอย่างระมัดระวัง เปิดตาของพวกเขาเพื่อรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ชัดแจ้งและปฏิบัติหน้าที่อย่างระมัดระวัง แม้กระทั่งสนใจในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ สำคัญที่สุด เจไดทำหน้าที่เพื่อสาธารณรัฐและเป็นหนึ่งเดียวกับพลัง เหล่าเจไดก่อนที่รูซานน์จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบมีหนทางหลายหนทางในการปฏิบัติของพวกเขา นิกายมีการจัดรวมที่หละหลวมและอัศวินเอกชนและปรมาจารย์ยอมให้อิสระส่วนตัวมากกว่า ภายหลัง นิกายมีศูนย์กลางสำคัญคือสภาสูง
แม้ว่าต่อมามันจะกลายเป็นข้อห้าม เจไดในยุคแรกๆ จะใช้โล่และเกราะเพื่อป้องกันตนเองในสนามรบ และใช้ปืนเลเซอร์แทนกระบี่แสงในการต่อสู้ เจไดในยุคก่อนการเปลี่ยนแปลงยังไม่มีชุดคลุมอีกด้วย หรืออาจมีมากหรือน้อยเมื่อพวกเขาเห็นว่าเหมาะสมแล้ว แม้ว่าเสื้อคลุมยาวตามประเพณีนั้นเป็นที่ชอบของปรมาจารย์ส่วนใหญ่ก็ตาม นี่รวมถึงเสื้อคลุมที่มีแขน เสื้อคลุมไม่มีแขนที่มักจะมีสีและโทนที่ไม่เปลี่ยนแปลงของสีขาวและน้ำตาล สีเทาก็เป็นสีปกติของเสื้อคลุมด้วย ด้านข้างซ้ายของชุดคลุมมักพลิกให้เห็นด้านขวาของลำตัว หลังจากมีการเปลี่ยนแปลง เสื้อคลุมยาวก็กลายเป็นเสื้อผ้าหลักของเจได แม้แต่ในสมรภูมิ เจไดยังใส่กางเกงอีกด้วย โอบิ เข็มขัดหนังสาระพัดประโยชน์ ที่ซึ่งพวกเขาเก็บเครื่องมือพิเศษสำหรับในภารกิจของพวกเขา และบูทหนัง สีของเจไดแสดงให้เห็นความกลมกลืนกับพลัง ซึ่งมีรูปร่างตรงกันข้ามกับซิธผู้ซึ่งแต่งกายโดยใช้สีดำเป็นหลักอย่างสิ้นเชิง ในการเห็นพ้องต้องใจของพวกเขาในเรื่องการไร้ความยึดติด ชุดแสดงให้เห็นว่าบางที่ก็ไม่จำเป็นในทีเดียว
เจไดแห่งสาธารณรัฐถูกต้องห้ามมิให้มีความผูกพันที่แรงกล้า ดังที่พวกเขาเชื่อว่ามันจะนำไปสู่ความรู้สึกของด้านมืด ด้วยเหตุนี้ เจไดจึงห้ามให้มีการแต่งงาน อนาคิน สกายวอล์คเกอร์์อาจเป็นคำสั่งเสียในเรื่องการระมัดระวังของเจได เหมือนที่เขากลัวการสูญเสียภรรยาลับของเขา คือ แพดเม่ อมิดาลาเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาจมลงสู่ด้านมืดของพลัง แต่การติดต่อกับลูกชายของเขา ลุค สกายวอล์คเกอร์ จะนำเขากลับสู่แสงสว่าง แม้ว่าเจไดไม่ได้มีข้อต้องการว่าจะต้องเป็นพรหมจรรย์ บางคนอาจมีความจำเป็นต้องมีทายาท ดังเช่นหนึ่งในกรณีพิเศษที่ได้ถูกบันทึกไว้ คือกรณีของ คิ-อดิ-มันดิิซึ่งเป็นชาวดาวซีเรียที่มีอัตราการเกิดต่ำ และอัตราเพศชายต่อเพศหญิงเป็น 1:10 จึงได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้สมรสโดยมีภรรยาหลายคนได้ และเป็นพ่อของลูกสาว 7 คน ลูกชาย 1 คนรานิค โซลูซาร์ถูกสั่งสอนวินัยจากสภาในการแต่งงานของเขาและลูกที่เกิดแต่ก็ไม่ได้ถูกขับออกจากการเป็นเจได
แม้จะมีข้อจำกัดนี้ เจไดรู้การที่จะมีความลับ ความสัมพันธ์อย่างลับๆ กับคนที่ไม่ใช่เจได เช่น การแต่งงานของอนาคิน สกายวอล์คเกอร์กับแพดเม่ อมิดาลา ควินลัน วอสและคาลีน เฮนทซ์ และนีจา ฮัลซีอนกับซีร่า ฮัลซีอน หรือกับคนในนิกายเจได เช่น ความสัมพันธ์ของคิท ฟิสโตกับเอย์ล่า ซีคูร่า ไคว-กอน จินกับทาฮ์ล โอบี-วัน เคโนบีกับซีริ ทาชิ และโทล์มกับทีอซา ความสัมพันธ์พวกที่ส่วนมากไม่ได้นำไปสู่โชคร้าย ไกลออกไป รีแวนแบ่งปันความรักกับแบสติล่า ชานซึ่งทำให้เธอพ้นความชั่วร้าย
ความด่างพร้อยอื่นๆ ที่เห็นได้ชัดในสภาสูงในเรื่องนี้ นี่นำไปสู่ความโกลาหลของโจลี บินโดกับภรรยาของเขา นายาม่า บินโด ในช่วงมหาสงครามซิธ บินโดฝึกสอนภรรยาของเขาให้ใช้พลัง แต่แล้วไม่นานเธอก็จมลงสู่ด้านมืด เขาไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากนิกาย แต่กลับถูกเลื่อนขั้นให้เป็นอัศวินเจไดอีกครั้ง เขาจึงเสียศรัทธาในความไตร่ตรองของสภาและออกจากนิกาย
มาถึงยุคเปลี่ยนแปลงของรูซานน์ เจไดบางคนได้ทำการแต่งงานและมีครอบครัวเป็นของตนเอง แม้แต่ทั้งครอบครัวก็เกิดมาจากเจได เช่น ครอบครัวของเอ็นเดอร์ ซันไรเดอร์ เด็กจากครอบครัวเจไดมักมีพรสวรรค์ในพลัง แม้ว่าต่อมาในนิกาย ครอบครัวก็ยังมีอยู่แม้ว่าการสืบเชื้อสายนั้นผ่านจากสมาชิกของครอบครัวแต่ละคนซึ่งไม่ได้เป็นเจได ครอบครัวเจไดแห่งสาธารณรัฐล่าสุดยังรวมถึงครอบครัวคูนและครอบครัวเดธท์
เส้นทางของเจไดนั้นเป็นชีวิตที่ยืนยาว เจไดมักใช้ชีวิตทั้งชีวิตอยู่ในนิกาย เรียนรู้เกี่ยวกับนิกายและพลังมากขึ้น และเดินตามเจตนารมณ์ของสภาเจได จนกระทั่งเกิดสงครามโคลน ซึ่งมีเจไดเพียง 20 คนเท่านั้น (ทั้งอัศวินหรือสูงกว่า) กล่าวว่าจะออกจากนิกาย อย่างผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดเคาท์นดูกูและปรมาจารย์ฟาเนียส พวกเขาเหล่านี้ถูกเรียกว่าผู้สูญหายทั้ง 20 หรือเรียกง่ายๆ ว่า"ผู้หลงทาง"
เจไดรวมเป็นหนึ่งด้วยการเรียนรู้ด้านพลังของพวกเขา "สนามพลังงาน" ซึ่งแผ่กระจายออกมาจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด เจไดค้นหาการเข้าใจในพลังซึ่งพวกเขาจะได้ใช้มันเพื่อปกป้องและช่วยเหลือผู้คนที่พวกเขารับใช้ เจไดเชื่อว่าพลังสามารถควบคุมได้โดยเรียนรู้อย่างระมัดระวังและการเข้าฌาณเพื่อได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้และโลกรอบตัว ขณะที่พวกเขาเรียนด้านสว่างของพลัง เจไดสนับสนุนสมาชิกของพวกเขาเพื่อใช้พลังในการป้องกันและรักษาเท่านั้น ไม่เคยใช้ด้วยความโกรธและกลัว แต่เจไดหลายคนตามประวัติศาสตร์ไม่เห็นด้วยในความคิดนี้ โต้เถียงว่าเป็นอย่างอื่น ผู้ใช้ด้านมืดของพลังน่าจะเป็นที่ยอมรับ การไม่เห็นพ้องต้องกันนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เจไดต้องทำศึกสงครามกับซิธไม่หยุดหย่อน
ด้านมืดของพลังนั้นเป็นที่น่ายั่วยุของเจไดหลายต่อหลายคน หลายอย่างของด้านมืดดูเร็วกว่าและง่ายกว่า แสวงหาในด้านมืด อย่างไรก็ตาม มันเป็นการพยายามที่จะทำลายตนเอง และเจไดหลายคนผู้ที่ใช้พลังมืดพบว่ามันยิ่งหันกลับไปมากขึ้นและมากขึ้น แม้ว่าเจไดบางคนอาจกลับเข้าสู่แสงสว่างได้อีกครั้ง แต่หลายคนก็จมลึกจนกลายเป็นเจไดมืด บางคนก็เป็นสามชิกของนิกายซิธ ยิ่งไปกว่านั้น การโหยหาด้านมืดก็ลดความสามารถของเจไดลงไปด้วย บดบังการมองทะลุในสิ่งสำคัญ ด้วยเหตุนี้ การฝึกฝนพลังด้านมืด จึงถูกประกาศให้เป็นสิ่งต้องห้ามโดยสภาเจได พวกที่จมสู่ด้านมืด อย่างไรก็ตาม เจไดก็พยายามที่จะช่วยในเจได การฆ่าคือหนทางสุดท้าย ความดีเลวนี้ครั้งหนึ่งเป็นความแข็งแกร่งและอ่อนแอของนิกาย มันทำให้พวกเขาดูเหมือนน่าไว้ใจเกินไป อย่างไรก็ตาม แม้แต่ซิธที่แข็งแกร่ง เช่น รีแวนและดาร์ธ เวเดอร์ก็ถูกช่วยและหันกลับสู่ด้านสว่างโดยเจได
เมื่อใช้อย่างถูกต้อง มันจะช่วยเจไดแก้ปัญหาทุกปัญหาและผ่านอุปสรรคทุกอุปสรรค ช่วยกาแล็กซี่ให้สงบขึ้น
เช่นเดียวกับที่เจไดต้องยึดมันในกฎของเจไดและพลัง สมาชิกแต่ละคนจะต้องบรรลุระดับพื้นฐานทั้งสี่ของเจได
อัศวินเจไดหรืออาจารย์เจไดจะมีศิษย์เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้น และพาดาวันจะต้องเป็นอัศวินเจไดก่อนที่จะเลือกพาดาวันคนใหม่มาเป็นศิษย์ หลายพันปีก่อนช่วงการเปลี่ยนแปลงของรูซานน์ อาจารย์สามารถมีศิษย์มากกว่าหนึ่งคนได้ เช่น อาจารย์อาคา เจทธ์ที่มีศิษย์ถึง 3 คน คือ พี่น้องอุลลิคและเคย์ เคว-โดรม่าและทวิเลค ทอทท์ โดนีตา เมื่อนิกายเจไดใหม่เริ่มต้นครั้งแรก ลุค สกายวอล์คเกอร์ มอบหมายนักเรียนหลายคนให้กับอาจารย์ที่น้อยนิดในนิกาย เช่น ไคล์ คาทาร์นมี เจเดน คอรร์ และรอช เพนิน ทั้งสองถูกมอบให้กับเขา
การเป็นเจไดคือชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง ในฐานะนิกายเจไดซึ่งต้องมีตวามรับผิดชอบสูง ขณะที่เจไดส่วนมากเป็นเจไดรักษาการ บางที่อาจทำหน้าที่พิเศษในบริเวณไม่มากก็น้อย แต่ในการเห็นพ้องต้องกันกับความสนใจของพวกเขาและการเลื่อน หรือเพราะพวกเขาถูกมอบหมายให้ทำหน้าที่รับผิดชอบสำหรับพื้ที่ซึ่งต้องการหน่วยพิเศษทำ ด้วยการเป็นหน่วยพิเศษนี้มักกลายเป็นเจไดที่ไม่เหมือนคน ยิ่งกว่านั้น ในช่วงเวลาประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ เจไดบางคนจะทำหน้าที่ทางการทหารและสู้รบเคียงข้างกับกองกำลังของสาธารณรัฐ
ในช่วงสงคราม โดยเฉพาะเมื่อกองกำลังซิธปรากฏตัวขึ้น เจไดอาจต้องปฏิบัติหน้าที่ในทางทหารและบัญชาการกองทัพแห่งสาธารณรัฐ อย่างที่เห็นในสงความแมนดาลอเรี่ยน สงครามกลางเมืองเจไดสงครามซิธใหม่ และสงครามโคลน ดังนั้น เจไดจึงกลายเป็นทหารไม่ใช่แค่ผู้รักษาความสงบ
ในตำแหน่งอื่นๆ ที่เพิ่มมาจากตำแหน่งธรรมดา มีจำนวนของยศและตำแหน่งอยู่บนพื้นฐานของหน่วยพิเศษในพื้นที่ของสงครามและการต่อสู้
เจไดบางคนอาจเชี่ยวชาญในเรื่องเก่าๆ เช่นในประวัติศาสตร์ของกาแล็กซี่ พลัง และนิกายเจไดสร้างความรู้ที่หาค่ามิได้
เจไดผู้ระวังภัยจะคอยตรวจตราเจาะจงในเฉพาะระบบและเขต เนื่องจากทำหน้าที่คล้ายกับนายทหารที่ติดต่อระหว่างทั้งสองกองทัพ ระหว่างระบบหรือเขตกับสภาเจได เจไดผู้ระวังภัยมักจะมีทักษะในด้านการทูตและความรู้ด้านวัฒนธรรมศาสนาของระบบหรือเขตนั้นๆ ที่พวกเขาจับตามองอยู่สูง เจไดผู้ระวังภัยมักจะมาจากระบบหรือเขตที่พวกเขาทำหน้าที่ดูแลอยู่นั่นเอง
นิกายเจไดยังมีส่วนในการตอบโต้กับอาชญากรรมอีกด้วย พวกเขาอาจเป็นเจ้าหน้าที่ทั่วไปของกาแลคซี,แต่ยังมีกลุ่มของเจไดที่ทำหน้าที่สืบสวนในอาชญากรรมนั้นๆ การสืบสวน การแก้ปัญหา และการป้องกัน
ซิธ เป็นชื่อเรียกของเหล่าอัศวินเจไดที่หลงไปในด้านมืดของพลัง ซึ่งชวนหลงใหลมากกว่า และเข้าถึงได้ง่ายกว่าพลังด้านสว่าง
วิหารเจได เป็นสถานที่และสิ่งก่อสร้างในภาพยนตร์ นวนิยาย หนังสือการ์ตูน และสื่ออีกมากมายของสตาร์ วอร์ส วิหารเจไดนั้นเป็นสถานที่ที่มีบทบาทมากมายในสตาร์ วอร์ส โดยเฉพาะในไตรภาคที่สอง ในภาพยนตร์ วิหารเจไดปรากฏตัวครั้งแรกในภัยซ่อนเร้น
วิหารเจได (อังกฤษ: ภาษาอังกฤษ: Jedi Temple) เป็นศูนย์บัญชาการหลักของนิกายเจไดตั้งแต่ช่วงสงครามซิธครั้งใหญ่จนถึงการกวาดล้างเจไดครั้งใหญ่ และในช่วงเวลาเดียวกันนั้น มันก็เป็นสถานที่ฝึก บริหาร และที่พัก มันเสียหายอย่างมากในช่วงเวลาก่อนการประกาศระเบียบใหม่