มณฑลเจียงซู (จีนตัวย่อ: ??? จีนตัวเต็ม: ??? เจียงซูเฉิ่ง) ชื่อย่อ ‘ซู’ (?) ตั้งอยู่ตอนกลางของดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศจีน มีเมืองหลวงชื่อว่าหนานจิง มีเนื้อที่ 102,600 ก.ม.มีประชากร ปี 2004 74,330,000 คน จีดีพี 1.54 ล้านล้านเหรินหมินปี้ต่อประชากร 20,700 ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวฮั่น แม่น้ำแยงซีเกียงไหลผ่านส่วนต่าง ๆ ทางใต้ของมณฑล
มณฑลเจียงซูมีเนื้อที่ 102,600 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 1.06% ของสาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของ ประเทศจีนติดกับนครเซี่ยงไฮ้ มีแม่น้ำแยงซีไหลผ่าน ประชากรมี 71.10 ล้านคน (สถิติปี 2539) ความหนาแน่น 689 คน/ ตร.กม.
เจียงซู ตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศแบบอบอุ่นต่อเนื่องกับเขตภูมิอากาศร้อนชื้น ทำให้อากาศในภาคเหนือและภาคใต้ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก กล่าวคือ ตอนเหนือตั้งแต่ที่ราบลุ่มแม่น้ำ Huaihe มีภูมิอากาศร้อน และฤดูหนาวอากาศหนาวจัดไม่ค่อยมีฝนแต่ทางใต้มีอากาศร้อนชื้น และฝนชุกฤดูหนาวอุณหภูมิไม่เย็นจัด อุณหภูมิเฉลี่ย 13-16 องศา เซลเซียส เดือนมกราคมเป็นช่วงที่มีอากาศหนาวที่สุดอุณหภูมิเฉลี่ย 3องศา ถึง -3 องศาเซลเซียส เดือนกรกฎาคมซึ่งเป็นเดือนที่ร้อนที่สุด ของปีอุณหภูมิเฉลี่ย 26-29 องศาเซลเซียส
แบ่งเขตการปกครองออกเป็น 11 เมือง ได้แก่ หนานจิง ซูโจว อู๋ซี ฉางโจว หนานทง หยางโจว เจิ้นเจียง เหลียนหวีนกั่ง ฉูโจว หยางเฉิง และ หวยอิน โดยมีนครหนานจิงเป็นเมืองหลวงของมณฑล
มณฑลเจียงซูมีความอุดมสมบูรณ์เนื่องจากมีทำเลที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มแม่ น้ำแยงซี และมีแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ โดยมีทะเลสาบน้ำจีด 2 แห่ง คือ Taihu Lake และ Hongzchu Lake ซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 และ 3 ในประเทศจีน ตามลำดับ พื้นที่บริเวณมณฑลเจียงซูจึงเหมาะสำหรับ ทำการเกษตร โดยมีเนื้อที่ทำการเกษตรประมาณ 4.6 ล้านเฮคเตอร์ ตามสถิติรายได้จากการทำการเกษตรของเจียงซูมีมูลค่า 84.5 พันล้าน หยวน (ประมาณ 4 แสนล้านบาท) ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการปลูก ธัญพืช ฝ้าย ถั่วลิสงและปศุสัตว์ เป็นต้น นอกจากนั้น เจียงซูยังเป็น มณฑลที่ติดชายฝั่งทะเลเหลือง มีพื้นที่ชายฝั่งทะเลประมาณ 1,000 กม. ทำให้มีรายได้จากการประมงและการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น
มณฑลเจียงซูยังมุ่งพัฒนาอุตสาหกรรมสมัยใหม่ขึ้นโดยเน้น โครงการลงทุนด้านอุตสาหกรรมหลัก 6 ประเภท คือ อุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเบา เครื่องจักรกล เครื่องไฟฟ้า อุตสาหกรรมเคมี และ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ในปี 2539 รายได้จากอุตสาหกรรมของมณฑล คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 แสนล้านหยวน ปัจจุบันมณฑลเจียงซูมีเขต อุตสาหกรรม (Industrial Township) เพื่อส่งเสริมโครงการลงทุน อุตสาหกรรมประมาณ 110,000 แห่ง ในปี 2539 มูลค่าการค้าของ มณฑลเจียงซูมีประมาณ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (สินค้าออก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และสินค้าเข้า 8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมี บริษัท ซึ่งดำเนินการโดยรัฐ และบริษัทร่วมทุนกิจการค้าทั้งหมด 479 บริษัทจากหลายประเทศ อาทิ ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหรัฐ เยอรมัน สหราช อาณาจักร สิงคโปร์ โตโก ชิลี ปานามา และโปแลนด์ เป็นต้น ในปี 2539 โครงการลงทุนต่างชาติทั้งหมดในมณฑลเจียงซูมีจำนวน 34,321 โครงการ มีมูลค่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ (โครงการลงทุนของ ไทยมีจำนวน 263 โครงการ มูลค่า 120 ล้านเหรียญสหรัญ) มูลค่าการ ลงทุนของต่างชาติในมณฑลเจียงซูมีมากเป็นอันดับสองของประเทศจีน รองจากมณฑลกวางตุ้ง
ในปี 2540 ผลผลิตมวลรวม (GDP) ของมณฑลเจียงซูมี มูลค่า 670 พันล้านหยวน โดยแยกเป็นผลผลิตด้านอุตสาหกรรมหลัก 102 พันล้านหยวน อุตสาหกรรมรอง 342 และด้านเกษตร 226 พันล้าน หยวน มูลค่าสินค้าออก (export) เท่ากับ 15.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และสน ค้าเข้า (import) มูลค่า 8.6 พันล้านดอลล่าร์ รายได้จากการท่องเที่ยวมี มูลค่า 40 พันล้านหยวน
ปัจจุบันมณฑลเจียงซูมีสนามบินทั้สิ้น 8 แห่ง เส้นทางบิน 39 สาย ติดต่อกับเมืองสำคัญ ๆ ในทวีปยุโรปและแอฟริกา มีเที่ยวบินประมาณ 250 เที่ยวต่อสัปดาห์
เส้นทางรถไฟหลักมี 3 สาย สายแรกจากปักกิ่งถึงนครเซี่ยงไฮ้ สายที่ สองจากหนานจิงถึงเมืองจูหู และสายที่ 3 จากเมืองเหลียงยุนกังถึง เมืองลานโจว คิดเป็นจำนวนกิโลเมตรประมาณ 750 กม. มณฑล เจียงซูมีโครงการสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูง (high speed train) อีกหลายสายเพื่อเชื่อมต่อเมืองต่าง ๆ ในบริเวณใกล้เคียงและบริเวณ เมืองท่าริมชายฝั่งด้านตะวันออก
มณฑลเจียงซูมีถนนรวม 27,000 ตร.กม. เชื่อมโยงเมืองต่าง ๆ 200 แห่งทั่วมณฑลเจียงซู และติดต่อกับมณฑลข้างเคียงอีก 7 มณฑล
มณฑลเจียงซูมีเมืองท่า 7 แห่ง เมืองท่าสำคัญคือเหลียงหยุนกัง (Liangyungang) เป็นท่าเรือใหญ่ที่สุดในจำนวน 6 แห่ง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน สามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ 100,000 ตันได้ และสามารถขนส่งสินค้าได้ปีละ 25 ล้านตัน ท่าเรือ ดังกล่าวมีสายการเดินเรือประมาณ 22 สายจากฮ่องกง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ มาเลเซีย ยุโรป และจากประเ ศไทย ขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ ดังกล่าว
มณฑลเจียงซู เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจีน ในปี 2539 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติจำนวนกว่า 820,000 คน เดินทางมา ท่องเที่ยวในมณฑลดังกล่าว ในปี 2540 รายได้จากการท่องเที่ยวมี มูลค่า 40 พันล้านหยวน
อนึ่ง มณฑลเจียงซูกำลังอยู่ในระหว่างทาบทามการมีความสัมพันธ์ แบบบ้านพี่เมืองน้องกับจังหวัดชลบุรีอยู่ นครหนานจิง (Nanjing) พื้นที่และประชากร นครหนานจิงหรือนานกิงเป็นเมืองหลวงของมณฑลเจียงซู ตั้งอยู่ตอนใต้ของ แม่น้ำแยงซี โดยมีทิวเขา Zijin ล้อมรอบ มีพื้นที่6,598 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 10 ตำบลและ 5 อำเภอ (Jiangning, Jianpu, Liuhe, Lishui และ Gaochun มีประชากร 5.4 ล้านคน ภูมิอากาศ หนานจิงได้สมญาว่าเป็นหนึ่งใน "เตาไฟ" ของประเ ศจีน (นอกเหนือจาก หวูฮั่นและนครฉงชิ่ง) อุณหภูมิในฤดูร้อน (ประมาณ กรกฎาคม) อาจสูงถึงประมาณ 40 องศาเซลเซียส
หนานจิง เป็นเมืองหลวงเก่าลำดับที่ 5 ของจีน (นครหลวงของ จีนในประวัติศาสตร์ตามลำดับได้แก่ กรุงอันหยาง ซีอาน ลั่วหยาง ไคฟง หนานจิง หางโจวและ ปักกิ่ง) นครหนานจิงมีชื่อ ปรากฏในพงศาวดารมาเกือบ 2,000 ปี และเคยถูกสถาปนา เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจีนหลายสมัยคือ
1. ในสมัย 3 ก๊กนั้นหนานจิงเป็นที่รู้จักกันในนาม "เมืองกังตั๋ง" นครหลวงของก๊กซุนกวน ชาวกังตั๋งมีความชำนาญด้านการรบ ทางน้ำเนื่องจากมีแม่น้ำแยงซีเกียงอยู่ที่หน้าเมืองกังตั๋ง (ชาว เมืองเรียกทะเล) ทำให้สามารถการฝึกการรบทางน้ำได้อย่างช่ำ ชองที่ทะเลเมืองกังตั๋งเป็น ี่ซึ่งกองทัพอันเกรียงไกรของโจโฉ ต้องพ่ายการรบทางเรือสูญเสียไพร่พลทหารอย่างย่อยยับจาก ร้อยหมื่นคนเหลือไม่กี่สิบคน
2. หลังยุค 3 ก๊กประมาณ 900 ปี กรุงกังตั๋ง ได้ถูกสถาปนาเป็น เมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งใต้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ประมาณ 8-9 ปี ต่อมาช่วงปี 1368 ขณะที่จีนตกอยู่ในสภาพแตกเป็นก๊กมาก มาย มหาบุรุษชื่อ "จูหยวนจาง" มีชัยชนะเหนือก๊ก ทั้งหมดจึงได้ สถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น และตั้งนครหลวงที่เมืองกังตั๋งโดยให้ ชื่อว่า "กรุงกิมเล้ง" หรือมังกรทอง ต่อมากองทัพราชวงศ์หมิงได้ บุกขึ้นยึดกรุงปักกิ่งและขับไล่พวกมองโกลออกจากดินแดนจีน โดย จูหยวนจาง ทรงมอบให้องค์ชายสี่ปกครองปักกิ่ง ส่วนพระองค์ยังคงปกครองกรุงกิมเล้ง ซึ่งถูกเปลี่ยนชื่อเป็น"หนานจิง" โดยองค์ชายสี่หรือจักรพรรดิ์หย่งเลอภายหลังโค่นอำนาจรัชกาล ที่ 2 ของราชวงศ์หมิงลงประมาณปีคศ. 1404 "นครหนานจิง"มี ความหมายว่านครทางใต้ คู่ไปกับ "นครปักกิ่ง" ซึ่งหมายความ ว่า นครทางเหนือ จากนั้นจักรพรรดิ์หย่งเลอก็เสด็จไปประทับ ที่กรุงปักกิ่งซึ่งทรงสถาปนาเป็นนครหลวงอาณาจักรจีนแทนกรุง หนานจิง
3. ปี ค.ศ. 1853 ในสมัยราชวงศ์ชิง นครหนานจิงถูกสถาปนาเป็น เมืองหลวงอีกครั้งในสมัย ี่ชาวฮั่นลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจ รัฐบาลราชวงศ์ชิง โดย "หงซีกวาน" หัวหน้ากลุ่มปฏิวัติ ตั้งเมือง หลวงอยู่ที่กรุงหนานจิงเป็นเวลา 11 ปีก่อนที่จะถูกปราบโดย กองทัพแมนจู ในที่สุด
4. ในปี ค.ศ. 1909 ดร. ซุน ยัด เซน ได้ปฏิวัติโค่นราชวงศ์ชิงชาว แมนจูลงและจัดตั้งรัฐบาลประชาธิปไตยขึ้นที่กรุงหนานจิงซึ่ง กลับกลายมาเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนอีกครั้งหนึ่งจนถึงปี คศ. 1949 เมื่อรัฐบาลจอมพลเจียงไคเช็คพ่ายแพ้หลบหนีพรรค คอมมิวนิสต์จีนไปอยู่ไต้หวัน
พระราชวังโบราณ เป็นต้นแบบของพระราชวังหลวงที่กรุงปักกิ่งซึ่งจักรพรรดิ์หย่งเลอ รัชกาลที่3 แห่งราชวงศ์หมิง รงให้ ช่างถ่ายแบบไปก่อสร้างเป็นพระราชวังโบราณในกรุงปักกิ่ง ปัจจุบัน สุสาน "จูหยวนจาง" อดีตลูกชาวนารูปร่างอัปลักษณ์ ผู้มี ความห้าวหาญซึ่งมีชัยขนะเหนือก๊กชาวฮั่นได้และ ปราบดาภิเษกเป็นฮ่องเต้มีพระนามว่า "หมิงไท่จู" ตั้งราชวงศ์หมิงขึ้น ทรงสร้างความเจริญแก่หนานจิงมาก กำแพงนครหนานจิง สร้างในสมัย จักรพรรดิ์หมิงไท่จู นับเป็นกำแพงเมืองที่สูงใหญ่และยาวที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง สุสาน ดร. ซุน ยัดเซน ผู้สถาปนาระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยสมัยใหม่ในจีน อนุสรณ์สถาน "ไท้ผิงเทียนกวั๋ว" นักสู้จีนแคะผู้ลุกฮือขึ้นต่อ ต้านการปกครองของราชวงศ์แมนจู