อุบัติเหตุนิวเคลียร์เกาะทรีไมล์ (อังกฤษ: Three Mile Island accident) เป็นการหลอมละลายทางนิวเคลียร์บางส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มีนาคม ค.ศ. 1979 ในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์หนึ่งในสองเครื่องของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เกาะทรีไมล์ ที่ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำซัสควีฮานนา ดาวฟินเคาน์ตี ใกล้เมืองแฮริสเบิร์ก เมืองหลวงของรัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา อุบัติเหตุครั้งนี้ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ใช้ในทางพานิชย์ของสหรัฐ และได้รับการจัดความรุนแรงไว้ที่ระดับ 5 จาก 7 ตามมาตราระหว่างประเทศว่าด้วยเหตุการณ์ทางนิวเคลียร์ (INES) แปลว่า อุบัติเหตุนี้'มีผลกระทบในวงกว้างมาก'
อุบัติเหตุเริ่มต้นด้วยความล้มเหลวในระบบรอง (อังกฤษ: secondary system) ที่ไม่ใช่นิวเคลียร์ ตามติดด้วยวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่อง (อังกฤษ: Pilot-Operated Relief Valve (PORV)) ที่ติดขัดและเปิดค้างในระบบหลัก (อังกฤษ: primary system) ทำให้น้ำหล่อเย็นจำนวนมากของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์รั่วไหลออกมา ความล้มเหลวทางกลไก (อังกฤษ: mechanical failure) ถูกผสมเข้ากับความล้มเหลวแต่แรกของผู้ควบคุมเครื่องโรงไฟฟ้าที่รับรู้สถานการณ์ที่คิดว่าเป็นอุบัติเหตุจากการสูญเสียน้ำหล่อเย็นเนื่องจากการฝึกอบรมที่ไม่เพียงพอและปัจจัยของมนุษย์ (อังกฤษ: human factor) เช่นการมองข้ามการออกแบบที่ให้คอมพิวเตอร์มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับตัวชี้วัดในห้องควบคุมที่ไม่ชัดเจนใน user interface ของโรงไฟฟ้??า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟแสดงสถานะที่ถูกซ่อนไว้ได้นำผู้ควบคุมเครื่องคนหนึ่งดำเนินการยกเลิกด้วยมือ (อังกฤษ: manually overriding) ของระบบระบายความร้อนฉุกเฉินอัตโนมัติของเครื่องปฏิกรณ์ เพราะผู้ควบคุมเครื่องคนนั้นเข้าใจผิดว่ามีน้ำหล่อเย็นมากเกินไปอยู่ในเครื่องปฏิกรณ์และเป็นสาเหตุให้ความดันไอน้ำถูกปล่อยออกมา
อุบัติเหตุได้ตกผลึกความกังวลด้านความปลอดภัยในการต่อต้านนิวเคลียร์ในหมู่นักเคลื่อนไหวและประชาชนทั่วไป ส่งผลให้เกิดกฎระเบียบใหม่สำหรับอุตสาหกรรมนิวเคลียร์และได้รับการยกฐานะให้เป็นผู้สนับสนุนในการลดลงของโครงการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ใหม่ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการในช่วงทศวรรษที่ 1970 การหลอมละลายบางส่วนส่งผลให้มีการปลดปล่อยปริมาณที่ไม่ทราบจำนวนของก๊าซกัมมันตรังสีและสารกัมมันตรังสีไอโอดีน (iodine-131) เข้าสู่สภาพแวดล้อม การคาดการณ์ที่เลวร้ายถูกจัดทำโดยนักกิจกรรมเคลื่อนไหวต่อต้านนิวเคลียร์ แต่การศึกษาด้านระบาดวิทยาที่ทำการวิเคราะห์อัตราการเกิดโรคมะเร็งในพื้นที่และรอบ ๆ พื้นที่ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุ ได้พิจารณาว่าการมีเพิ่มขึ้นขนาดเล็กที่ไม่ได้มีนัยสำคัญทางสถิติในอัตราการเกิดโรคมะเร็ง จึงไม่สามารถเชื่อมโยงสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งเหล่านี้กับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ การทำความสะอาดได้เริ่มต้นในเดือนสิงหาคมปี 1979 และจบลงอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมปี 1993 ด้วยค่าใช้จ่ายทำความสะอาดรวมประมาณ $ 1 พันล้าน
หลายชั่วโมงในเวลากลางคืนก่อ??นเหตุการณ์จะเกิดขึ้น เครื่องปฏิกรณ์ TMI-2 กำลังทำงานที่ 97% ของกำลังเต็ม ในขณะที่สหายของมัน เครื่องปฏิกรณ์ TMI-1 ถูกปิดเพื่อเติมเชื้อเพลิง ห่วงโซ่หลักของเหตุการณ์ที่นำไปสู่??การหลอมละลายล่มสลายของแกนบางส่วนเริ่มขี้นเมื่อเวลา 04:37 EST ของวันที่ 28 มีนาคม 1979 ในวงน้ำรอบที่สองของ TMI-2 ซึ่งเป็นหนึ่งในสามวงรอบ (อังกฤษ: loop) ของน้ำ/ไอน้ำในเครื่องปฏิกรณ์น้ำแรงดันสูง (PWR)
สาเหตุแต่แรกของอุบัติเหตุเกิดขึ้นเมื่อสิบเอ็ดชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในระหว่างความพยายามของผู้ควบคุมเครื่องในการแก้ไขปัญหาการอุดตันของตัวขัดคอนเดนเสท (อังกฤษ: condensate polisher) (อุปกรณ์สำหรับกรองน้ำที่ถูกควบแน่นจากไอน้ำ) ตัวหนึ่งในแปดตัวที่มีอยู่ ซึ่งถูกใช้เป็นตัวกรองที่มีความซับซ้อนเพื่อทำความสะอาดวงรอบน้ำที่สอง (อังกฤษ: secondary water loop) ตัวกรองเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการสะสมของแร่ธาตุและสิ่งสกปรกในน้ำในเครื่องกำเนิดไอน้ำซึ่งไปเพิ่มอัตราการกัดกร่อนในด้านที่สอง
การอุดตันเป็นเรื่องธรรมดากับตัวกรองเรซินเหล่านี้และมักจะได้รับการแก้ไขได้อย่างง่ายดาย แต่ในกรณีนี้วิธีการปกติของการบังคับให้เรซินที่ติดอยู่ออกมาด้วยอากาศอัดไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ควบคุมเครื่องตัดสินใจที่จะระเบิดอากาศอัดเข้าไปในน้ำและปล่อยให้แรงของน้ำล้างเรซินออก เมื่อพวกเขาบังคับให้เรซินออก จำนวนเล็ก ๆ ของน้ำได้บังคับให้มันไหลผ่านเช็ควาล์วที่ติดขัดและเปิดค้างอยู่ และไหลผ่านเข้าไปในสายอากาศเครื่องมือ ซึ่งในที่สุดจะทำให้เครื่องสูบน้ำป้อน (อังกฤษ: feedwater pump) ปั๊มเพิ่มแรงดันคอนเดนเสท และปั๊มคอนเดนเสทที่จะหยุดการทำงานเมื่อประมาณ 04:00 ซึ่งทำให้ไม่สามารถควบคุมความเร็วของกังหันได้ที่เรียกว่า turbine trip
เมื่อเครื่องกำเนิดไอน้ำไม่ได้รับน้ำป้อนอีกต่อไป ความร้อนและความดันก็เพิ่มขึ้นในระบบน้ำหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ ทำให้เครื่องปฏิกรณ์ทำการปิดฉุกเฉิน (SCRAM) ภายในแปดวินาที แท่งควบคุมถูกสอดเข้าไปในแกนกลางเพื่อหยุดปฏิกิริยาลูกโซ่นิวเคลียร์ เครื่องปฏิกรณ์ยังคงสร้างความร้อนจากการสลายกัมมันตรังสี (อังกฤษ: decay heat) ต่อไป และเนื่องจากไอน้ำไม่ถูกนำมาใช้โดยกังหันอีกแล้ว ความร้อนก็ไม่ได้ถูกกำจัดออกจากวงรอบน้ำหลักของเครื่องปฏิกรณ์
เมื่อใดก็ตามที่ปั๊มน้ำป้อนที่สองหยุดทำงาน ปั๊มเสริมสามตัวจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ แต่เนื่องจากวาล์วถูกปิดเพื่อซ่อมบำรุงประจำ ระบบก็ไม่สามารถที่จะสูบน้ำใด ๆ ได้ การปิดของวาล์วเหล่านี้เป็นการละเมิดกฏที่สำคัญของคณะกรรมการกำกับกิจการนิวเคลียร์ (NRC) ตามกฏดังกล่าว เครื่องปฏิกรณ์จะต้องปิดตัวลงทันทีหากทุกปั๊มฟีดเสริมถูกปิดเพื่อซ่อมบำรุง ซึ่งต่อมาเหตุการณ์นี้ถูกแยกออกมาโดยเจ้าหน้าที่ NRC ว่าเป็นความล้มเหลวที่สำคัญ
การสูญเสียในการกำจัดความร้อนจากวงรอบหลักและความล้มเหลวของการเปิดใช้งานระบบเสริมทำให้ความดันวงรอบหลักสูงขึ้น เป็นการสั่งให้วาล์วระบายที่ทำงานโดยนำร่องที่ด้านบนของถังควบคุมแรงดัน (อังกฤษ: pressurizer) ให้เปิดโดยอัตโนมัติ วาล์วระบายควรจะปิดเมื่อแรงดันส่วนเกินถูกปล่อยออก และกระแสไฟฟ้าที่จ่ายให้กับขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าของตัวนำร่องจะถูกตัดออกโดยอัตโนมัติ แต่วาล์วระบายเกิดการติดขัดและเปิดค้างเพราะความผิดทางกลไก วาล์วที่เปิดจึงยอมให้น้ำหล่อเย็นหลุดลอดออกจากระบบหลัก และเป็นสาเหตุทางกลหลัก (อังกฤษ: principal mechanical cause) ของการหลอมละลายบางส่วนที่ตามมา
ปัจจัยมนุษย์ที่สำคัญและปัญหาทาง'วิศวกรรมส่วนติดต่อผู้ใช้' (อังกฤษ: user interface engineering) ถูกเปิดเผยในการสอบสวนของส่วนติดต่อผู้ใช้ของระบบการควบคุมการทำงานเครื่องปฏิกรณ์ฯ แม้ว่าวาล์วจะกำลังติดขัดและเปิดค้างอยู่ ไฟบนแผงควบคุมก็ยังแสดงให้เห็นอย่างเห็นได้ชัดว่าวาล์วอยู่ในสถานะ ปิด ในความเป็นจริงไฟไม่ได้ระบุสถานะของวาล์ว มันเพียงแค่บอกสถานะของขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าว่าที่มีกระแสไฟฟ้ามาขับเคลื่อนมันหรือไม่เท่านั้น จึงเป็นการให้หลักฐานที่ผิดพลาดของวาล์วว่ามันปิดอยู่ เป็นผลให้ผู้ควบคุมเครื่องวินิจฉัยปัญหาไม่ถูกต้องเป็นเวลาหลายชั่วโมง
การออกแบบของไฟแสดงสถานะของวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่องเป็นข้อบกพร่องขั้นพื้นฐาน หลอดไฟมีการเชื่อมต่อเพียงแค่ขนานกับขดลวดแม่เหล็กไฟฟ้าของวาล์วเท่านั้น นั่นหมายความว่าวาล์วระบายถูกปิดอยู่เมื่อไฟไม่ติด โดยไม่ได้มีการตรวจสอบสถานะที่แท้จริงของวาล์ว เมื่อทุกอย่างมีการทำงานอย่างถูกต้อง ไฟบอกสถานะจะเป็นความจริงและผู้ควบคุมเครื่องมีความเคยชินที่จะพึ่งพามันได้ แต่เมื่อมีสิ่งผิดพลาดเกิดขึ้นและวาล์วระบายหลักติดขัดและเปิดค้างอยู่ การที่ไฟไม่ติดทำให้ผู้ควบคุมเครื่องเข้าใจผิดโดยคิดว่าวาล์วถูกปิดอยู่ เรื่องนี้ทำให้ผู้ควบคุมเครื่องเกิดความสับสนมาก เพราะความดันและอุณหภูมิอีกทั้งระดับน้ำหล่อเย็นในวงจรหลัก เท่าที่พวกเขาจะสังเกตเห็นได้ผ่านทางเครื่องมือของพวกเขา ไม่ได้มีพฤติกรรมอย่างที่พวกมันควรจะมีถ้าวาล์วระบายถูกปิด ความสับสนนี้มีส่วนทำให้อุบัติเหตุมีความรุนแรงขึ้นเพราะผู้ควบคุมเครื่องไม่สามารถออกจากวงจรของสมมติฐานที่ขัดแย้งกับสิ่งที่เครื่องมือของพวกเขาได้บอก พวกเขาไม่อาจก้าวข้ามจนกระทั่งกะใหม่เดินเข้ามา กลุ่มใหม่นี้ไม่ได้มีแนวคิดเหมือนกับผู้ควบคุมเครื่องกะก่อนหน้านี้ ที่มีการวินิจฉัยปัญหาได้อย่างถูกต้อง ในตอนนั้นความเสียหายใหญ่ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
ผู้ควบคุมเครื่องไม่ได้รับการฝึกอบรมที่จะเข้าใจธรรมชาติที่คลุมเครือของไฟบอกสถานะของวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่องและการมองหาทางเลือกเพื่อยืนยันว่าวาล์วระบายหลักถูกปิดหรือไม่ มีไฟบอกสถานะของอุณหภูมิที่ส่วนปลายของวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่องในท่อหางระหว่างวาล์วระบายและตัวสร้างความดัน (อังกฤษ: pressurizer) ที่อาจจะได้บอกพวกเขาแล้วว่าวาล์วยังติดขัดและเปิดอยู่ โดยแสดงให้เห็นว่าอุณหภูมิในท่อหางยังคงสูงกว่าที่มันควรจะเป็นถ้าวาล์วระบายที่ทำงานด้วยการนำร่องถูกปิด อย่างไรก็ตามไฟบอกสถานะของอุณหภูมินี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชุด "เกรดที่ปลอดภัย" ที่ออกแบบมาเพื่อนำมาใช้หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และผู้ควบคุมเครื่องไม่ได้รับการฝึกอบรมการใช้งาน ที่ติดตั้งของมันก็อยู่ด้านหลังของโต๊ะ ซึ่งหมายความว่ามันต้องการให้อยู่นอกสายตาของผู้ควบคุมเครื่อง[ต้องการอ้างอิง]
ในขณะที่ความดันในระบบหลักยังคงลดลงต่อเนื่อง น้ำหล่อเย็นในเตาปฏิกรณ์ก็ยังคงไหลอยู่ แต่มันกำลังเดือดอยู่ภายในแกนกลาง ตอนแรกฟองอากาศขนาดเล็กของไอน้ำก่อตัวขึ้นและยุบตัวลงทันที เรียกว่าการเดือดแบบนิวเคลียร์ (อังกฤษ: nucleate boiling) เมื่อความดันของระบบลดลงต่อไป กระเป๋าไอน้ำเริ่มก่อตัวในน้ำหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ 'การออกจากการเดือดแบบนิวเคลียร์' (DNB) ไปเป็นรูปแบบของ "การเดือดของฟิล์ม" (อังกฤษ: film boiling) นี้ทำให้เกิด'การโมฆะของไอน้ำ' (อังกฤษ: steam voids) ในช่องน้ำหล่อเย็น ที่ปิดกั้นการไหลของน้ำหล่อเย็นและเพิ่มอุณหภูมิของเปลือกหุ้มเชื้อเพลิงอย่างมหาศาล ระดับน้ำโดยรวมภายในตัว pressurizer กำลังสูงขึ้น แม้จะมีการสูญเสียของน้ำหล่อเย็นที่ไหลผ่านวาล์วระบายนำร่องที่เปิดค้างอยู่ เนื่องจากปริมาณของโมฆะไอน้ำเหล่านี้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าน้ำหล่อเย็นที่สูญเสียไป เพราะขาดเครื่องมือที่ใช้เฉพาะการวัดระดับของน้ำในแกนกลาง ผู้ควบคุมเครื่องตัดสินระดับของน้ำในแกนกลางด้วยระดับในตัว pressurizer แต่เพียงอย่างเดียว พอเห็นว่าระดับมันสูง พวกเขาจึงคิดว่าแกนกลางถูกปกคลุมด้วยน้ำหล่อเย็นอย่างถูกต้องแล้ว ไม่ได้ระแวงเลยว่าเป็นเพราะไอน้ำก่อตัวขึ้นในอ่างเครื่องปฏิกรณ์ ไฟบอกสถานะทำให้เข้าใจผิด การบอกสถานะว่าน้ำมีระดับสูงมีส่วนทำให้เกิดความสับสน เนื่องจากผู้ควบคุมเครื่องมีความกังวลเกี่ยวกับวงรอบน้ำหลัก "จะกลายเป็นของแข็ง" (คือไม่มีกระเป๋าไอน้ำเป็นบัฟเฟอร์อยู่ในตัว pressurizer) ซึ่งในระหว่างการฝึกอบรม พวกเขาได้รับคำสั่งที่จะไม่อนุญาตให้เกิดขึ้น ความสับสนนี้เป็นสาเหตุที่สำคัญของความล้มเหลวแต่แรกในการรับรู้ถึงอุบัติเหตุว่าเกิดจากความสูญเสียของน้ำหล่อเย็น (อังกฤษ: loss-of-coolant accident) และนำผู้ควบคุมเครื่องไปสู่การปิดปั๊มระบายความร้อนหลักฉุกเฉิน ซึ่งได้ถูกสตาร์ตเครื่องโดยอัตโนมัติหลังจากที่วาล์วระบายนำร่องติดขัดและเปิดค้างและเริ่มต้นสูญเสียน้ำหล่อเย็น เนื่องจากกลัวว่าระบบจะถูกเติมด้วยน้ำจนล้น
ด้วยวาล์วระบายนำร่องยังคงเปิดอยู่ ถังระบายของตัวสร้างความดัน (อังกฤษ: pressurizer) ที่ใช้เก็บรวบรวมสิ่งปล่อยออกจากวาล์วระบายนำร่องจะถูกเติมจนล้น มีผลทำให้บ่อกักเก็บของอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ (อังกฤษ: Containment building) เต็มและส่งสัญญาณเตือนภัยที่เวลา 04:11 ในตอนเช้า เสียงเตือนนี้ พร้อมกับอุณหภูมิที่สูงกว่าปกติในสายการปล่อยของวาล์วระบายนำร่องและการสูงขึ้นอย่างผิดปกติของอุณหภูมิและความกดดันของอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์เป็นข้อบ่งชี้ที่ชัดเจนว่ามีอุบัติเหตุจากการสูญเสียของน้ำหล่อเย็นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ไฟบอกสถานะเหล่านี้ถูกละเลยแต่แรกโดยผู้ควบคุมเครื่อง เมื่อเวลา 04:15 ในตอนเช้า ไดอะแฟรมระบายของถังระบายในตัว pressurizer ก็แตก และน้ำหล่อเย็นที่มีกัมมันตรังสีก็เริ่มที่จะรั่วไหลออกมาเข้าไปในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ทั่วไป น้ำหล่อเย็นที่มีกัมมันตรังสีนี้ถูกสูบจากบ่อกักเก็บในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ไปยังอาคารเสริมที่อยู่นอกอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์หลัก จนกระทั่งปั๊มของบ่อเก็บกักหยุดการทำงานเมื่อเวลา 04:39 ในตอนเช้า
หลังจากผ่านไปเกือบ 80 นาทีของอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ปั๊มน้ำหล่อเย็นของเครื่องปฏิกรณ์หลักสี่เครื่องของวงน้ำหลักเริ่มที่จะเป็นโพรงอากาศ (อังกฤษ: cavitation) เนื่องจากการผสมกันของฟองไอน้ำกับน้ำ แทนที่จะเป็นน้ำอย่างเดียวที่ไหลผ่านพวกมันไป เครื่องสูบน้ำถูกปิดลง และก็เชื่อว่าการไหลเวียนโดยธรรมชาติจะทำให้น้ำยังคงหมุนเวียนต่อไป ไอน้ำที่อยู่ในระบบป้องกันไม่ให้น้ำไหลผ่านแกนกลางและเมื่อน้ำหยุดการไหลเวียน มันขะถูกแปลงให้เป็นไอน้ำในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ประมาณ 130 นาทีหลังจากการทำงานที่ผิดพลาดครั้งแรก ด้านบนของแกนเครื่องปฏิกรณ์ได้เปิดออกและความร้อนเข้มข้นได้ทำให้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างการก่อตัวของไอน้ำในแกนเครื่องปฏิกรณ์กับปลอกหุ้มแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่เป็นสาร Zircaloy ได้ผลผลิตออกมาก๊าซเซอร์โคเนียมไดอ๊อกไซด์, ไฮโดรเจนและความร้อนเพิ่มขึ้น ปฏิกิริยานี้ได้ละลายปลอกหุ้มแท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์และทำความเสียหายให้กับเม็ดเชื้อเพลิง ซึ่งได้ปล่อยไอโซโทปกัมมันตรังสีออกมาให้กับสารหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ และผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่เชื่อว่าได้ทำให้เกิดการระเบิดขนาดเล็กในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ต่อมาในบ่ายวันนั้น
เมื่อเวลา 06:00 มีการเปลี่ยนกะในห้องควบคุม กลุ่มที่มาใหม่สังเกตเห็นว่าอุณหภูมิในท่อหางของวาล์วระบายนำร่องและถังที่ถืออยู่มีค่าสูงเกินไปและมีการใช้วาล์วสำรองที่เรียกว่า "วาล์วกั้น" เพื่อปิดการระบายของน้ำหล่อเย็นผ่านทางวาล์วระบายนำร่อง แต่ประมาณ 32,000 แกลลอน (120,000 ลิตร) ของน้ำหล่อเย็นได้รั่วไหลออกมาเรียบร้อยแล้วจากวงรอบน้ำหลัก การรั่วไหลยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่ง 165 นาทีหลังจากการเริ่มต้นของปัญหาที่มีการเตือนภัยรังสีเมื่อน้ำที่ปนเปื้อนไหลเข้าไปถึงเครื่องตรวจจับ โดยเวลานั้นระดับรังสีในน้ำหล่อเย็นหลักอยู่ที่ประมาณ 300 เท่าของระดับที่คาดไว้และโรงไฟฟ้ามีการปนเปื้อนอย่างจริงจัง
เมื่อเวลา 06:56 หัวหน้าโรงไฟฟ้าประกาศภาวะฉุกเฉินในพื้นที่และน้อยกว่า 30 นาทีต่อมาผู้จัดการโรงไฟฟ้าแกรี่ มิลเลอร์ประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วไป หมายถึงการมี "ศักยภาพสำหรับผลกระทบที่ร้ายแรงเกี่ยวกับรังสี" ที่มีต่อประชาชนโดยทั่วไป และปริมณฑล เอดิสันได้แจ้งต่อสำนักงานจัดการเหตุฉุกเฉินเพนซิลเวเนีย (PEMA) ซึ่งจากนั้นก็ติดต่อกับหน่วยงานของรัฐและท้องถิ่น ได้แก่ ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียนายริชาร์ด แอล Thornburgh และรองผู้ว่านายวิลเลียม สแครนตันที่สาม ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบจาก Thornburgh สำหรับการเก็บรวบรวมและรายงานข้อมูลเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ความไม่แน่นอนของผู้ควบคุมเครื่องที่โรงไฟฟ้าได้ถูกสะท้อนให้เห็นในคำกล่าวที่เป็นชิ้น ๆ คลุมเครือหรือขัดแย้งที่กล่าวโดย Met Ed (บริษัทเมโทรโพลิตันเอดิสันซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ดำเนินงานยูทิลิตี้ในภูมิภาค) ที่กล่าวกับหน่วยงานภาครัฐและกับสื่อมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเป็นไปได้และความรุนแรงของการปลดปล่อยกัมมันตภาพรังสีนอกเขตโรงงาน นายสแครนตันได้จัดงานแถลงข่าวที่เขามั่นใจ แต่ก็ยังสับสน เกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้ เขาระบุว่าแม้ว่าจะได้มีการ "ปล่อยขนาดเล็กของรังสี ... ไม่มีการเพิ่มขึ้นของระดับรังสีปกติ" ได้รับการตรวจพบ คำกล่าวเหล่านี้ขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่คนอื่นและกับคำกล่าวของ Met Ed ซึ่งทั้งสองคนอ้างว่าไม่มีกัมมันตภาพรังสีถูกปล่อยตัวออกมา ในความเป็นจริงการอ่านจากเครื่องมือที่โรงไฟฟ้าและเครื่องตรวจจับนอกสถานที่ได้ตรวจพบการเผยแพร่กัมมันตภาพรังสี ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ไม่น่าที่จะเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนตราบเท่าที่พวกมันอยู่ชั่วคราว และภายใต้เงื่อนไขที่ว่าบรรจุภัณฑ์ของเครื่องปฏิกรณ์ที่ปนเปื้อนอย่างสูงในตอนนั้นจะถูกเก็บรักษาอย่างดี
ด้วยความโกรธที่ Met Ed ไม่ได้แจ้งให้ทราบก่อนที่จะดำเนินการระบายไอน้ำทิ้งจากโรงไฟฟ้า และเชื่อใจว่าบริษัทได้เล่นเบา ๆ กับความรุนแรงของการเกิดอุบัติเหตุ เจ้าหน้าที่ของรัฐหันไปหา NRC หลังจากที่ได้รับรายงานของอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจาก Met Ed, NRC ได้เปิดใช้งานสำนักงานใหญ่เพื่อตอบสนองฉุกเฉินในเมือง Bethesda รัฐ Maryland และส่งเจ้าหน้าที่ไปเกาะทรีไมล์ ประธานของ NRC นายโจเซฟ Hendrie และผู้ตรวจราชการ นายวิกเตอร์ Gilinsky ในตอนแรกได้มองไปที่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ในคำพูดของนักประวัติศาสตร์ NRC นายซามูเอล วอล์คเกอร์ ว่าเป็น "สาเหตุสำหรับความกังวล แต่ไม่น่าตกใจ" Gilinsky ได้บรรยายสรุปให้ผู้สื่อข่าวและสมาชิกของสภาคองเกรสเกี่ยวกับสถานการณ์และ แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว และในเวลา 10.00 น ได้พบกับสองคณะกรรมาธิการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม NRC ต้องเผชิญกับปัญหาที่เหมือนกันในการได้รับข้อมูลที่ถูกต้องในฐานะที่เป็นรัฐ และถูกขัดขวางต่อไปโดยเป็นองค์กรที่มีการเตรียมพร้อมที่ไม่ดีในการจัดการกับเหตุฉุกเฉิน เนื่องจากมันขาดโครงสร้างคำสั่งที่ชัดเจนและอำนาจตามฏหมายที่จะบอกหน่วยงานสาธารณูปโภคว่าจะควรจะต้องทำอย่างไร หรือในการสั่งการอพยพออกจากพื้นที่ท้องถิ่น
ในบทความปี 2009 Gilinsky เขียนว่าต้องใช้เวลาห้าสัปดาห์ที่จะเรียนรู้ว่า "ผู้ควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ได้วัดอุณหภูมิเชื้อเพลิงมีค่าใกล้จุดหลอมละลาย" เขายังเขียนต่ออีกว่า: "เราไม่ได้เรียนรู้มานานหลายปี - จนกระทั่งอ่างเครื่องปฏิกรณ์ได้เปิดร่างกายของมันออกมา - ว่า เมื่อตอนที่ผู้ควบคุมเครื่องโรงไฟฟ้าโทรฯมาที่ NRC เมื่อเวลาประมาณ 08:00 ในตอนเช้า ประมาณครึ่งหนึ่งของเชื้อเพลิงยูเรเนียมได้หลอมละลายไปเรียบร้อยแล้ว"
มันก็ยังไม่ชัดเจนกับเจ้าหน้าที่ห้องควบคุมว่าระดับน้ำในวงจรหลักอยู่ในระดับต่ำและว่ามากกว่าครึ่งหนึ่งของแกนโผล่ออกมาหรือไม่ กลุ่มของคนงานได้เข้าไปอ่านจากตัวเลขบนเครื่องวัดอุณหภูมิ (อังกฤษ: thermocouple) และเก็บตัวอย่างวงจรน้ำหลัก เจ็ดชั่วโมงในระหว่างฉุกเฉิน น้ำใหม่ถูกสูบเข้าไปในวงจรน้ำหลักและวาล์วระบายสำรองถูกเปิดเพื่อลดความดันเพื่อให้วงจรสามารถถูกเติมด้วยน้ำ หลังจาก 16 ชั่วโมงปั๊มวงจรหลักถูกเปิดขึ้นอีกครั้งและอุณหภูมิของแกนกลางเริ่มตกลง ส่วนใหญ่ของแกนถูกหลอมละลายและระบบยังคงเป็นอันตรายจากกัมมันตรังสี
ในวันที่สามหลังจากอุบัติเหตุ ฟองไฮโดรเจนถูกพบในโดมของอ่างความดัน และกลายเป็นจุดสนใจของความกังวล การระเบิดของก๊าซไฮโดรเจนอาจไม่เพียงแต่ทำลายอ่างความดันเท่านั้น แต่(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของมัน)อาจจะประนีประนอมความสมบูรณ์ของอ่างบรรจุที่นำไปสู่การปลดปล่อยขนาดใหญ่ของสารกัมมันตรังสี อย่างไรก็ตามมันถูกกำหนดว่าไม่มีออกซิเจนในอ่างความดัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเบื้องต้นสำหรับไฮโดรเจนที่จะเผาไหม้หรือระเบิด ขั้นตอนในทันทีคือการลดฟองไฮโดรเจน และจนถึงวันรุ่งขึ้น มันก็มีขนาดเล็กลงอย่างมีนัยสำคัญ ในช่วงสัปดาห์ถัดไป ไอน้ำและไฮโดรเจนถูกกำจัดออกจากเครื่องปฏิกรณ์โดยใช้ recombiner แบบเร่งปฏิกิริยาและก่อให้เกิดความโต้แย้งโดยระบายตรงไปยังชั้นบรรยากาศ
เมื่อแถวแรกของการจำกัดวงปัญหาถูกทำลายในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้าที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์ มีความเป็นไปว่าเชื้อเพลิงหรือผลผลิตจากฟิชชัน (อังกฤษ: Fission product) ที่อยู่ภายในอาจจะหลุดลอดเข้าไปในสิ่งแวดล้อม แม้ว่าปลอกหุ้มเชื้อเพลิงเซอร์โคเนียมได้ถูกทำลายในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อื่นโดยไม่ได้ปลดปล่อยกัมมันตรังสีออกสู่สิ่งแวดล้อมก็ตาม ที่ TMI-2 (Three Miles Island 2) ผู้ควบคุมเครื่องได้อนุญาตให้ปล่อยผลผลิตจากฟิชชั่นออกจากอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ที่มีเครื่องกั้นอื่น ๆ[ต้องการอ้างอิง] นอกจากนั้นยังค้นพบในภายหลังด้วยว่าไม่เพียงแต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ แต่ผู้ควบคุมเครื่องเกาะสามไมล์ยังสั่งทิ้งน้ำกัมมันตรังสีลงไปในแม่น้ำ Susquehanna จึงส่งผลกระทบต่อผู้ที่อยู่ปลายน้ำอีกด้วย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปลอกหุ้มได้รับความเสียหายในขณะที่วาล์วระบายที่ทำงานด้วยนำร่องยังคงติดขัดและเปิดค้างอยู่ ผลผลิตจากฟิชชั่นได้ถูกปลดปล่อยลงไปในน้ำหล่อเย็นของเตาปฏิกรณ์ เนื่องจากวาล์วระบายดังกล่าวยังติดขัดอยู่และอุบัติเหตุการสูญเสียน้ำหล่อเย็นยังคงคืบหน้าต่อไป น้ำหล่อเย็นในวงจรหลักที่มีผลผลิตจากฟิชชันและ/หรือเชื้อเพลิงได้ถูกปล่อยออกมาและในที่สุดก็จบลงในอาคารเสริม ซึ่งอาคารเสริมนี้อยู่นอกขอบเขตอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์
หลักฐานเกิดขึ้นจากการเตือนภัยรังสีที่ดังขึ้นในที่สุด อย่างไรก็ตามเนื่องจากผลผลิตจากฟิชชันที่ถูกปล่อยออกมามีปริมาณน้อยมากและกลายเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง จึงมีรายงานการปนเปื้อนรังสีน้อยมากในสภาพแวดล้อม ไม่มีระดับของรังสีที่มีนัยสำคัญกับอุบัติเหตุของ TMI-2 ด้านนอกของ TMI-2 ตามรายงาน Rogovin ส่วนใหญ่ของไอโซโทปรังสีที่ปล่อยออกมาเป็นก๊าซมีตระกูลพวกซีนอนและคริปทอน รายงานกล่าวว่า "ในช่วงของการเกิดอุบัติเหตุ ประมาณ 2.5 MCi (93 PBq) ก๊าซกัมมันตรังสีมีตระกูลและ 15 Ci (560 GBq) ของรังสีไอโอดีนถูกปล่อยออกมา" ส่งผลให้ปริมาณเฉลี่ย (อังกฤษ: average dose) ขนาด 1.4 มิลลิเรม (14 ?Sv) ไปให้กับคนที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าสองล้านคน รายงานได้เปรียบเทียบกับการปลดปล่อยนี้กับ 80 มิลลิเรม (800 ?Sv) ต่อปีเพิ่มเติมจากที่ได้รับจากการใช้ชีวิตในเมืองที่อยู่สูงเช่นเดนเวอร์ ในขณะที่การเปรียบเทียบเพิ่มเติม ผู้ป่วยจะได้รับ 3.2 มิลลิเรม (32 ?Sv) จากการเอกซเรย์หน้าอกหนึ่งครั้ง - มากกว่าสองเท่าของปริมาณเฉลี่ยของผู้ที่ได้รับใกล้โรงไฟฟ้า การวัดรังสีเบต้าไม่ได้รวมอยู่ในรายงาน
ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการเกิดอุบัติเหตุ สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมของสหรัฐอเมริกา (EPA) เริ่มการสุ่มตัวอย่างรายวันของสภาพแวดล้อมที่สามสถานีใกล้ที่สุดกับโรงไฟฟ้า การตรวจเฝ้าอย่างต่อเนื่องที่ 11 สถานีไม่ได้มีการจัดทำจนถึงวันที่ 1 เมษายนและไม่ได้ขยายไปที่ 31 สถานีจนถึงวันที่ 3 เมษายน การวิเคราะห์ระหว่างหน่วยงานได้ข้อสรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้ยกระดับกัมมันตภาพรังสีให้ไปสูงกว่าระดับพื้นหลังมากพอที่จะทำให้เกิดการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเพิ่มเติมแม้แต่คนเดียวในหมู่คนที่อยู่ในพื้นที่ แต่การวัดรังสีเบต้าไม่ได้รวมอยู่ด้วย EPA ไม่พบการปนเปื้อนในน้ำ ดิน ตะกอนหรือในตัวอย่างพืช
นักวิจัยที่วิทยาลัยดิกคินสันที่อยู่ใกล้เคียง - ซึ่งมีอุปกรณ์การตรวจสอบรังสีที่มีความไวมากพอที่จะตรวจจับการทดสอบอาวุธปรมาณูในบรรยากาศของจีนได้ - ได้เก็บตัวอย่างดินจากพื้นที่ปลอดภัยสองสัปดาห์และตรวจไม่พบระดับที่สูงมากขึ้นของกัมมันตภาพรังสี ยกเว้นหลังจากฝนตก (น่าจะเกิดจากเรดอนธรรมชาติ ไม่ใช่เกิดจากอุบัติเหตุ) นอกจากนี้ กวางหางขาวที่หากินในระยะ 50 ไมล์ (80 กิโลเมตร) จากเครื่องปฏิกรณ์ภายหลังจากที่เกิดเหตุถูกพบว่ามีระดับที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญของซีเซียม-137 มากกว่าในกวางในมณฑลที่อยู่โดยรอบโรงไฟฟ้าอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น ระดับที่สูงขึ้นยังคงต่ำกว่ากวางที่พบเห็นในส่วนอื่น ๆ ของประเทศในช่วงสูงสุดของการทดสอบอาวุธในบรรยากาศ ถ้าหากมีการปลดปล่อยของกัมมันตภาพรังสีในระดับที่สูงขึ้นจริง ระดับที่เพิ่มขึ้นของไอโอดีน-131 และซีเซียม-137 น่าจะมีการคาดหวังว่าจะถูกตรวจพบในนมตัวอย่างจากวัวและแพะ ระดับที่สูงยังตรวจไม่พบ การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ต่อมาตั้งข้อสังเกตว่าตัวเลขการปล่อยรังสีอย่างเป็นทางการมีความสอดคล้องกับข้อมูลที่มีอยู่ในเครื่องวัดปริมาณรังสี (อังกฤษ: dosimeter) แม้ว่าคนอื่นจะสังเกตเห็นความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการปลดปล่อยในช่วงต้น
ตามตัวเลขอย่างเป็นทางการ, จากการรวบรวมโดยคณะกรรมการ Kemeny ในปี 1979 จากเมโทรโพลิตันเอดิสันและข้อมูลของ NRC, ปริมาณสูงสุดที่ 480 PBq (13 MCI) ของก๊าซกัมมันตรังสีมีตระกูล (ส่วนใหญ่เป็นซีนอน) ถูกปลดปล่อยโดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ก๊าซมีตระกูลเหล่านี้ได้รับการพิจารณาว่าค่อนข้างไม่เป็นอันตราย และมีเพียง 481-629 GBq (13.0-17.0 Ci) ของไอโอดีน-131 ที่เป็นตัวก่อให้เกิดมะเร็งต่อมไทรอยด์เท่านั้นที่ถูกปล่อยออกมา ปริมาณรวมที่ปล่อยออกมาตามตัวเลขเหล่านี้เป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยของประมาณ 370 EBQ (10 GCI) ในเครื่องปฏิกรณ์ มันถูกพบในภายหลังว่าประมาณครึ่งหนึ่งของแกนกลางถูกหลอมละลายและปลอกหุ้มประมาณ 90% ของแท่งเชื้อเพลิงเกิดความเสียหาย กับ 5 ฟุต (1.5 เมตร) ของแกนหายไป และประมาณ 20 ตัน (18 t) ของยูเรเนียมกำลังไหลลงไปที่ด้านล่างของอ่างความดัน ก่อตัวเป็นก้อน Corium อ่างเครื่องปฏิกรณ์ - ระดับที่สองของภาชนะบรรจุหลังจากปลอกหุ้ม - ได้รักษาความสมบูรณ์เอาไว้ และเก็บเชื้อเพลิงที่ได้รับความเสียหายที่มีเกือบทั้งหมดของไอโซโทปกัมมันตรังสีไว้ในแกนกลาง
กลุ่มการเมืองต่อต้านนิวเคลียร์ได้โต้แย้งผลการวิจัยของคณะกรรมการ Kemeny โดยอ้างว่าการวัดอย่างอิสระได้ให้หลักฐานของระดับรังสีที่สูงกว่าปกติถึงห้าเท่าในสถานที่หลายร้อยไมล์ใต้ลมจากเกาะทรีไมล์ แรนดัล ธอมป์สันช่างเทคนิคด้นสุขภาพร่างกายที่ถูกจ้างมาให้ทำการตรวจสอบการปล่อยกัมมันตรังสีที่เกาะทรีไมล์หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกล่าวว่า "ผมคิดว่าตัวเลขที่อยู่บนเว็บไซต์ของ NRC จะผิดไปในหลัก 100 ถึงหลัก 1000"
คนในอื่น ๆ บางคนรวมทั้ง อาร์นี Gundersen อดีตผู้บริหารอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ซึ่งตอนนี้เป็นพยานผู้เชี่ยวชาญในประเด็นด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ ทำการเรียกร้องแบบเดียวกัน นั่นคือ Gundersen เสนอหลักฐานบนพื้นฐานของข้อมูลการตรวจสอบความดัน สำหรับการระเบิดของไฮโดรเจนไม่นานก่อน 2 โมงเย็นของวันที่ 28 มีนาคม 1979 ซึ่งอาจจะมีการระบุวิธีการสำหรับปริมาณที่สูงของรังสีที่จะเกิดขึ้น Gundersen อ้างถึงคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ควบคุมเครื่องปฏิกรณ์ทั้งสี่เครื่อง ว่าผู้จัดการโรงไฟฟ้าได้ตระหนักถึงการพุ่งขึ้นสูงของความดันอย่างมาก และหลังจากนั้นความดันภายในได้ลดลงสู่แรงดันภายนอก Gundersen ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่าห้องควบคุมก็สั่นสะเทือนและประตูถูกลมพัดปลิวหลุดจากบานพับ อย่างไรก็ตามรายงานของ NRC อย่างเป็นทางการพูดถึงเพียงแค่เป็น "การเผาไหม้ไฮโดรเจน" คณะกรรมการ Kemeny อ้างถึง "การเผาไหม้หรือการระเบิดที่ทำให้เกิดความกดดันเพิ่มขึ้นไปที่ 28 ปอนด์ต่อตารางนิ้วในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์" นสพ. วอชิงตันโพสต์ รายงานว่า "เมื่อเวลาประมาณ 14:00 ด้วยความดันเกือบจะลงไปยังจุดที่เครื่องสูบน้ำระบายความร้อนขนาดใหญ่จะถูกนำเข้าสู่การเล่น การระเบิดไฮโดรเจนขนาดเล็กก็เขย่าเครื่องปฏิกรณ์"
ยี่สิบแปดชั่วโมงหลังจากที่อุบัติเหตุเริ่ม นายวิลเลียม สแครนตัน ที่สาม รองผู้ว่าได้ปรากฏตัวขึ้นที่การบรรยายสรุปข่าวเพื่อบอกว่าเมโทรโพลิตันเอดิสัน เจ้าของโรงไฟฟ้า ได้ให้ความมั่นใจกับรัฐว่า "ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุม" ต่อมาในวันนั้น สแครนตันก็เปลี่ยนคำพูดของเขา เขาบอกว่าสถานการณ์มี "ความซับซ้อนมากกว่าที่บริษัทนำเราไปสู่ความเชื่อแต่แรก" มีคำกล่าวที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับการปล่อยกัมมันตภาพรังสี หลายโรงเรียนถูกปิดและชาวบ้านได้รับแนะนำให้อยู่ในบ้าน เกษตรกรถูกบอกให้เก็บสัตว์ของพวกเขาภายใต้หลังคาและเก็บรักษาอาหารสัตว์
ผู้ว่าการ ดิ๊ก Thornburgh ภายใต้คำแนะนำของประธาน NRC นายโจเซฟ Hendrie แนะนำให้มีการอพยพ "หญิงตั้งครรภ์และเด็กก่อนวัยเรียน ... ภายในรัศมีห้าไมล์ของโรงไฟฟ้าเกาะทรีไมล์" เขตอพยพได้มีการขยายไปที่รัศมี 20 ไมล์ในวันศุกร์ที่ 30 มีนาคม ภายในหลายวัน ประชาชน 140,000 คนก็ออกจากพื้นที่ มากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด 663,500 คน ภายในรัศมี 20 ไมล์ยังคงอยู่ในพื้นที่ ตามการสำรวจที่ดำเนินการในเดือนเมษายนปี 1979, 98% ของผู้อพยพได้กลับไปที่บ้านของพวกเขาภายในสามสัปดาห์
การสำรวจหลังอุบัติเหตุได้แสดงให้เห็นว่าน้อยกว่า 50% ของประชาชนชาวอเมริกันมีความพึงพอใจกับวิธีที่อุบัติเหตุได้รับการจัดการโดยเจ้าหน้าที่รัฐเพนซิลวาเนียและ NRC และประชานที่ถูกสำรวจมีความยินดีน้อยกับยูทิลิตี้ (บริษัทสาธารณูปโภคทั่วไป) และผู้ออกแบบโรงไฟฟ้า
หลายหน่วยงานของรัฐและรัฐบาลกลางได้เข้ามาสอบสวนสถานการณ์วิกฤตนี้ หน่วยงานที่โดดเด่นที่สุดเป็นคณะกรรมการเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกาะสามไมล์ของประธานาธิบดี ที่ตั้งขึ้นโดยนายจิมมี่ คาร์เตอร์ในเดือนเมษายนปี 1979 คณะกรรมการประกอบด้วยลูกขุนสิบสองคน ได้รับการแต่งตั้งโดยเฉพาะสำหรับพวกเขาที่ขาดมุมมองที่แข็งแกร่งแบบเห็นด้วยหรือต่อต้านนิวเคลียร์ และนำโดยประธานนายจอห์น จี Kemeny ประธานของวิทยาลัยดาร์ตมัธ คณะกรรมการได้รับคำสั่งให้ผลิตรายงานขั้นสุดท้ายภายในหกเดือน และหลังจากทำประชาพิจารณ์ รวบรวม และเก็บเอกสาร จากนั้นก็เผยแพร่การศึกษาที่แล้วเสร็จในวันที่ 31 ตุลาคม 1979 การสืบสวนได้วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงต่อแบ็บค็อกซ์และวิลค็อกซ์, Met Ed, GPU และ NRC สำหรับความผิดพลาดในการประกันคุณภาพและการบำรุงรักษา, การฝึกอบรมผู้ควบคุมเครื่องทีไม่เพียงพอ ขาดการสื่อสารในข้อมูลความปลอดภัยที่สำคัญ การจัดการที่ไม่ดีและความลำพองใจ แต่หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงข้อสรุปเกี่ยวกับอนาคตของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ การวิจารณ์หนักที่สุดจากคณะกรรมการของ Kemeny สรุปว่า "การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานเป็นสิ่งจำเป็นในองค์กร ขั้นตอนต่าง ๆ การปฏิบัติ 'และเหนือสิ่งใด ในทัศนคติของ NRC' [และอุตสาหกรรมนิวเคลียร์]" Kemeny กล่าวว่าการปฏิบัติต่อสถาณการณ์โดยผู้ควบคุมเครื่อง "ไม่เหมาะสม" แต่กล่าวว่าเหล่าคนงาน "ได้ดำเนินงานภายใต้วิธีการที่พวกเขาต้องปฏิบัติตาม และการทบทวนและการศึกษาของเราเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าวิธีการเหล่านั้นไม่เพียงพอ" และกล่าวอีกว่าห้องควบคุม "ไม่เพียงพอเป็นอย่างมากสำหรับการจัดการกับอุบัติเหตุ"
คณะกรรมาธิการ Kemeny ตั้งข้อสังเกตว่าวาล์วระบายที่ทำงานด้วยนำร่องของแบ็บค็อกซ์และวิลค็อกซ์มีการล้มเหลวก่อนหน้านี้ถึง 11 ครั้ง เก้าครั้งมีปัญหาด้านติดขัดและเปิดค้างที่ปล่อยให้น้ำหล่อเย็นรั่วไหลออกไป แต่ที่น่ารำคาญมากกว่านั้น คือความจริงที่ว่าลำดับของสาเหตุแต่แรกของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่เกาะทรีไมล์นั้นซ้ำกับเหตุการณ์เมื่อ 18 เดือนก่อนหน้านี้ที่เครื่องปฏิกรณ์ของแบ็บค็อกซ์และวิลค็อกซ์อีกที่หนึ่ง คือที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เดวิส-Besse ที่บริษัท Toledo เอดิสัน เป็นเจ้าของ ที่แตกต่างกันก็คือผู้ควบคุมเครื่องที่เดวิส-Besse สามารถระบุได้ว่าเป็นความล้มเหลวของวาล์วหลังจาก 20 นาที ในขณะที่ TMI ต้องใช้เวลาถึง 80 นาที และที่เดวิส-Besse ปฏิบัติการที่กำลังงาน 9% เทียบกับ 97% ของ TMI ถึงแม้ว่าวิศวกรของแบ็บค็อกซ์จะรับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่บริษัทก็ล้มเหลวที่จะแจ้งให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจนว่าปัญหาเกิดจากวาล์ว
เมื่อเขากลับมาที่ดาร์ทเมาท์ Kemeny ได้พูดคุยกับนักศึกษาของวิทยาลัยดาร์ทเมาท์ เมื่อถูกถามว่าอะไรเป็นสาเหตุของการหลอมละลาย เขาตอบว่า "มูลเหตุใกล้ชิด" อาจจะไม่เคยรู้จักมาก่อน รองประธานาธิบดีฝ่ายกิจการรัฐบาลยืนยันว่าบริษัทเมโทรโพลิตันเอดิสันซึ่งเป็นผู้ดำเนินการโรงไฟฟ้า ไม่นานก่อนหน้านี้ได้รับการเตือนจากคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ (NRC) ว่าวาล์วแบ็บค็อกซ์และวิลค็อกซ์ของเครื่องปฏิกรณ์มีความเสี่ยงที่จะล้มเหลวภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง เขาบอกว่าเขาได้ส่งมันไปยังรองประธานฝ่ายวิศวกรรม ผู้ซึ่งยืนยันว่าเขาได้อ่านมันแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นทั้งสองคนพบกันที่เครื่องน้ำเย็นที่รองประธานาธิบดีฝ่ายกิจกรรมรัฐบาลได้ถามรองประธานฝ่ายวิศวกรรมคำถามหนึ่ง รองประธานาธิบดีจำคำถามได้ว่า "มีปัญหาที่นี่หรือ?" รองประธานฝ่ายวิศวกรรมคิดว่าคำถามคือ "คุณแก้ปัญหาแล้วหรือยัง?" รองประธานทั้งสองเห็นด้วยว่าคำตอบคือ "ไม่" รองคนหนึ่งเดินออกไปเชื่อว่าปัญหาถูกแก้ไขแล้ว รองอีกคนหนึ่งเชื่อว่าเขาได้แจ้งผู้บังคับบัญชาของเขาแล้วว่ายังมีปัญหา ปัญหาก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข Kemeny บอกนักศึกษาว่าเขาเชื่อว่ามันไม่เคยจะเป็น มูลเหตุใกล้ชิดของการหลอมละลายยังไม่ทราบและไม่มีหลักฐานของความประมาทไม่เคยถูกค้นพบ
สภาผู้แทนราษฎรของรัฐเพนซิลเวเนียได้ดำเนินการสืบสวนของสภาเองซึ่งมุ่งเน้นไปที่ความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงขั้นตอนการอพยพ
ในปี 1985 กล้องโทรทัศน์ถูกใช้ในการดูลักษณะภายในของเครื่องปฏิกรณ์ที่เสียหาย ในปี 1986 กลุ่มตัวอย่างของแกนกลางและของเศษซากได้รับจากชั้นของ Corium ที่ด้านล่างของอ่างเครื่องปฏิกรณ์และมีการวิเคราะห์
ตามที่ IAEA การเกิดอุบัติเหตุที่เกาะทรีไมล์เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในการพัฒนาของพลังงานนิวเคลียร์ระดับโลก จากปี 1963 ถึงปี 1979 จำนวนของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระหว่างการก่อสร้างทั่วโลกเพิ่มขึ้นทุกปียกเว้นปี 1971 และปี 1978 แต่หลังจากเหตุการณ์ จำนวนของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ระหว่างการก่อสร้างในสหรัฐลดลงทุกปีตั้งแต่ 1980 ถึง 1998[ต้องการอ้างอิง] หลายเครื่องปฏิกรณ์ที่คล้ายกันของแบ็บค็อกซ์และวิลค๊อกซ์ที่อยูระหว่างการสั่งซื้อถูกยกเลิก โดยรวม 51 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของสหรัฐฯถูกยกเลิกช่วงปี 1980-1984
การเกิดอุบัติเหตุที่เกาะทรีไมล์เมื่อปี 1979 ไม่ได้เริ่มต้นการตายของอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์สหรัฐ แต่ก็ได้หยุดยั้งการเจริญเติบโตของประวัติศาสตร์ของมัน นอกจากนี้ เนื่องจากผลของวิกฤตการณ์น้ำมันปี 1973 ก่อนหน้านี้และการวิเคราะห์หลังวิกฤติด้วยข้อสรุปว่าศักยภาพการผลิตในโหลดฐานมีมากจนล้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่อยู่ในแผนสี่สิบตัวจึงได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุที่ TMI ในช่วงเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ TMI โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 129 โรงได้รับการอนุมัติ แต่ในจำนวนนั้น มีเพียง 53 โรงเท่านั้นที่เสร็จสมบูรณ์ (ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ในการดำเนินงาน) ในระหว่างกระบวนการตรวจสอบที่ยาวนาน ด้วยความยุ่งยากจากภัยพิบัติเชอร์โนบิลในเจ็ดปีต่อมา ความต้องการมากมายของรัฐบาลกลางในการแก้ไขปัญหาด้านความปลอดภัยและข้อผิดพลาดของการออกแบบทำให้มีความเข้มงวดมากขึ้น ความขัดแย้งด้านนิวเคลียร์ในท้องถิ่นก็รุนแรงมากขึ้น เวลาในการก่อสร้างก็ยาวนานขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและค่าใช้จ่ายก็พุ่งสูงขึ้นเป็นจรวด จนกระทั่งปี 2012 สหรัฐไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ได้รับอนุญาตให้เริ่มการก่อสร้างตั้งแต่ปีก่อนอุบัติเหตุที่ TMI
ทั่วโลก จุดจบของการเพิ่มขึ้นในการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ก็มาถึงพร้อมกับภัยพิบัติที่เชอร์โนบิลที่หายนะมากขึ้นในปี 1986 (ดูกราฟ)
เครื่องปฏิกรณ์เกาะทรีไมล์หน่วยที่ 2 ได้รับความเสียหายและการปนเปื้อนมากเกินกว่าจะกลับมาดำเนินงานใหม่ได้ เครื่องปฏิกรณ์จึงค่อยๆปิดการใช้งานและถูกปิดอย่างถาวร TMI-2 ถูกใช้งานออนไลน์เพียง 13 เดือนเท่านั้น แต่ตอนนี้มีอ่างเครื่องปฏิกรณ์ที่เสียหายและอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ที่ไม่ปลอดภัยที่จะเดินเข้าไป การชำระล้างเริ่มต้นในเดือนสิงหาคม 1979 และสิ้นสุดอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคมปี 1993 ด้วยค่าใช้จ่ายทำความสะอาดรวมประมาณ $ 1 พันล้าน นายเบนจามิน เค Sovacool ซึ่งในการประเมินเบื้องต้นของเขาในปี 2007 เกี่ยวกับการเกิดอุบัติเหตุพลังงานที่สำคัญ คาดว่าอุบัติเหตุที่ TMI ทำความเสียหายให้กับทรัพย์สินรวมเป็น $ 2.4 พันล้าน
ในตอนแรก ความพยายามมุ่งเน้นไปที่การทำความสะอาดและการลบล้างการปนเปื้อนของโรงไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปล่อยทิ้งเชื้อเพลิงของเครื่องปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย เริ่มต้นในปี 1985 เกือบ 100 ตัน (91 t) ของเชื้อเพลิงกัมมันตรังสีถูกย้ายออกจากโรงไฟฟ้า เฟสแรกที่สำคัญของการทำความสะอาดได้เสร็จสมบูรณ์ในปี 1990 เมื่อคนงานได้เสร็จสิ้นการจัดส่ง 150 ตัน (140 t) ของซากปรักหักพังที่ปนเปื้อนกัมมันตรังสีไปยังรัฐไอดาโฮเพื่อการจัดเก็บที่ห้องปฏิบัติการวิศวกรรมพลังงานแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม น้ำระบายความร้อนที่ปนเปื้อนได้รั่วไหลเข้าไปในอาคารคลุมเครื่องปฏิกรณ์ มันได้ซึมเข้าไปในคอนกรีตของอาคาร เหลือไว้แต่กากกัมมันตรังสีที่กำจัดไม่ได้ในทางปฏิบัติ ในปี 1988 คณะกรรมาธิการกำกับกิจการพลังงานประกาศว่า แม้ว่ามันจะเป็นไปได้ที่จะลบล้างการปนเปื้อนในสถานที่ของหน่วยที่ 2 กัมมันตภาพรังสีที่เหลือได้ถูกจำกัดวงให้เพียงพอที่จะไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนและความปลอดภัย ดังนั้นความพยายามทำความสะอาดเพิ่มเติมถูกเลื่อนออกไปเพื่อยอมให้มีการสลายตัวของระดับรังสีและเพื่อการใช้ประโยชน์จากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นจากการปลดระวางทั้งหน่วยที่ 1 และหน่วยที่ 2 พร้อมกัน
ในควันหลงของอุบัติเหตุ การสืบสวนมุ่งเน้นไปที่ปริมาณของรังสีที่ปล่อยออกมาจากอุบัติเหตุ ทั้งหมดประมาณ 2.5 megacuries (93 PBq) ของก๊าซกัมมันตรังสีและประมาณ 15 คูรี (560 GBq) ของไอโอดีน-131 ถูกปล่อยออกสู่สิ่งแวดล้อม ตามที่สมาคมนิวเคลียร์อเมริกัน โดยใช้ตัวเลขการปล่อยกัมมันตภาพรังสีอย่างเป็นทางการ "ปริมาณรังสีเฉลี่ยสำหรับคนที่อาศัยอยู่ภายในสิบไมล์ของโรงไฟฟ้าคือ 8 millirem และไม่เกิน 100 millirem สำหรับบุคคลคนเดียว 8 millirem มีค่าเท่ากับ X-ray หน้าอกและ 100 millirem มีค่าเท่ากับหนึ่งในสามของระดับของรังสีพื้นหลังเฉลี่ยที่ได้รับโดยผู้อาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาในหนึ่งปี"
จากตัวเลขการปล่อยก๊าซเหล่านี้ สิ่งพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ในช่วงต้น อ้างอิงตาม Mangano เกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพของฝุ่นผง (อังกฤษ: fallout) คาดว่าจะไม่มีการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่รัศมี 10 ไมล์ (16 กิโลเมตร) รอบโรงไฟฟ้า อัตราของโรคในพื้นที่ไกลกว่า 10 ไมล์จากโรงไฟฟ้าไม่เคยถูกตรวจสอบ การเคลื่อนไหวท้องถิ่นในปี 1980s ที่ขึ้นอยู่กับการรายงานประวัติของผลกระทบต่อสุขภาพ นำไปสู่การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังสรุป ความหลากหลายของการศึกษาด้านระบาดวิทยาได้ข้อสรุปว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพที่สังเกตได้ในระยะยาว
โครงการสาธารณสุขและรังสี เป็นองค์กรหนึ่งที่มีความน่าเชื่อถือน้อยในหมู่นักระบาดวิทยา ได้อ้างถึงการคำนวณโดยสมาชิกของมัน นายโจเซฟ มังกาโน - ผู้ประพันธ์ 19 บทความในวารสารทางการแพทย์และหนังสือเรื่อง ระดับรังสีและโรคภูมิคุ้มกันที่ต่ำ - ที่รายงานยอดแหลมของอัตราการตายในทารกในชุมชนใต้ลมสองปีหลังจากที่เกิดอุบัติเหตุ หลักฐานที่เล่าเรื่องราวยังบันทึกผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในป่าของภูมิภาค ตัวอย่างเช่น อ้างถึงนักกิจกรรมต่อต้านนิวเคลียร์ นายฮาร์วีย์ Wasserman ฝุ่นละออง Fallout ทำให้เกิด "โรคระบาดแห่งความตายและการเกิดโรคในหมู่ของสัตว์ป่าและฟาร์มปศุสัตว์ในพื้นที่" รวมถึงการลดลงอย่างรวดเร็วของอัตราการเจริญพันธุ์ของม้าและวัวในภูมิภาคที่สะท้อนให้เห็นในสถิติจากกรมการเกษตรร้ฐเพนซิลเวเนีย แม้ว่าทางกรมจะปฏิเสธการเชื่อมโยงกับอุบัติเหตุก็ตาม
นายจอห์น Gofman ใช้โมเดลสุขภาพรังสีระดับต่ำของเขาเองที่ไม่ได้ทบทวนจากเพื่อนในการคาดการณ์การเสียชีวิตจากโรคมะเร็งหรือโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนเกิน 333 กรณีจาก อุบัติเหตุเกาะทรีไมล์ปี 1979 บทความวิจัยที่ผ่านการทบทวนโดยเพื่อนที่เขียนโดยดร. สตีเฟน วิง พบการเพิ่มขึ้นอย่างมากของโรคมะเร็งจากปี 1979-1985 ในหมู่ผู้คนที่อาศัยอยู่ภายในรัศมีสิบไมล์จากเกาะทรีไมล์ ในปี 2009 ดร. วิง ระบุว่าการปลดปล่อยรังสีในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุอาจจะ "ยิ่งใหญ่นับพันเท่า" มากกว่าที่ประมาณการของ NRC การศึกษาย้อนหลังของระบบทะเบียนมะเร็งของรัฐเพนซิลเวเนีย พบว่ามีอุบัติการณ์ที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งต่อมไทรอยด์ในมณฑลทางตอนใต้ของเกาะทรีไมล์และในกลุ่มอายุที่มีความเสี่ยงสูง แต่ไม่ได้เชื่อมโยงสาเหตุที่มีกับอุบัติการณ์เหล่านี้และกับการเกิดอุบัติเหตุ ห้องปฏิบัติการ Talbott ที่มหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กรายงานการพบความเสี่ยงของโรคมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในประชากรของเกาะทรีไมล์ไม่มาก มีขนาดเล็ก ส่วนใหญ่ไม่ได้มีนัยสำคัญในทางสถิติ เช่นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวส่วนเกินไม่มีนัยสำคัญในหมู่เพศชายที่ถูกสังเกต การวิจัยทางระบาดวิทยาอย่างต่อเนื่องได้ทำพร้อมกับการอภิปรายของปัญหาในประมาณการของปริมาณรังสีเนื่องจากการขาดข้อมูลที่ถูกต้อง เช่นเดียวกับการจำแนกประเภทการเจ็บป่วย
ดูเพิ่มเติม: รายชื่อของกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์ในประเทศสหรัฐอเมริกาการแจ้งเตือนเกาะทรีไมล์
อุบัติเหตุที่ TMI เพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับกลุ่มต่อต้านนิวเคลียร์ ผู้ที่เคยคาดการณ์ว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นสักวัน และกระตุ้นให้มีการประท้วงทั่วโลก (ประธานาธิบดีคาร์เตอร์-ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในขณะที่อยู่ในกองทัพเรือสหรัฐฯ-บอกคณะรัฐมนตรีของเขาหลังจากการเยี่ยมชมโรงไฟฟ้าว่าอุบัติเหตุที่เกิดเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ตามรายงานเขาปฏิเสธที่จะพูดอย่างนั้นในที่สาธารณะเพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดความขุ่นเคืองใจต่อพรรคฝ่ายซ้ายเดโมแครตที่ต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์)
สมาชิกของประชาชนชาวอเมริกันมีความกังวลกับการปลดปล่อยก๊าซกัมมันตรังสีจากอุบัติเหตุ พวกเขาเปิดฉากประท้วงต่อต้านนิวเคลียร์จำนวนมากทั่วประเทศในหลายเดือนต่อมา การเดินขบวนที่ใหญ่ที่สุดได้จัดขึ้นในนครนิวยอร์กในเดือนกันยายนปี 1979 และมีผู้เข้าร่วม 200,000 คนที่มีการกล่าวสุนทรพจน์โดยเจน ฟอนดาและราล์ฟ Nader การชุมนุมที่นิวยอร์กถูกจัดขึ้นร่วมกับชุดกลางคืนของคอนเสิร์ต "ไม่เอานิวเคลียร์" ที่เมดิสันสแควร์การ์เด้นจากวันที่ 19-23 กันยายนโดย 'สหพันธ์นักดนตรีเพื่อพลังงานที่ปลอดภัย' ในเดือนพฤษภาคมก่อนหน้านี้ประมาณ 65,000 คน - รวมทั้งผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย นายเจอร์รี่ บราวน์ - ได้เข้าร่วมการเดินขบวนและการชุมนุมต่อต้านพลังงานนิวเคลียร์ในกรุงวอชิงตันดีซี
ในปี 1981 กลุ่มประชาชนประสบความสำเร็จในการฟ้องร้องต่อ TMI พวกเขาชนะได้เงิน $ 25 ล้านในการประนอมหนี้นอกศาล ส่วนหนึ่งของเงินจำนวนนี้ถูกใช้ในการจัดตั้ง กองทุนสาธารณสุข TMI ในปี 1983 คณะลูกขุนใหญ่ของรัฐบาลกลางฟ้องร้องบริษัท Metropolitan Edison ในข้อหาทางอาญาสำหรับการสร้างความเท็จในผลการทดสอบความปลอดภัยก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ภายใต้ข้อตกลงการต่อรองถ้ารับสารภาพ Met Ed รับสารภาพกับศาลว่ามีการบันทึกเท็จและไม่ต่อสู้ในหกข้อหาอื่น ๆ ในจำนวนนั้นสี่ข้อหาถูกยกฟ้องและตกลงที่จะจ่ายค่าปรับ $ 45,000 และจัดตั้งกองทุนมูลค่า $ 1 ล้าน เพื่อช่วยการวางแผนฉุกเฉินในพื้นที่โดยรอบโรงไฟฟ้า
อ้างถึงนายเอริค Epstein ประธานของการแจ้งเตือนเกาะทรีไมล์ ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า TMI และ บริษัทประกันได้จ่ายไปแล้วอย่างน้อย $ 82 ล้านเพื่อชดเชยให้กับผู้อยู่อาศัยเป็นค่า "สูญเสียรายได้ทางธุรกิจและค่าใช้จ่ายในการอพยพและการเรียกร้องเพื่อสุขภาพ" กับนาย ฮาร์วีย์ Wasserman ก็เช่นกัน หลายร้อยกรณีของการประนอมหนี้นอกศาล (อังกฤษ: out-of-court settlement) ได้มาถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อจาก fallout ที่มีจำนวนโดยรวมที่ $15 ล้าน ถูกจ่ายออกไปยังผู้ปกครองของเด็กที่เกิดมาพร้อมกับข้อบกพร่อง อย่างไรก็ตามการดำเนินคดีจากตัวแทนกลุ่ม (อังกฤษ: class action lawsuit) ได้กล่าวหาว่าอุบัติเหตุทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพที่เป็นอันตราย ผู้พิพากษาศาลแขวงสหรัฐแห่งแฮร์ริสเบอร์ก นายซิลเวีย แรมโบ้ ได้ยกฟ้องข้อกล่าวหานี้ การอุทธรณ์คำตัดสินต่อศาลอุทธรณ์วงจรที่สามของสหรัฐก็ล้มเหลวเช่นกัน
อุบัติเหตุที่เกาะทรีไมล์สร้างแรงบันดาลใจให้กับ 'ทฤษฎีอุบัติเหตุปกติ' ของนายชาร์ลส์ Perrow ในทฤษฎีนี้อุบัติเหตุได้เกิดขึ้นเป็นผลมาจากความล้มเหลวที่มีปฏิสัมพันธ์หลายชั้นที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อนของระบบที่ซับซ้อนระบบเดียว TMI เป็นตัวอย่างหนึ่งของอุบัติเหตุประเภทนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่ "ไม่คาดคิด ไม่สามารถเข้าใจได้ ไม่สามารถควบคุมได้ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้"
นาย Perrow สรุปว่าความล้มเหลวที่เกาะทรีไมล์เป็นผลที่ตามมาจากความซับซ้อนของระบบอันยิ่งใหญ่ ระบบทั้งหลายที่ทันสมัยและมีความเสี่ยงสูง??ดังกล่าวเขาตระหนักว่ามีแนวโน้มที่จะเกิดความล้มเหลว แต่ดีที่ว่าพวกมันได้รับการจัดการที่ดี แต่ก็หนีไม่พ้นที่ว่าในที่สุดแล้วพวกมันจะได้รับความทุกข์ทรมาณในสิ่งที่เขาเรียกว่า 'อุบัติเหตุปกติ' ดังนั้นเขาแนะนำว่าเราอาจจะทำได้ดีกว่าโดยพิจารณาการออกแบบใหม่ที่ถึงรากถึงโคน หรือถ้าทำอย่างนั้นไม่ได้ก็ควรที่จะละทิ้งเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง
อุบัติเหตุ "ปกติ" หรือ 'อุบัติเหตุระบบ' จะถูกเรียกโดยนาย Perrow เพราะการเกิดอุบัติเหตุดังกล่าวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในระบบที่ซับซ้อนมาก ๆ ถ้านำคุณลักษณะของระบบมาเกี่ยวข้อง ความล้มเหลวซ้ำซ้อนที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันก็จะเกิดขึ้น แม้จะมีความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงพวกมัน เหตุการณ์ดังกล่าวอาจปรากฏขึ้นเล็กน้อยในช่วงเริ่มต้นก่อนที่จะเลื่อนไหลลงไปอย่างคาดเดาไม่ได้เป็นชั้น ๆ ผ่านระบบเพื่อสร้างเหตุการณ์ขนาดใหญ่กว่าและมีผลกระทบรุนแรงกว่า
อุบัติเหตุปกติ อุดหนุนแนวคิดที่สำคัญให้กับชุดของการพัฒนาทางปัญญาในปี 1980s ที่ปฏิวัติแนวความคิดของความปลอดภัยและความเสี่ยง มันสร้างกรณีสำหรับการตรวจสอบความล้มเหลวทางเทคโนโลยีในฐานะที่เป็นผลิตภัณฑ์ของระบบที่มีปฏิสัมพันธ์สูง และมันได้เน้นให้เห็นอย่างชัดเจนถึงปัจจัยของการจัดการและการจัดองค์กรว่าเป็นสาเหตุหลักของความล้มเหลว ภัยพิบัติทางเทคโนโลยีไม่สามารถอีกต่อไปที่จะถูกกำหนดให้เป็นเพราะความผิดปกติของอุปกรณ์ที่แยกส่วนหรือข้อผิดพลาดของผู้ประกอบการหรือการกระทำของพระเจ้า
หน่วยที่ 1 มีใบอนุญาตถูกแขวนชั่วคราวหลังจากดังต่อไปนี้เหตุการณ์เกิดขึ้นที่หน่วยที่ 2 แม้ว่าประชาชนในสามมณฑลรอบโรงไฟฟ้าได้โหวตด้วยเสียง 3:1 ให้ปลดระวางหน่วยที่ 1 อย่างถาวรก็ตาม[ต้องการอ้างอิง] มันก็ยังได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อในปี 1985 บรรษัทสาธารณูปโภคทั่วไปที่เป็นเจ้าของโรงไฟฟ้าได้ก่อตั้งบรรษัทสาธารณูปโภคนิวเคลียร์ทั่วไปคอร์ปอเรชั่น (GPUN) ให้เป็นบริษัทย่อยแห่งใหม่ที่จะเป็นเจ้าของและดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของบริษัท รวมทั้งที่เกาะทรีไมล์ โรงไฟฟ้าเคยถูกดำเนินการก่อนหน้านี้โดยบริษัทเมโทรโพลิตันเอดิสัน (Met-ED) ซึ่งเป็นหนึ่งใน บริษัทที่ดำเนินงานยูทิลิตี้ในภูมิภาคของ GPU ในปี 1996 บริษัทสาธารณูปโภคทั่วไปเปลี่ยนชื่อให้สั้นลงเป็น GPU อินค์ เกาาะทรีไมล์หน่วยที่ 1 ถูกขายให้กับบริษัทพลังงาน AmerGen ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทไฟฟ้าฟิลาเดลเฟีย (PECO) และบริษัทพลังงานอังกฤษในปี 1998 ในปี 2000 PECO ได้ควบรวมกับ Unicom คอร์ปอเรชั่น ตั้งขึ้นเป็นบริษัท Exelon คอร์ปอเรชั่น ซึ่งซี้อกรรมสิทธิ์มาจากหุ้นของบริษัทพลังงานอังกฤษของ AmerGen ในปี 2003 วันนี้ AmerGen LLC เป็นบริษัทย่อยที่ถือหุ้นเต็มของ Exelon Generation และเป็นเจ้าของ TMI หน่วยที่ 1 และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ Oyster Creek และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์คลินตัน ทั้งสามหน่วยนี้รวมกับหน่วยนิวเคลียร์อื่น ๆ ของ Exelon ถูกดำเนินการโดย Exelon นิวเคลียร์อินค์ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Exelon[ต้องการอ้างอิง]
สาธารณูปโภคทั่วไป (GPU) ถูกบังคับตามกฎหมายให้ยังคงรักษาและตรวจสอบไซต์ ดังนั้นจึงยังคงไว้ซึ่งความเป็นเจ้าของของหน่วยที่ 2 เมื่อหน่วยที่ 1 ถูกขายให้กับ AmerGen ในปี 1998 GPU อินค์ถูกซื้อกิจการโดย FirstEnergy Corporation ในปี 2001 และต่อมาก็สลายตัว จากนั้น FirstEnergy ได้ว่าจ้างการบำรุงรักษาและการบริหารงานของหน่วยที่ 2 ให้กับ AmerGen หน่วยที่ 2 ถูกบริหารงานโดย Exelon นิวเคลียร์ตั้งแต่ปี 2003 เมื่อบริษัทแม่ของ Exelon นิวเคลียร์, บริษัท Exelon, ซื้อหุ้นที่เหลือของ AmerGen รับมรดกสัญญาการบำรุงรักษาของ FirstEnergy หน่วยที่ 2 ยังคงได้รับใบอนุญาตและถูกควบคุมโดยคณะกรรมการกำกับดูแลนิวเคลียร์ในเงื่อนไขที่เรียกว่า Post Defueling Monitored Storage (PDMS).
วันนี้ เครื่องปฏิกรณ์ TMI-2 ถูกปิดลงอย่างถาวร โดยที่ระบบน้ำหล่อเย็นเตาปฏิกรณ์ถูกระบายทิ้ง น้ำกัมมันตรังสีถูกลบล้างการปนเปื้อนและปล่อยให้ระเหยทิ้งออกไป กากกัมมันตรังสีถูกจัดส่งออกนอกสถานที่ เชื้อเพลิงและเศษแกนกลางของเครื่องปฏิกรณ์ถูกจัดส่งออกนอกสถานที่ไปยังกรมโรงงานพลังงานและส่วนที่เหลือของโรงไฟฟ้ากำลังถูกเฝ้าตรวจสอบ เจ้าของบอกว่าจะจัดเก็บสิ่งอำนวยความสะดวกไว้ในที่เก็บระยะยาวที่มีการตรวจสอบจนกว่าใบอนุญาตการดำเนินงานสำหรับโรงงาน TMI-1 หมดอายุ ณ เวลานั้น โรงไฟฟ้าทั้งสองจะถูกรื้อถอน ในปี 2009 NRC ได้ขยายเวลาใบอนุญาตซึ่งจะยอมให้เครื่องปฏิกรณ์ TMI-1 ดำเนินงานได้จนถึงวันที่ 19 เมษายน 2034
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/อุบัติเหตุนิวเคลียร์เกาะทรีไมล์