Entertainment and Sports Programming Network หรือที่เรียกว่า ESPN เป็นสถานีเคเบิลทีวีของอเมริกาที่ผลิตและแพร่ภาพรายการเกี่ยวกับกีฬาตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ก่อตั้ง ESPN คือ Scott Rasmussen และ Bill Rasmussen พ่อของเขา ESPN ออกอากาศครั้งแรกวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2522 ภายใต้การควบคุมของ Chet Simmons ประธานและซีอีโอคนแรกของสถานี (ต่อมาเขาไปเป็นผู้บริหารสูงสุดคนแรกของลีกอเมริกันฟุตบอล) บริษัท Getty Oil เป็นผู้ให้เงินทุนในการเริ่มต้นธุรกิจใหม่นี้ ประธานคนปัจจุบันของ ESPN คือ จอร์จ โบเดนไฮเมอร์ (George Bodenheimer) เข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2541 และวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2546 เขาก็ได้รับตำแหน่งหัวหน้าของ ABC Sports ด้วย นับแต่นั้นมาเขาก็ได้เปลี่ยนแบรนด์ใหม่เป็น ESPN on ABC (อย่างไรก็ตามในทางกฎหมาย ABC Sports ยังคงเป็นอีกบริษัทที่แยกจาก ESPN)
รายการที่เป็นสัญลักษณ์ของ ESPN คือ SportsCenter ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกที่ ESPN และออกอากาศตอนที่ 30,000 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 ESPN แพร่ภาพรายการส่วนใหญ่จากสตูดิโอในบริสตอล รัฐคอนเนตทิคัต นอกจากนี้ ESPN ยังมีสำนักงานในนครนิวยอร์ก รัฐนิวยอร์ก, ซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน, ชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา และลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2528 ชื่อของ ESPN ถูกเปลี่ยนให้ยาวขึ้นไปอีกว่า "ESPN Inc."
ESPN ทำการตลาดตัวเองในฐานะ "The Worldwide Leader in Sports" (ผู้นำระดับโลกในเรื่องกีฬา) ซึ่งเป็นสโลแกนที่ปรากฏอยู่เกือบทุกสื่อ แต่ไม่ทราบว่าใครเป็นผู้ให้กำเนิดสโลแกนนี้
รายการส่วนใหญ่ของ ESPN และเน็ตเวิร์คร่วม จะเป็นการถ่ายทอดกีฬาสดหรือเทป และรายการข่าวที่เกี่ยวกับกีฬา (เช่น SportsCenter) เวลาที่เหลือก็จะเป็นทอล์กโชว์ที่เกี่ยวกับกีฬา (เช่น Around the Horn, Jim Rome is Burning, Outside The Lines, and PTI) และสารคดีที่เกี่ยวกับกีฬา
เดิมทีนั้น ESPN เกิดขึ้นมาจากความคิดของ Bill Rasmussen นักข่าวกีฬาสถานีโทรทัศน์ช่อง WWLP ซึ่งเป็นสถานีในเครือ NBC ที่เมืองสปริงฟีลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ในช่วงยุค 1970 Rasmussen ทำงานกับทีมฮอกกี้ New England Whalers ของสมาคมฮอกกี้โลก เป็นคนขายเวลาโฆษณาในการออกอากาศให้กับทีม ลูกชายของเขา Scott ซึ่งเคยเป็นผู้รักษาประตูฮอกกี้น้ำแข็งในสมัยเรียนไฮสคูล เป็นผู้ประกาศให้กับทีม ทั้งคู่ถูกไล่ออกในปี พ.ศ. 2520 และ Rasmussen จึงมองหาช่องทางธุรกิจใหม่ ๆ ความคิดเดิมเริ่มแรกของเขาก็คือ สถานีเคเบิลทีวี (ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นสื่อชนิดใหม่) ที่เน้นการรายงานข่าวกีฬาในรัฐคอนเนตทิคัต (เช่น ทีมฮอกกี้น้ำแข็ง Hartford Whalers และ Connecticut Huskies) แต่เมื่อ Rasmussen ทราบว่า การซื้อเวลาการออกอากาศผ่านดาวเทียมตลอด 24 ชั่วโมงราคาถูกกว่าการซื้อเวลาเป็นช่วง ๆ ที่ได้เวลาแค่ 2-3 ชั่วโมงต่อคืน เขาจึงได้เวลาออกอากาศเป็น 24 ชั่วโมงและออกอากาศทั่วประเทศ ชื่อเดิมของช่องคือ ESP ย่อมาจาก Entertainment and Sports Programming แต่ชื่อนี้ก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะได้ออกอากาศ
ESPN เริ่มออกอากาศครั้งแรกด้วยการเปิดตัวรายการ SportsCenter ซึ่งมีผู้ดำเนินรายการคือ Lee Leonard และ George Grande ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2522 คะแนนแรกที่ผ่านรายการ SportsCenter มาจากเทนนิสหญิง
เพื่อให้สามารถออกอากาศได้ครบ 24 ชั่วโมงต่อวัน ESPN จึงมีรายการกีฬาหลากหลายประเภทที่สถานีอื่น ๆ ไม่ได้นำมาออกอากาศช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เช่น Australian Rules Football, รายการเทนนิสเดวิสคัพ, มวยปล้ำอาชีพ, มวย รวมไปถึงอเมริกันฟุตบอลและบาสเกตบอลระดับมหาวิทยาลัย เทศกาลโอลิมปิคของอเมริกา (U.S. Olympic Festival) ซึ่งปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้ว จัดขึ้นโดย United States Olympic Committee เพื่อเป็นเครื่องมือในการฝึกฝนสำหรับนักกีฬา ก็เป็นรายการหลักของ EPSN ในช่วงนั้นด้วย
ESPN (และเน็ตเวิร์คของอเมริกา) อยู่ในกลุ่มหุ้นส่วนที่ใช้เคเบิลแทนการส่งสัญญาณทางอากาศในช่วงแรก ๆ ให้กับลีกบาสเกตบอลอาชีพ: National Basketball Association (NBA) ความสัมพันธ์ของเน็ตเวิร์คกับสมาคมได้พยายามเข้าไปเกี่ยวข้องกับภาคกีฬาอาชีพในอเมริกาซึ่งยืนยาวมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2525-2527 หลังจากช่องโหว่ที่มีมา 18 ปีด้วยกัน ESPN (ภายใต้ความอุปถัมภ์ของ ABC network) ได้ทำสัญญาการแพร่ภาพออกอากาศ เป็นจำนวนเงิน 2.6 พันล้านดอลลาร์ต่อหกปี กับ NBA ด้วยเหตุนี้ ESPN กับบาสเก็ตบอลอาชีพในอเมริกา จึงถือเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2546 ลีกอเมริกันฟุตบอล (USFL) ได้เปิดตัวผ่าน ESPN และ ABC ลีกอเมริกันฟุตบอล (มี 3 ฤดูกาลด้วยกัน) ก็ได้ฉลองชัยกับความสำเร็จในช่วงระยะเวลาสั้นๆ บางส่วนของความสำเร็จเป็นผลพลอยได้ที่ได้รับจากการรายงานข่าวของ ESPN
ในปี พ.ศ. 2550 ESPN ได้รับสิทธิ์บางส่วนจากลีกอเมริกันฟุตบอลระดับอาชีพ (National Football League) โดยที่ลีกอเมริกันฟุตบอลได้ตกลงให้สิทธิ์กับ ESPN ตราบเท่าที่ ESPN ตกลงที่จะให้ถ่ายทอดเกมผ่านสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นทั้งในรูปแบบวิทยุและโทรทัศน์ การถ่ายทอด ESPN Sunday Night Football จะยังคงมีต่อไปอีก 19 ปี และเป็นการกระตุ้น ESPN ในเรื่องการมีสิทธิ์ตามกฎหมายให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ใน NFL ฤดูกาลปี 2006 ESPN เริ่มออกอากาศ Monday Night Football ซึ่งก่อนหน้านี้จะได้รับชมผ่าน ABC
ในปี พ.ศ. 2533 ESPN ได้เพิ่ม Major League Baseball เข้าไปในการออกอากาศด้วยสัญญา 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และก็ได้มีการต่อสัญญาไปจนถึงปี พ.ศ. 2554 Jon Miller และ Joe Morgan เป็นนักพากย์ให้กับ Sunday Night Baseball มายาวนาน
ESPN ออกอากาศ Major Professional Sports Leagues ถึง 4 ลีกด้วยกันในแถบอเมริกาเหนือตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545-2547 เป็นช่วงที่ ESPN ได้งดการออกอากาศ National Hockey League ชั่วคราว เน็ตเวิร์คได้ออกอากาศเกม NHL มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526-2529 และอีกครั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2536
ESPN ได้ออกอากาศเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ (Major League Soccer) ประมาณอาทิตย์ละครั้งผ่าน ESPN2 ตั้งแต่ที่มีการเริ่มลีกมาในปี พ.ศ. 2539 ในหลายๆ ปีส่วนใหญ่แล้วเกมการแข่งขัน AllStar Game ประจำปีและเกมการชิงแชมป์ MLS Cup รวมถึงในบางปีเกมการแข่งขัน Opening Night ก็จะออกอากาศผ่านสถานี ABC
ESPN ออกอากาศกีฬา 65 ประเภทด้วยกัน ใน 24 ชั่วโมงต่อวัน มีทั้งหมด 14 ภาษา และออกอากาศมากกว่า 15 ภาษาใน 150 ประเทศ
ในช่วงยุค พ.ศ. 2533 และต้นปี พ.ศ. 2543 จะได้เห็นการเติบโตที่ค่อนข้างมากภายในบริษัท ในปี พ.ศ. 2536 ได้มีการก่อตั้ง ESPN2 ขึ้นมา พร้อมกับ Keith Olbermann และ Suzy Kolber โดยได้มีการแพร่ภาพทางเน็ตเวิร์คกับ SportsNite อีก 3 ปีต่อมา ESPNEWS ก็ได้เกิดขึ้นมา พร้อมกับ Mike Tirico ที่ถือว่าเป็นผู้ประกาศข่าวคนแรกของช่อง ในปี พ.ศ. 2540 ESPN ได้ซื้อ Classic Sports Network และตั้งชื่อใหม่ว่า ESPN Classic เน็ตเวิร์คของ ESPN ล่าสุดในอเมริกาคือ ESPNU ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2548
ESPN International เกิดขึ้นในช่วงต้นยุค พ.ศ. 2533 เพื่อหาโอกาสจากตลาดดาวเทียมที่เพิ่มขึ้นในแถบเอเชีย แอฟริกา และละตินอเมริกา ในประเทศแคนาดาบริษัท ESPN Inc. ได้ซื้อหุ้นส่วนน้อยจาก TSN และ RDS (อันที่จริงแล้ว โลโก้ปัจจุบันของทั้ง 2 องค์กรดูเหมือนกับโลโก้ของ ESPN) ในปี พ.ศ. 2547 ในที่สุด ESPN ก็ได้เข้าสู่ตลาดยุโรปโดยออกอากาศ ESPN Classic และในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2549 ESPN ได้ตกลงที่จะซื้อ North American Sports Network ในตอนแรกนั้น การออกอากาศของ SportsCenter มี 3 ช่วงต่อวัน คือ 01.00 น. (ซึ่งจะออกอากาศซ้ำจนถึง 09.00 น.) 18.00 น. และ 23.00 น.
ในปี พ.ศ. 2537 ESPN ตั้งมาตรฐานเพื่อให้เข้าใจถึงบทบาทของกีฬาในอเมริกาผ่าน The ESPN Sports Poll โดย Dr. Richard Luker สำหรับ Sports Poll นั้น เป็นการศึกษาถึงสิ่งที่สนใจและกิจกรรมของเหล่าแฟนกีฬาในแต่ละวันทั่วทั้งประเทศที่ทำอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งแรกในอเมริกา Sporting News ได้รับรู้ถึงความสำเร็จของ The ESPN Sports Poll และ Dr. Luker ในปี พ.ศ. 2549
เนื่องจากการเพิ่มสูงขึ้นของค่าครองชีพในตลาด Sports Entertainment เช่น สิทธิ์การออกอากาศอเมริกันฟุตบอล NFL ที่มีมูลค่า 8.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 8 ปี “สคริปต์ได้กลายมาเป็นของฟุ่มเฟือยให้กับ ESPN” David Carter ผู้อำนวยการ Sports Business Institute ของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย (University of Southern California) กล่าว
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นไป ESPN ก็ได้ถูกรวมเข้ากับ ABC Sports ในปีนั้นเอง Steve Bornstein ประธานของ ESPN ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 ก็ได้กลายมาเป็นประธานของ ABC Sports ด้วยเหมือนกัน การรวมตัวกันนี้ส่งผลให้ในปี พ.ศ. 2549 ได้มีการตัดสินใจที่จะรวมการดำเนินงานของ ABC Sports เข้ากับ ESPN เนื่องด้วยเหตุนี้นี่เอง ทำให้ในตอนนี้รายการกีฬาของ ABC ทุกรายการใช้ชื่อว่า ESPN on ABC อย่างไรก็ตาม ABC Sports ก็ยังคงแยกจาก ESPN อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ปัจจุบันนี้ ESPN กำลังสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ในการผลิตรายการ ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมือง Los Angeles สิ่งอำนวยความสะดวกนี้เป็นส่วนหนึ่งของ L.A. Live complex ที่อยู่ตรงข้าม Staples Center สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งห้าชั้นนี้จะจัดโซนร้านอาหารไว้ที่สองชั้นแรก และจะมีสตูดิโอสองห้องที่ใช้ในการผลิตโทรทัศน์ด้วยห้องควบคุมระบบดิจิทัลที่อยู่ชั้นบน โดยที่ทำการเปิดตัวไปแล้ว ในปี พ.ศ. 2552
ในปี พ.ศ. 2550 ESPN ได้เซ็นสัญญาลงนามกับ Arena Football League เพื่อออกอากาศอย่างน้อยหนึ่งเกมทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงคืนวันจันทร์
ในวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2551 ESPN ได้เซ็นสัญญาหลายล้านดอลลาร์สหรัฐกับสมาคมกีฬาระดับอาชีพ Major League Gaming หรือ MLG เป็นเวลาสั้นๆ ถึงแม้ว่าบางคนได้โต้แย้งว่า เกมระดับอาชีพไม่ใช่กีฬาที่แท้จริง แต่ ESPN ก็ยังคงมีการร่วมมืออยู่
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น William Rasmussen ได้ก่อตั้งเน็ตเวิร์คขึ้นมา ก่อนที่จะมีการออกอากาศ ESPN บริษัท Getty Oil (ต่อมา Texaco เป็นผู้ซื้อ ESPN ซึ่งได้เข้าถือสิทธิ์โดย Chevron ตามลำดับ) ได้ตกลงที่จะซื้อหุ้นธุรกิจหลักในเน็ตเวิร์ค
ในปี พ.ศ. 2527 ABC ได้ตกลงกับบริษัท Getty Oil เพื่อเข้าถือสิทธิ์ใน ESPN โดยที่ ABC ได้ถือหุ้น 80% และขายหุ้นไป 20% ให้กับ Nabisco ต่อมาหุ้นของ Nabisco ถูกขายต่อไปยัง Hearst Corporation ซึ่งยังคงถือหุ้นอยู่ 20% ในทุกวันนี้ ในปี พ.ศ. 2529 บริษัท Capital Cities Communications ได้เข้าซื้อ ABC ด้วยมูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2548 บริษัท The Walt Disney Company ได้ซื้อ Capital Cities/ABC ด้วยมูลค่า 19 พันล้านดอลลาร์สหรัฐและถือครองหุ้น 80% ใน ESPN ณ ช่วงเวลานั้น ตามการวิเคราะห์ที่ได้ลงตีพิมพ์ในนิตยสาร Barron’s Magazine เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เป็นไปได้ว่า ESPN “มีมูลค่ามากกว่า 40% ของมูลค่าทั้งหมดของ Disney โดยยึดตามกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวในอุตสาหกรรม”
ถึงแม้ว่า ESPN จะดำเนินการในฐานะบริษัทสาขาของ Disney มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2539 แต่ก็ยังถือว่าเป็นกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ระหว่างบริษัท Disney และบริษัท Hearst
ESPNHD ออกอากาศเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2546 เป็นการออกอากาศแบบสองทางที่มีความละเอียดของภาพสูง (HD) โดยบริษัท Disney ที่ถือกรรมสิทธิ์ ESPN ออกอากาศ ESPN ได้ทั้งตลอด 24 ชั่วโมงต่อวัน 7 วันต่อสัปดาห์ ESPNHD พร้อมทั้ง ABCHD ที่เป็นเน็ตเวิร์คเครือข่าย ใช้มาตรฐานเส้นความละเอียดในการแสดงผล HD ขนาด 720p เพราะผู้บริหารของ ABC ได้เสนอสัญญาณแบบ progressive ‘p’ ที่แก้ปัญหาการเคลื่อนไหวของภาพที่มีความเร็วสูงและเปลี่ยนแปลงได้ง่ายในกีฬาต่างๆ ให้ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างการรีเพลย์ภาพกีฬาต่างๆ ให้ช้าลง
โชว์ทุกโชว์ที่อยู่ในสตูดิโอที่บริสตอลและเหตุการณ์สดส่วนใหญ่ทาง ESPN จะผลิตรายการออกมาในระบบของสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูง (HD) ESPN เป็นหนึ่งในไม่กี่เน็ตเวิร์คที่มีโครงสร้างพื้นฐานเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด โชว์ต่างๆ ที่ถูกบันทึกมาจากที่อื่น เช่น Jim Rome Is Burning (Los Angeles) ; Pardon the Interruption และ Around the Horn (Washington, D.C.) ถูกนำเสนอผ่านฟอร์แมตภาพแบบ 4:3 โดยจะปรากฏขอบดำขึ้นที่ด้านข้างทั้งสองข้างของภาพด้วยระบบมาตรฐาน (Standard Definition) อย่างไรก็ตาม ESPN ยังคงรักษานโยบายที่ว่า ภาพวิดีโอใดๆ ก็ตามที่เกิดขึ้นจากระบบของสัญญาณภาพที่มีความละเอียดสูง (HD) ต้องคงระบบ HD ไว้ เมื่อออกอากาศทาง ESPNHD เช่นเดียวกับเน็ตเวิร์คของรายการกีฬาอื่นๆ ทุกรายการ ESPN จึงคิดราคาสำหรับค่าช่อง HD
เมื่อไม่นานมานี้เน็ตเวิร์คได้อยู่ในระหว่างการพิจารณาที่สำคัญจากเจ้าหน้าที่เทคนิคของโรงงานและการนำ HD มาใช้ในตอนต้น เนื่องจากคุณภาพของภาพลดลงอย่างเห็นได้ชัดในระยะหลังๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการออกอากาศสด ไม่แน่ชัดว่านี่อาจจะเป็นผลมาจากการบีบอัดภาพมากเกินไปจากเคเบิลและผู้ให้บริการดาวเทียมหรือมีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมในเครือข่ายผู้จัดจำหน่าย ESPN
เวลาโฆษณาทาง ESPN ได้ขายหมดล่วงหน้ามาหลายเดือนแล้ว ผู้ลงโฆษณารายหลักๆ เช่น Apple Inc., FedEx และ United Parcel Service ยังคงซื้อโฆษณาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เข้าถึงผู้ชมเพศชายที่มีอายุ 25-54 ปี รายได้ของ ESPN จากโฆษณา เฉลี่ยตกอยู่ที่ 441.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยอัตราการลงโฆษณาอยู่ที่ 9,446 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อ 30 วินาที
ESPN และเน็ตเวิร์คในเครือเดียวกัน (ESPN on ABC, ESPN2, ESPNU, ESPN Plus และ ESPN Classic) มีสิทธิ์ในรายการการแข่งขันและกีฬาดังนี้
ESPN ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมกระแสนิยมตั้งแต่มีการก่อตั้ง ESPN ขึ้นมา ภาพยนตร์หลายเรื่องที่มีธีมเกี่ยวกับกีฬาทั่วๆ ไปจะมีผู้ประกาศและรายการของ ESPN เข้าไปแทรกอยู่ในเนื้อเรื่อง (เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Dodgeball: A True Underdog Story ซึ่งเหน็บแนมอย่างนุ่มนวลเกี่ยวกับ ESPN ที่มีหลายช่องด้วยกันโดยอ้างถึง ESPN8 ที่ไม่มีอยู่จริง ในเรื่อง “The Ocho” บางครั้งจะมีการอ้างถึงชื่อเล่นที่ใช้สำหรับ ESPN2 ในเรื่อง “The Deuce” ในภาพยนตร์ยอดฮิตอย่างเรื่อง “Waterboy” ที่ Adam Sandler รับบทเป็น Bobby Boucher ที่มี “SportsCenter” เข้ามาเกี่ยวข้องในศึก “Bourbon Bowl” ผู้ประกาศข่าวของ SportsCenter ได้ไปปรากฏตัวอยู่ในมิวสิกวิดีโอของ Brad Paisley ("I'm Gonna Miss Her (The Fishin' Song)") และ Hootie and the Blowfish ("Only Wanna Be With You") รวมทั้งทีวีซีรีส์เรื่อง Sports Night (โดย Aaron Sorkin ผู้สร้างซีรีส์เรื่อง West Wing) ในปี พ.ศ. 2541 ที่มีฉายเพียงไม่กี่ซีซั่นเท่านั้น โดยเรื่องนี้จะยึดเอาสไตล์การทำงานที่เกี่ยวกับเน็ตเวิร์คของ ESPN และตำแหน่งใน ESPN เป็นหลัก
นักแสดงตลกหลายคนมักจะพูดเรื่องตลกๆ เกี่ยวกับกีฬาที่ไม่เป็นที่รู้จักที่สร้างขึ้นมาเองที่ออกอากาศทาง ESPN อย่างเช่น Dennis Miller กล่าวถึงการดู “sumo rodeo เป็นการขี่ม้าเพื่อต้อนวัว ต้อนแกะ แล้วจากนั้นก็จะเป็นการขี่วัวพยศ ม้าพยศ โดยสวมชุดซูโม่” ขณะที่ George Carlin กล่าวว่า ESPN ออกอากาศ “Australian dick wrestling เป็นการแข่งขันมวยปล้ำที่โชว์ของลับชาวออสเตรเลีย” รายการตลกล้อเลียนชื่อดังอย่าง Saturday Night Live ก็ได้มีการล้อเลียน ESPN2 โดยใช้ชื่อตอนว่า Scottish Soccer Hooligan Weekly ซึ่งจะมีโฆษณาปลอมที่ทำขึ้นมาสำหรับ "Senior Women's Beach Lacrosse" ในช่วงต้นปีแรกๆ ของ ESPN นั้น รายการ “The Late Show with David Letterman” ได้แสดง “Top Ten List” ซึ่งเป็นการเย้าแหย่ถึงกีฬาบางตัวที่ไม่เป็นที่รู้จักที่มักจะออกอากาศทาง ESPN ในช่วงเวลานั้น หนึ่งในกีฬาที่จดจำกันได้มากในลิสต์ 10 อันดับ คือ “Amish Rake Fighting”
ESPN Now เป็นช่องทีวีที่ใช้สำหรับกิจกรรมทางการตลาดที่เป็นเคเบิลระบบดิจิทัลมาก่อน โดยออกอากาศตั้งแต่ปี พ.ศ. 2544-2547 รวมทั้งแสดงราคาสินค้า ควบคู่ไปกับ ESPN และโฆษณาส่งเสริมการขายของ Go.com ส่วนใหญ่แล้วช่อง ESPN Now จะนำไปใช้เพื่อโฆษณากีฬาระดับวิทยาลัยของ ESPN ในแพ็กเกจแบบจ่ายเมื่อรับชม ให้กับผู้ชม ในที่สุดแล้วช่อง ESPN Now ก็หยุดออกอากาศเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของระบบวีดิทัศน์ตามคำขอ
ทั้ง ESPN และ ESPN2 ได้ส่งต่อให้ ABC News รายงานสถานการณ์ข่าวการถูกโจมตีในวันที่ 11 กันยายน 2544 รายการเดิมเพียงรายการเดียวเท่านั้นที่ผลิตอยู่หลังจากมีการถือครองเครือข่ายคือ SporstCenter ช่วงเวลาหกโมงเย็นที่ถูกลดเวลาลง โดยรายการนี้เน้นไปที่การปกป้องรายการกีฬาที่ถูกยกเลิกไปด้วยปฏิกิริยาที่มีโจมตีของพวกก่อการร้าย
ESPN นำเสนอข่าววันแรกของการแข่งขัน 2003 NCAA Men's Basketball Tournament เนื่องมาจากการรายงานข่าวของ CBS เรื่องการบุกอิรัก CBS ก็ยังคงผลิตรายการกีฬาต่างๆ และจัดจำหน่ายให้ตรงกับตลาดผ่านบริษัทเคเบิล ตัว identifier ตัวเดียวของ ESPN คือ bottomline graphic ที่ผ่านการออกอากาศทางโทรทัศน์ทั้งหมดมาโดยตลอด