เมืองท่าแซะเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองชุมพรจึงเป็นสมรภูมิรับศึกจากพม่าที่เข้าตีเมืองทุกครั้ง เมืองท่าแซะปรากฏตามคำบอกเล่าของชาวกรุงเก่า ตามพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่าเมืองท่าแซะเป็นเมืองขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา มีฐานะเป็นเมืองจัตวา เมืองหน้าด่านขึ้นตรงกับเมืองชุมพรซึ่งเป็นเมืองตรี ผู้ครองเมืองท่าแซะมีบรรดาศักดิ์ว่า พระเทพไชยบุรินทร์
เมืองท่าแซะตั้งขึ้นเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่นอน ต่อมาในปี พ.ศ. 2439 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดฯ ให้จัดการปรับปรุงท้องที่เป็นมณฑลเทศาภิบาลขึ้น ให้ลดฐานะเมืองท่าแซะ เมืองปะทิว เมืองกำเนิดนพคุณ เป็นอำเภอขึ้นต่อมณฑลชุมพร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเทพไชยบุรินทร์ (คล้าย ฐิตะฐาน) ดำรงตำแหน่งกรมการอำเภอ (นายอำเภอ) คนแรก ขณะนั้นที่ว่าการอำเภอตั้งอยู่ระหว่างวัดแหลมยางกับวัดยางฆ้อ พ.ศ. 2462 กระทรวงมหาดไทยออกประกาศแจ้งความวันที่ 19 สิงหาคม พ. ศ. 2462 ให้ยุบอำเภอท่าแซะเป็นกิ่งอำเภอท่าแซะโอนการปกครองขึ้นกับอำเภอปะทิว โดยอ้างว่าท้องที่อำเภอท่าแซะโดยมากยังเป็นป่าเขา การงานมีน้อย หมู่บ้านและตำบลมีตั้งค่อนไปทางอำเภอปะทิว ทางไปมาสะดวก อำเภอปะทิวมีคนมากการทำมาหากินกำลังเจริญ พ.ศ. 2464 ย้ายที่ว่าการอำเภอจากบ้านแหลมยางมาตั้งที่บ้านตะโหนกการ้อง (จุดที่ตั้งสถานีตำรวจภูธรในปัจจุบัน) ต่อมาทางราชการเห็นว่าท่าแซะมีท้องที่กว้างขวาง มีอาณาเขตติดต่อกับประเทศพม่า และมีประชาชนอยู่หนาแน่น ทางราชการโดยสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกประกาศ ณ วันที่ 8 ตุลาคม พ. ศ. 2483 ยกฐานะกิ่งอำเภอท่าแซะเป็นอำเภอท่าแซะอีกครั้งหนึ่งจนปัจจุบัน
อำเภอท่าแซะเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองชุมพรในสมัยโบราณ ในการรณรงค์สงครามไทยกับพม่าทุกๆ ปีจะต้องมีการเตรียมตัวป้องกันการรุกรานของพม่าข้าศึกเพราะข้าศึกจะมาตีเมืองชุมพรได้ต้องเดินผ่านอำเภอท่าแซะ ท่าแซะจึงเป็นสมรภูมิรับศึกฉะนั้นจึงเป็นเหตุให้สถานที่ต่างๆ มีชื่อเป็นไปตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายแห่ง อาทิ ตำบลทัพรอ (กองทัพพม่าเดินทัพพม่าผ่านมาทางพื้นที่นี้ก็รอทัพไว้ จึงเรียกนามตำบลนี้ว่า ทัพรอ ต่อมาได้เรียกพื้นที่เป็น รับร่อ ในปัจจุบัน)
อำเภอท่าแซะตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้
ตั้งอยู่ที่หมู่ 2 ตำบลหงษ์เจริญ วนอุทยานฯ มีเนื้อที่ครอบคลุมประมาณ 7,010 ไร่ น้ำตกกระเปาะเป็นน้ำตกขนาดเล็ก มีต้นน้ำจากเขากะเปาะมีลักษณะคล้ายฝายรูปโค้ง กว้างประมาณ 20 ม. สูง 2 ม. มีน้ำไหลตลอดทั้งปี เหมาะสำหรับการพักผ่อนและเล่นน้ำตก และบริเวณสวนป่ามีศาลาพักร้อนและสถานที่สำหรับกางเต็นท์พักแรม ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ของวนอุทยานฯ คอยแนะนำแก่นักท่องเที่ยว ณ ที่ทำการชั่วคราววนอุทยานน้ำตกกะเปาะ
การเดินทาง
ที่ 467 ถ. เพชรเกษม อยู่ห่างจากตัวเมืองชุมพรประมาณ 30 กม. และห่างจากอ. ท่าแซะประมาณ 13 กม. โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 แยกขวาเข้าไปตามถนนลาดยางอีกประมาณ 2 กม.
ตั้งอยู่ที่หมู่ 4 ตำบลท่าข้าม บริเวณเชิงเขารับร่อ บริเวณหลังวัดจะมีถ้ำที่ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง มีถ้ำที่สำคัญ 3 ถ้ำ คือ ถ้ำอ้ายเตย์ ถ้ำพระ ถ้ำไทร ซึ่งแต่ละถ้ำจะมีพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัยประดิษฐานอยู่ ภายในบริเวณถ้ำมีหินงอกหินย้อยที่สวยงานและบ่อน้ำ บริเวณศาลาราษฎร์สามัคคียังเป็นที่ตั้งศพของหลวงปู่ไสยที่มรณภาพแล้วแต่ร่างกายไม่เน่าเปื่อย และยังมีรอยพุทธบาทหินทรายสลักลายมงคล 108 ประการ ซึ่งบริเวณถ้ำมีทางเดินเชื่อมแต่ละถ้ำ มีจุดพักผ่อนชมวิว และยังมีสัตว์เลี้ยงให้ชม
การเดินทาง
จากตัวเมืองชุมพรไปตามเส้นทางหมายเลข 4 ก่อนถึงตัว อ.ท่าแซะ หลักกม.ที่ 490 เลี้ยวซ้ายไปตามถนนลาดยางอีกประมาณ 4 กม. และถนนคอนกรีตอีก 1 กม. จะถึงหมู่บ้านท่าข้ามและวัดเทพเจริญ
ตั้งอยู่หมู่ที่ 2 ตำบลสลุย ศาลพ่อตาหินช้าง เป็นศาลที่ประดิษฐานเทวรูปอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพสักการะชองประชาชนทั่วไปที่สัญจรผ่านไปมา เพื่อขอพรต่างๆ และเพื่อให้การเดินทางเป็นไปโดยสวัสดิภาพ และมีร้านค้าชุมชนพ่อตาหินช้าง เป็นระยะทางยาว 1,500 ม. ซึ่งเป็นศูนย์จำหน่วยสินค้าพื้นเมืองและสินค้าที่มีชื่อเสียงของจังหวัด เช่น กล้วยเล็บมือนาง และผลไม้ตามฤดูกาล
การเดินทาง
จากตัวเมืองชุมพรใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 จะอยู่บริเวณริมถนนเพชรเกษมระหว่างหลัก กม. ที่ 453-454
ตั้งอยู่บ้านปากด่าน ตำบลหงษ์เจริญ ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการระดมทุนในการก่อสร้าง เพื่อเป็นเกียรติและเป็นที่เคารพสักการะของชาวชุมพรและปวงชนชาวไทย ที่ท่านเป็นปูชนียบุคคลสำคัญของประเทศชาติ การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกันกับ เนิน 491
เป็นชื่อเรียกพื้นที่รอยต่อระหว่างพรมแดนพรมแดนไทยและสหภาพพม่าตั้งอยู่ในเขตตำบลรับร่อ อำเภอท่าแซะ โดยสถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของชุมพร เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2529 จากการที่รัฐบาลสหภาพพม่าส่งกำลังทหารเข้ายึดพื้นที่บริเวณรอบเนิน 491 อันเป็นการละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย ต่อมารัฐบาลได้ใช้ยุทธวิธีทางการทูตเจรจาจนกองทหารสหภาพพม่าถอนกำลังออกไป ปัจจุบันจังหวัดชุมพรกำลังพัฒนาเนิน 491 ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์ เพื่อเป็นพักผ่อนหย่อนใจและให้เยาวชนรุ่นหลังได้ศึกษาหาความรู้ทางประวัติของไทย
ด่านทัพต้นไทร (เนิน 491) หรือ ด่านจำเริญบ่วงราบ เพื่อเป็นเกียรติภูมิตำรวจไทย วีรกรรมของ ร้อยตำรวจตรีจำเริญ บ่วงราบ หัวหน้ากองปราบปราม สถานีตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร ปฏิบัติหน้าที่ หัวหน้ากองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหาร (หน.พตท.) บุกเข้าเขตตะนาวศรี ประเทศพม่า ในปี พ.ศ. 2493 ขณะที่ พันตำรวจเอก เผ่า ศรียานนท์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอธิบดี รองอธิบดีกรมตำรวจฝ่ายปราบปราม ยศขณะนั้น ร้อยตำรวจตรีจำเริญ บ่วงราบ หัวหน้ากองกำลังผสมพลเรือนตำรวจทหาร (หน.พตท.) นำกำลังพลกว่า 100 นาย ข้ามแดนบริเวณ บ้านต้นไทร หรือ ด่านทัพต้นไทร (เนิน 491) เพื่อบุกจับนายแพ้ว อุ้ยนอง ที่ลอบสังหาร นายคุ้ม บ่วงราบ ผู้ปกครองอาณานิคมสยามในเขตตะนาวศรี ผู้เป็นบิดา
อำเภอท่าแซะเป็นเมืองหน้าด่านที่สามารถเข้าไปเที่ยวชมสภาพธรรมชาติบริเวณแนวชายแดน และในเขตแดนพม่าได้อย่างใกล้ที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับชายแดนไทยด้านอื่นๆ แต่ทางพม่ายังไม่เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยมีระยะทางสู่เนิน 491 อยู่ห่างจากตัวจังหวัดชุมพร ประมาณ 70 กม.