อัคระ (i/????r?/; ฮินดี: ???? ?gr?, อูรดู: ?????, อังกฤษ: Agra) อดีตเมืองหลวงของอินเดียในสมัยที่ยังเรียกว่า "ฮินดูสถาน" (Hindustan) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำยมนา (Yomuna) ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ในรัฐอุตตรประเทศ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลัคเนา (Lucknow) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอุตตรประเทศไปทางทิศตะวันตกเป็นระยะทาง 363 กิโลเมตร (226 ไมล์) และ 200 กิโลเมตร (124 ไมล์) ทางทิศใต้ของกรุงนิวเดลี เมืองอัคระมีประชากรทั้งหมด 1,686,976 คน (ปีค.ศ. 2010) ถือเป็นหนึ่งในเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในรัฐอุตตรประเทศ และอันดับที่ 19 ในประเทศอินเดีย.อัคระ นั้นยังใช้เป็นชื่อของเขตอำเภอ (District) ซึ่งเมืองอัคระนั้นตั้งอยู่
อัคระ เคยถูกกล่าวถึงในมหากาพย์มหาภารตะ (Mah?bh?rata) โดยถูกเรียกว่า "อัครวนา" (Agrevana) แปลตามศัพท์สันสกฤตว่า "นครชายป่า" และยังเกี่ยวข้องกับพระฤๅษีอังคีรส หนึ่งในสิบมหาฤๅษีของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู แต่ถ้าพูดถึงการสร้างเป็นเมืองนั้น ตำนานกล่าวว่าเกิดขึ้นในสมัยเจ้าเชื้อสายราชบุตรชื่อ “ราชปฎลสิงห์” (Raja Badal Singh) เมืองนี้เคยผ่านสมรภูมิครั้งใหญ่ๆ เมื่อราวหนึ่งพันปีก่อน มีการเปลี่ยนผู้ครองเมืองเป็นระยะ กษัตริย์องค์แรกที่ย้ายเมืองหลวงจากเดลีไปยังอัคระได้แก่ "สุลต่านสิกันดร โลที" (Sultan Sikandar Lodi) เมื่อ ค.ศ. 1506 (ยุคกรุงศรีอยุธยา ก่อนเสียกรุงครั้งที่ 1) จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีค.ศ. 1517 "สุลต่านอิบราฮิม โลที" (Ibrahim Lodi) พระโอรส ปกครองอัคระต่อมาอีก 9 ปีจนกระทั่งพ่ายแพ้ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ในปี ค.ศ. 1526. จากนั้นมาระหว่างปีค.ศ. 1540 ถึงค.ศ. 1556 เจ้าเชื้อสายอัฟกานิสถานได้เข้าปกครองเมืองแทนเริ่มจากเจ้าเชอร์ชาห์สุรี (Sher Shah Suri) และเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ (Hem Chandra Vikramaditya) ราชาแห่งชาวฮินดู ก่อนที่จะเริ่มโด่งดังในฐานะเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุล อันยาวนานตั้งแต่ปีค.ศ. 1556 ถึงค.ศ. 1658 อันเป็นช่วงกำเนิดของโบราณสถานสำคัญในปัจจุบัน อาทิเช่น ทัชมาฮาล (Taj Mahal) ป้อมอัคระ (Akra Fort) และฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehpur Sikri) ซึ่งโบราณสถานโมกุลทั้งสามแห่งนี้ได้ถูกยกขึ้นเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก
อัคระตั้งอยู่ในเขตภูมิอากาศกึ่งแห้งแล้ง (Semiarid climate) ประกอบด้วยฤดูหนาวที่ไม่รุนแรง ร้อนและแห้งแล้งในฤดูร้อน และฤดูมรสุม ซึ่งในฤดูมรสุมนั้น ในบริเวณเมืองอัคระ จะไม่มีลมมรสุมที่แรงเหมือนในส่วนอื่นๆของประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของภูมิอากาศแบบนี้ ตรงข้ามกันกับภูมิอากาศส่วนใหญ่ของอินเดีย ซึ่งเป็นภูมิอากาศแบบอบอุ่นชื้น (Humid subtropical climate)
จากการสำรวจประชากรในปีค.ศ. 2011 เมืองอัคระประกอบด้วยประชากรทั้งสิ้น 1,775,134 คน และในเขตอำเภออัคระจำนวน 3,620,436 คน โดยมีประชากรชายเฉลี่ยร้อยละ 53 และหญิงร้อยละ 47 ประชากรในอัคระมีอัตราการรู้หนังสือร้อยละ 81 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศอินเดียซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 59.5 เฉพาะประชากรชายนั้นเฉลี่ยที่ร้อยละ 86 ซึ่งถือว่าแตกต่างค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประชากรหญิง ในเขตอำเภออัคระ มีอัตราการรู้หนังสือเฉลี่ยร้อยละ 62.56
ศาสนาหลักของเมืองอัคระ ประกอบด้วย ศาสนาฮินดู ร้อยละ 81.6 ศาสนาอิสลาม ร้อยละ 15.5 ศาสนาเชน ร้อยละ 1.4 และอื่นๆ อีกร้อยละ 1.5
จำนวนประชากรของอัคระร้อยละ 52.5 นั้นอยู่ในวัย 15-59 ปี อีกร้อยละ 11 นั้นอยู่ในกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี
ถึงแม้ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของอัคระนั้นมักจะถูกรับรู้ว่ามีความเกี่ยวพันกับจักรวรรดิโมกุล แต่แท้จริงแล้วเมืองอัคระนั้นเริ่มเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น โดยมีความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์อินเดียสมัยมหาภารตะ ในปีค.ศ. 1000
เป็นที่ยอมรับกันว่า "สิกันดร โลดิ" สุลต่านแห่งเดลีนั้นเป็นผู้ก่อตั้งอัคระขึ้นในปีค.ศ. 1504 หลังจากสิ้นพระชนม์แล้วจึงสืบทอดไปยังพระโอรส "อิบราฮิม โลดี" ซึ่งปกครองสุลต่านเดลีที่อัคระจนกระทั่งพ่ายสงครามให้กับจักรพรรดิบาบูร์ (B?bar) ในยุทธการแห่งปณิปัต (Battle of Panipat) ในปีค.ศ. 1526
ต่อมาในปีค.ศ. 1556 กษัตริย์นักรบแห่งชาติฮินดู "เจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์" (Hem Chandra Vikramaditya) ได้เอาชนะสุลต่านและจอมทัพของแคว้นอัคระ สุลต่านเอดิลชาห์สุรี (Adil Shah Suri) สุลต่านองค์สุดท้ายของราชวงศ์สุรี (ชาวอัฟกัน) เนื่องจากผู้บัญชาการกองทัพของสมเด็จพระจักรพรรดิหุมายุน (Humayun) แห่งราชวงศ์โมกุล คือ "ทาร์ดี เบ็ก คาน" (Tardi Beg Khan) ได้ยอมล่าถอยทัพออกจากอัคระด้วยความเกรงกลัวในพระบรมราชานุภาพของเจ้าเหมจันทร์วิกรมทิตย์ ถอยทัพโดยปราศจากการต่อสู้ ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นชัยชนะครั้งที่ 21 ของกองทัพฝั่งฮินดู ภายใต้การนำทัพของพระองค์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1554 จากนั้นได้เสด็จไปตีเมืองเดลี และมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกที่ป้อมปุรานา หิรา (Purana Qila) ในกรุงเดลี เมื่อ 7 ตุลาคม ค.ศ. 1556 และได้ฟื้นฟูอาณาจักรฮินดูขึ้นใหม่ปกครองแคว้นอินเดียตอนเหนือโดยราชวงศ์วิกรมทิตย์
ยุคทองของอัคระนั้นเริ่มขึ้นในสมัยที่ปกครองโดยราชวงศ์โมกุล โดยรู้จักกันดีในสมัยนั้นว่า "อัคบาราบัด" และเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิโมกุลภายใต้การปกครองของสมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ และสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ทรงย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ "ชาห์ชะฮันนาบัด" (Shahjahanabad) ในปีค.ศ. 1649
เนื่องจากที่อัคบาราบัดนี้เป็นเมืองที่สำคัญที่สุดในอินเดียภายใต้จักรวรรดิโมกุล จึงมีการสร้างสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย สมเด็จพระจักรพรรดิบาบูร์ ผู้สถาปนาราชวงศ์โมกุล ได้วางแบบแผนสวนแบบเปอร์เซียในบริเวณริมฝั่งของแม่น้ำยมุนา สวนนี้มีชื่อว่า "อารัม บักห์" (Ar?m B?gh) แปลว่า สวนแห่งความผ่อนคลาย พระราชนัดดาของพระองค์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิอักบัร ได้สร้างป้อมปราการสีแดงขึ้นมา นอกจากนั้นยังทำให้อัคระเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ ศิลปะ การค้า และศาสนา ในรัชสมัยของพระองค์ยังมีการสร้างเมืองแห่งใหม่บริเวณปริมณฑลของอัคระที่มีชื่อว่า "ฟาเตห์ปูร์ สิครี" ซึ่งสร้างในรูปแบบของป้อมค่ายทหารซึ่งสร้างจากหิน
พระโอรสของพระองค์ ซึ่งต่อมาคือ สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ ทรงเป็นผู้โปรดปรานสวน พืชพันธุ์ และต้นไม้ต่างๆ จึงพบการเพิ่มเติมบริเวณสวนภายในป้อมอัคระ สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน จักรพรรดิองค์ถัดมา ทรงเป็นผู้โปรดปรานและมีพระปรีชาสามารถทางสถาปัตยกรรมอย่างยิ่ง ซึ่งได้มอบมรดกชิ้นสำคัญของอัคระ คือ ทัชมาฮาล ที่สร้างขึ้นจากความรักและความทรงจำของพระมเหสีของพระองค์ ซึ่งสร้างเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1653
สมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน ภายหลังนั้นได้ย้ายเมืองหลวงกลับไปที่กรุงเดลี แต่พระโอรสของพระองค์ ออรังเซพ ได้ย้ายกลับไปที่อัคบาราบัด โดยจับคุมตัวองค์จักรพรรดิไว้ในป้อมจนสวรรคต ซึ่งอัคบาราบัดก็ยังเป็นเมืองหลวงในขณะนั้นจนสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซพ ได้ย้ายเมืองหลวงไปที่ "ออรังกาบัด" (Aurangabad) ในเดคคาน เมื่อปีค.ศ. 1653 จากนั้นต่อมาเป็นยุคปลายของจักรวรรดิโมกุล เมืองจึงได้ตกอยู่ในอิทธิพลของชาวมราฐา และถูกเรียกชื่อใหม่ว่า "อัคระ" ก่อนที่จะตกเป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ หรือบริติชราช
สนามบินกองทัพอากาศอัคระ ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองเป็นระยะทาง 12.5 กิโลเมตร (8 ไมล์) ซึ่งถือเป็นสนามบินสังกัดกองทัพอากาศ จึงยังไม่มีสายการบินพาณิชย์เข้าใช้ ตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 เมืองพาราณสีได้มีสนามบินที่เริ่มให้บริการการบินเชิงพาณิชย์ระหว่างเมือง
อัคระนั้นตั้งอยู่ตรงกลางเส้นทางรถไฟสายภาคกลางที่เชื่อมระหว่างเดลี (รหัสสถานี: NDLS) และมุมไบ (บอมเบย์) (รหัสสถานี: CSTM) และระหว่างเดลี กับเจนไน (รหัสสถานี: MAS) และนอกจากนั้นยังมีรถไฟสายอื่นๆ อาทิเช่น Bhopal Shatabdi, Bhopal Express, Malwa Express, Gondwana Express, Jabalpur - Jammutawi Express, Shreedham Express, Garib Rath, Tamil Nadu Express, Chennai Rajdhni ฯลฯ ที่เชื่อมอัคระเข้ากับเมืองสำคัญอื่นๆของประเทศอินเดีย เช่น นิวเดลี มุมไบ โกลกาตา เจนไน ไฮเดอราบัด บังกาลอร์ ปูเน ลัคเนา ชัยปุระ ฯลฯ ได้ในทุกๆวัน รถไฟสายตะวันออกบางสายจากเดลีนั้นยังเชื่อมต่อผ่านอัคระ จึงสามารถใช้เป็นจุดต่อรถเพื่อไปต่อยังเมืองต่างๆทางฟากตะวันออกของอินเดียได้ (เช่น โกลกาตา เป็นต้น) ซึ่งในทุกๆวันจะมีรถไฟมุ่งหน้าสู่เดลีถึงวันละ 20 เที่ยว เมืองอัคระมีสถานีรถไฟสำคัญทั้งหมด 3 สถานีหลัก:
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟท่องเที่ยวที่มีความหรูหราเป็นพิเศษ ได้แก่ รถไฟเดอะพาเลซ ออน วีลส์ (The Palace on Wheels) และ เดอะ รอยัล ราชสถาน ออน วีลส์ (The Royal Rajasthan on Wheels) ซึ่งยังผ่านและหยุดที่อัคระในระหว่างทริปที่มีความยาวถึงแปดวัน (ไป-กลับ) ระหว่างราชสถานกับอัคระ
นักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการแท็กซี่ได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆของเมือง โดยสามารถเรียกจากป้ายแท็กซี่ นอกจากนี้ยังมีแท็กซี่แบบจ่ายล่วงหน้า ซึ่งให้บริการจากสถานีรถไฟอัคระ (Agra Cantt railway station)
ทัชมาฮาล นั้นถือเป็นหนึ่งในสิ่งปลูกสร้างที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความรักของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันที่มีแก่พระมเหสีของพระองค์ คือ พระนางมุมตาซ มหัล ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก และหนึ่งในโบราณสถานที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากทั้งสามแห่งในเมืองอัคระ
สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1653 โดยสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันแห่งราชวงศ์โมกุล เพื่อเป็นที่พักพิงหลังสุดท้ายของพระมเหสีของพระองค์ สร้างจากหินอ่อนสีขาว จึงถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอนุสรณ์สถานที่สวยงามและมีเสน่ห์ที่สุดในประเทศอินเดีย โดยก่อสร้างได้อย่างสมมาตร ซึ่งกินเวลาถึง 22 ปี (ปีค.ศ. 1630 - ค.ศ. 1652) ด้วยแรงงานกว่า 20,000 คน เพื่อสร้างสรรค์สถานที่แห่งนี้ท่ามกลางภูมิทัศน์ที่ถูกรังสรรค์อย่างสวยงาม โดยสถาปนิกชาวเปอร์เซีย อุซถัด อิซา (Ust?d '?s?) บนริมแม่น้ำยมนา ซึ่งสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจากบริเวณป้อมอัคระ ที่ซึ่งสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันทรงใช้เวลา 8 ปีสุดท้ายของพระชนม์ชีพเฝ้ามองทัชมาฮาล จากการถูกกักขังโดยพระโอรสของพระองค์เอง
ทัชมาฮาลนี้ยังถือเป็นผลงานชิ้นเอกแห่งความสมมาตร และยังมีประโยคจากคัมภีร์อัลกุรอานสลักอยู่โดยรอบ และบริเวณยอดของประตู ประกอบด้วยโดมขนาดเล็กถึง 22 แห่ง ซึ่งแสดงถึงจำนวนปีที่ใช้สร้างอนุสรณ์สถานแห่งนี้ บริเวณฐานของอาคารหลักเป็นหินอ่อนสีขาว ซึ่งซ้อนอยู่บนหินทรายซึ่งเป็นฐานชั้นล่างสุด โดมหลังที่ใหญ่ที่สุดวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 60 ฟุต (18 เมตร) ซึ่งภายใต้นั้นเป็นบริเวณที่ฝังพระศพของพระนางมุมตาซ มหัล ซึ่งต่อมาได้มีการสร้างหลุมพระศพของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮันเคียงข้างกัน โดยสมเด็จพระจักพรรดิออรังเซ็บ (Aurangzeb) ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ ภายในอาคารนั้นตกแต่งด้วยงานฝีมืออันวิจิตรฝังอัญมณีต่างๆ
ป้อมอัคระ (บางครั้งเรียก ป้อมแดง) สร้างโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ (Akbar) แห่งราชวงศ์โมกุลในปีค.ศ. 1565 และเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของอัคระ หลักศิลาจารึกที่พบบริเวณประตูทางเข้าระบุว่าป้อมแห่งนี้ถูกสร้างก่อนปีค.ศ. 1000 และต่อมาได้ถูกบูรณะโดยสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ป้อมที่ทำจากหินทรายสีแดงแห่งนี้ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนเป็นพระราชวังในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิชาห์ชะฮัน และถูกผสมผสานด้วยองค์ประกอบของหินอ่อนและการตกแต่งแบบฝังพลอย ที่เรียกว่า "ปิเอตรา ดูร่า" (pietra dura) อาคารหลักๆภายในป้อมอัคระ ได้แก่ มัสยิดไข่มุก (Moti Masjid) ท้องพระโรง (D?w?n-e-'?m and D?w?n-e-Kh?s) พระราชวังพระเจ้าชะฮันคีร์ (Jahangir Palace) ตำหนักมูซัมมัน เบิร์จ (Musamman Burj) เป็นต้น
โครงสร้างภายนอกเป็นป้อมปราการอันหนาแน่น ซึ่งทำหน้าที่ปิดบังความงามดุจสวรรค์ที่อยู่ภายใน ป้อมปราการโดยรอบนั้นถูกสร้างในรูปเสี้ยวพระจันทร์ และแบนเรียบขึ้นทางฝั่งทิศตะวันออกซึ่งเป็นกำแพงตรงและยาวขนาบแม่น้ำ มีความยาวเป็นระยะทางรวมทั้งสิ้นถึง 2.4 กิโลเมตร (1.5 ไมล์) และมีกำแพงขนาดใหญ่ซ้อนถึงสองชั้น และมีมุขป้อมยื่นออกมาเป็นระยะๆตลอดความยาว และมีคูเมืองขนาดความกว้าง 9 เมตร (30 ฟุต) และลึกถึง 10 เมตร (33 ฟุต) ล้อมรอบกำแพงชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง
สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจี (Sh?vaj?) แห่งจักรวรรดิมราฐา (Maratha Empire) เคยเสด็จมาภายในป้อมแห่งนี้ที่อาคารท้องพระโรง (D?w?n-i-Kh?s) เพื่อลงพระนามในสนธิสัญญาปูรันดาร์ (Treaty of Purandar) กับสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ โดยคุมตัวของราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I) ผู้เป็นแม่ทัพของจักรวรรดิโมกุล ซึ่งในการเข้าเฝ้าครั้งนั้นพระองค์ถูกจัดที่ประทับบริเวณด้านหลังของผู้มีบรรดาศักดิ์ที่ต่ำกว่า จึงทรงกริ้วอย่างมากเนื่องจากถูกลบหลู่หมิ่นพระเกียรติ และถูกจับกุมโดยราชบุตรใจสิงห์ (Jai Singh I)และคุมขังไว้ที่นั่นเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ค.ศ. 1666 และต่อมาทรงหลบหนีได้สำเร็จเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ค.ศ. 1666 เนื่องจากเกรงว่าจะถูกประหารโดยสมเด็จพระจักรพรรดิออรังเซ็บ เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มีการสร้างอนุสาวรีย์สมเด็จพระจักรพรรดิศิวจี ด้านนอกของป้อมอัคระ เพื่อแสดงถึงความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของพระองค์
ป้อมปราการแห่งนี้จัดเป็นผลงานตัวอย่างของสถาปัตยกรรมโมกุล ซึ่งเป็นแบบอย่างของป้อมปราการของอินเดียตอนเหนือ ซึ่งแตกต่างจากของอินเดียตอนใต้ ซึ่งมักจะสร้างยื่นลงไปในทะเล หรือหน้าผาริมน้ำ อาทิเช่น ป้อมปราการแห่งเบกาล ในรัฐเกรละ
สมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ได้ทรงมีพระบัญชาให้สร้างฟาเตห์ปูร์ สิครี (Fatehp?r Sikr?) ซึ่งตั้งอยู่ห่างเมืองอัคระเป็นระยะทาง 35 กิโลเมตร (22 ไมล์) และต่อมาได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่นั่น (ในระหว่างปีค.ศ. 1571 ถึงค.ศ. 1585) ในที่สุดก็ได้ทิ้งร้างลงกลับมาที่อัคระอีกหนหนึ่ง ฟาเตห์ปูร์ สิครีจึงประกอบด้วยอาคารที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย ซึ่งได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก โดยองค์การยูเนสโก
ชื่อของสถานที่แห่งนี้ถูกตั้งขึ้นภายหลังที่จักพรรดิบาบูร์ (B?bar) แห่งจักวรรดิโมกุลได้มีชัยชนะต่อราชบุตรราณสังฆ์ (Rana Sanga) ในสถานที่ที่เรียกว่า "สิครี" (Sikr?) ซึ่งห่างจากอัคระประมาณ 40 กิโลเมตร (25 ไมล์) ซึ่งต่อมาสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ซึ่งเป็นพระนัดดาของจักรพรรดิบาบูร์ (B?bar) มีพระประสงค์จะสร้างที่แห่งนี้เป็นที่ประทับหลักของพระองค์ จึงได้มีการล้อมรอบด้วยปราการขนาดใหญ่ แต่เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนน้ำอย่างหนัก พระองค์จึงต้องย้ายกลับสูนครอัคระ ที่ป้อมอัคระอีกครั้งหนึ่ง
บูลันด์ ดาร์วาซา (Buland Darw?za) คือ ประตูเมืองที่สร้างโดยพระบัญชาของสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์ ในปีค.ศ. 1601 ที่ฟาเตห์ปูร์ สิครี เป็นประตูชัยแก่ชัยชนะของพระองค์ต่ออาณาจักรคุชราต ประกอบด้วยขั้นบันไดทั้งหมด 52 ขั้น สูง 53.63 เมตร และกว้าง 35 เมตร สร้างจากหินทรายสีแดง ตกแต่งด้วยงานสลักหินอ่อนสลับสีขาวดำ บริเวณทางเข้าหลักพบหลักศิลาจารึกแสดงให้เห็นถึง"ความใจกว้าง"ของการนับถือศาสนาของพระองค์ ว่าเป็นสาสน์จากพระเยซูถึงสาวกของพระองค์ไม่ให้ยึดติดกับโลกเสมือนบ้านอย่างถาวร
พระจักรพรรดินีนูร์ ชะฮัน (N?r Jah?n) สร้างอนุสรณ์สถานอิตมัด-อุด-โดละห์ (Itmad-Ud-Daulah's Tomb) เป็นหลุมฝังศพให้แก่พระบิดาของพระองค์ นามว่า "มีร์ซา กียาซ เบค" (Mirza Ghiyas Beg) ซึ่งเป็นรัฐมนตรีระดับสูงคนสำคัญของสมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ ในปัจจุบันเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า "เบบี้ ทัช" (Baby Taj) ตั้งอยู่ริมฝั่งด้านซ้ายมือของแม่น้ำยมุนา ตัวอาคารตั้งอยู่ในสวนขนาดใหญ่เป็นรูปกางเขน สลับด้วยทางน้ำไหล และทางเดินต่าง ๆ ตัวอาคารหลักนั้นมีขนาด 23 ตารางเมตร และสร้างบนฐานกว้างขนาดประมาณ 50 ตารางเมตร สูงประมาณ 1 เมตร แต่ละมุมเป็นที่ตั้งของหอคอยทรงหกเหลี่ยมสูงประมาณ 13 เมตร เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับหลุมฝังศพ และหลุมฝังพระศพในยุคสมัยจักรวรรดิโมกุลนั้นจะถือว่ามีขนาดเล็ก จึงมักถูกเรียกว่าเป็นดั่ง "กล่องอัญมณี" นอกจากนี้ยังพบการจัดสวน การใช้หินอ่อนสีขาว การตกแต่งอินเลย์หินอ่อน (ปิเอตรา ดูร่า) ฯลฯ เป็นตัวอย่างสำคัญของการก่อสร้างทัชมาฮาล ในภายหลัง
กำแพงนั้นทำจากหินอ่อนสีขาวจากราชสถาน และตกแต่งด้วยอัญมณีหลากสีประเทภต่างๆ เช่น แจสเปอร์ คาร์เนเลียน โอนิกซ์ โทปาซ และลาพิส ลาซูไล เป็นรูปของต้นสนตระกูลไซเปรส และขวดไวน์ รวมทั้งยังตกแต่งเป็นองค์ประกอบที่ซับซ้อนเพิ่มขึ้น เช่น รูปผลไม้ที่ตัดแต่ง หรือแจกันพร้อมช่อดอกไม้ ในเวลาที่แดดส่องแสงผ่านด้านในของตัวอาคาร จะผ่านช่องแสงเรียกว่า จาลี (J?l?) ที่สลักเสาจากหินอ่อนสีขาว
พระญาติหลายๆคนของพระจักรพรรดินีนูร์ ชะฮัน (N?r Jah?n) ก็ยังถูกฝังที่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ องค์ประกอบอย่างเดียวที่ไม่สมมาตรในสถานที่แห่งนี้มีเพียงแค่หลุมฝังศพของพระบิดาและพระมารดาของพระองค์ ซึ่งตั้งอยู่ข้างๆกัน แต่ขนาดไม่เท่ากัน ซึ่งก็คล้ายกับการวางหลุมพระศพที่ทัชมาฮาล
เมืองสิกันทรา (Sikandra) ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลุมฝังพระศพสมเด็จพระจักรพรรดิอัคบาร์มหาราช (อักบัรมหาราช) แห่งราชวงศ์โมกุล ตั้งอยู่ระหว่างทางบนทางหลวงสายเดลี-อัคระ เพียง 13 กิโลเมตรจากป้อมอัคระ การออกแบบหลุมฝังพระศพแห่งนี้นั้นสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกของพระองค์อย่างครบถ้วน สร้างบนบริเวณกว้างขวางท่ามกลางสวนอันร่มรื่น ภายในอาคารอันสวยงามมีหลุมฝังพระศพสร้างจากหินทรายสีเหลือง-แดงที่สลักอย่างวิจิตรพิศดาร ตกแต่งเป็นลายรูปกวาง กระต่าย ค่างหนุมาน โดยว่ากันว่าพระองค์เป็นผู้เลือกสถานที่ตั้งหลุมพระศพของพระองค์เอง โดยถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติทางศาสนาของชาวโมกุลที่จะต้องสร้างหลุมฝังศพของตนโดยนำธรรมเนียมมาจากกลุ่มชนเตอร์กิก สมเด็จพระจักรพรรดิชะฮันคีร์ พระโอรสของพระองค์ได้เป็นผู้สานต่องานก่อสร้างจนสำเร็จในปีค.ศ. 1613 บนโลงหินนั้นยังสลักชื่อ 99 ชื่อของพระอัลเลาะห์