หอเอลิซาเบธ (Elizabeth Tower) (ก่อนหน้านี้เรียกว่า หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Clock Tower, Palace of Westminster)) หรือรู้จักดีในชื่อ บิกเบน เป็นหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันใช้เป็นรัฐสภาอังกฤษ ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของพระราชวัง หอนาฬิกานี้ถูกสร้างหลังจากไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เดิม เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2377 โดยชาลส์ แบร์รี เป็นผู้ออกแบบ หอนาฬิกามีความสูง 96.3 เมตร โดยที่ตัวนาฬิกาอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร ตัวอาคารสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (victorian gothic) ชื่อหอเอลิซาเบธตั้งขึ้นเพื่อฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษก หรือพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง
หลายคนเข้าใจว่าบิ๊กเบนเป็นชื่อหอนาฬิกาประจำรัฐสภาอังกฤษ แต่แท้ที่จริงแล้ว บิ๊กเบนเป็นชื่อเล่นของระฆังใบใหญ่ที่สุด หนักถึง 13,760 กิโลกรัม ซึ่งแขวนไว้บริเวณช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา ทั้งนี้มีระฆังรวมทั้งสิ้น 5 ใบ โดย 4 ใบจะถูกตีเป็นทำนอง ส่วนบิ๊กเบนจะถูกตีบอกชั่วโมงตามตัวเลขที่เข็มสั้นชี้บนหน้าปัดนาฬิกา ทว่าคนส่วนใหญ่กลับใช้ชื่อบิ๊กเบนเรียกตัวหอทั้งหมด
บางทีมักเรียกหอนาฬิกานี้ว่า หอเซนต์สตีเฟน (St Stephen's Tower) หรือหอบิกเบน (Tower of Big Ben) ซึ่งที่จริงแล้วชื่อหอเซนต์สตีเฟนคือชื่อของหอในพระราชวังอีกหอหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นทางเข้าไปอภิปรายในสภา ในเวลาต่อมา รัฐสภาอังกฤษได้มีมติให้ตั้งชื่อหอนาฬิกานี้ว่า หอเอลิซาเบธ เมื่อวันที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
ปัจจุบันภายในหอนาฬิกาไม่เปิดให้สาธารณชนเข้าชม เว้นแต่สำหรับผู้ที่อาศัยในประเทศอังกฤษ จะต้องทำเรื่องขอเข้าชมผ่านสมาชิกรัฐสภาอังกฤษประจำท้องถิ่นของตน ถ้าเป็นเด็กต้องมีอายุเกิน 11 ปี จึงจะเข้าชมหอได้ สำหรับชาวต่างประเทศนั้นไม่อนุญาตให้ขึ้นไป ทั้งนี้ผู้ชมต้องเดินบันได 334 ขั้นขึ้นไปเพราะไม่มีลิฟต์
หอเอลิซาเบธมีความสูงทั้งหมด 96.3 เมตร โดยในช่วง 61 เมตรแรก เป็นอาคารก่อด้วยอิฐ บุด้วยหิน ส่วนที่สูงจากนั้นเป็นยอดแหลมทำด้วยเหล็กหล่อ ตัวหอตั้งอยู่บนฐานกว้าง 15 เมตร ยาว 15 เมตร หนา 3 เมตร อยู่ใต้ดินลึก 7 เมตร ตัวหอทั้งหมดหนักโดยประมาณ 8,667 ตัน หน้าปัดนาฬิกาทั้งสี่ด้านอยู่สูงจากพื้น 55 เมตร
เดิมทีหอเอลิซาเบธเอนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 220 มิลลิเมตร แต่ปัจจุบันหอเอลิซาเบธเอนมากขึ้นเนื่องจากการขุดอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินใกล้ย่านเวสต์มินสเตอร์ โดยสังเกตได้ว่าเอียงปีหนึ่งประมาณ 0.9 มิลลิเมตร จนเห็นได้ชัดเจน
ครั้งหนึ่ง หน้าปัดนาฬิกาของหอมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก แต่ปัจจุบันถูกทำลายสถิติโดยหอนาฬิกาอัลเลน-แบรดเลย์ (Allen-Bradley Clock Tower) ที่รัฐวิสคอนซิน สหรัฐอเมริกา ทว่าผู้สร้างหอนาฬิกาอัลเลน-แบร็ดเลย์มิได้จัดให้มีการตีระฆังหรือสายลวดบอกเวลา จึงทำให้หอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ยังคงเป็น นาฬิกาสี่หน้าปัดที่มีการตีบอกเวลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลไกนาฬิกาภายในหอสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2397 แต่ตัวหอเสร็จในเวลา 4 ปีต่อมา
หน้าปัดนาฬิกาถูกออกแบบโดยออกุสตุส พิวจิน (Augustus Pugin) ตัวหน้าปัดทำด้วยโครงเหล็กกว้างและยาว 7 เมตร ประดับด้วยกระจก 576 ชิ้น เข็มสั้นมีความยาว 2.7 เมตร เข็มยาวมีความยาว 4.3 เมตร รอบ ๆ หน้าปัดประดับด้วยลายทองอย่างวิจิตร ใต้หน้าปัดสลักดุนเป็นข้อความภาษาละตินว่า DOMINE SALVAM FAC REGINAM NOSTRAM VICTORIAM PRIMAM ซึ่งแปลว่า "โอ้ พระเจ้าข้า จงประทานความปลอดภัยให้พระนางวิกตอเรียด้วยเถิด"
นาฬิกาเริ่มเดินครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2402 ต่อมาในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพเยอรมันได้ทิ้งระเบิดทำลายรัฐสภาอังกฤษ และทำความเสียหายให้กับหน้าปัดด้านทิศตะวันตกเป็นอย่างมาก
ระฆังที่แขวนไว้ในหอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่ามหาระฆัง (The Great Bell) โดยทำการหล่อครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2399 โดยจอห์น วอร์เนอร์ และบุตร (John Warner & Sons) ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอสต็อกตันออนทีส์ (Stockton-on-Tees) จังหวัดเดอแรม (County Durham) ระฆังที่หล่อในวาระแรกนั้นหนัก 16.3 ตัน ที่ตัวระฆังมีชื่อของเบนจามิน ฮอลล์ (Benjamin Hall) บารอนแห่งลาโนเวอร์จารึกอยู่ ทำให้บางคนคิดว่าชื่อเล่นของเขากลายมาเป็นชื่อระฆังในเวลาต่อมา ถึงกระนั้น บางแห่งกล่าวว่า ชื่อระฆังนี้ตั้งจากชื่อนักมวยรุ่นเฮฟวี่เวตชื่อเบนจามิน เคานต์ (Benjamin Caunt) บางแห่งก็กล่าวว่าระฆังนี้ควรใช้ชื่อว่าวิกตอเรีย แต่ก็หาได้มีข้อยุติที่แน่นอนไม่ เพราะไม่ได้มีการบันทึกไว้ในรายงานการประชุมสภา หรือแฮนซาร์ด (Hansard)
ขณะที่หอนาฬิกายังสร้างไม่เสร็จ มหาระฆังถูกชะลอโดยเลื่อนลากด้วยม้า มาไว้ที่ลานพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ อย่างไรก็ดีครั้นถูกค้อนที่หนักเกินกว่ากำลังระฆังจะทนได้ ระฆังจึงแตกเกินกว่าจะซ่อม จึงให้หล่อใหม่ที่บริษัทระฆังไวต์แชพเพล (Whitechapel Bell Foundry) ทางตะวันออกของกรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2401 ระฆังใบใหม่นี้หนัก 13.76 ตัน สูง 2.2 เมตร และกว้าง 2.6 เมตร ถูกชักขึ้นแขวนในห้องระฆังบริเวณช่องลมของตัวหอ เมื่อปี พ.ศ. 2402 พร้อมด้วยระฆังเล็ก ใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง จึงสำเร็จ ต่อมาในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน มหาระฆังก็ร้าว แต่ก็แก้ไขโดยหมุนระฆังมิให้ส่วนที่ร้าวถูกตี โดยไม่ได้ซ่อมแซมมาจนถึงปัจจุบัน
นอกเหนือจากมหาระฆังแล้ว ยังมีระฆังบริวารอีก 4 ใบ ทั้งหมดหล่อที่บริษัทไวต์แชพเพลเมื่อ พ.ศ.2400 - 2401 ตัวมหาระฆังเองเมื่อถูกตีจะให้เสียงโน้ตมี ส่วนระฆังบริวารจะให้เสียงโน้ตซอลชาร์ป ฟาสูง มี และที ซึ่งทุก ๆ 15 นาที ระฆังบริวารทั้งหมดจะถูกตีเป็นทำนองระฆังแบบเวสต์มินสเตอร์ (หรือเคมบริดจ์) ทำนองระฆังดังกล่าวนี้เป็นที่จับใจและนิยมใช้สำหรับนาฬิกาตั้งในบ้านหรือหอนาฬิกา เสียงของมหาระฆังถูกนำออกอากาศทุกวันผ่านทางสถานีวิทยุบีบีซีช่อง 4 ก่อนข่าวภาคค่ำ (เวลา 18 นาฬิกา) และข่าวเที่ยงคืน ตามเวลาท้องถิ่นประเทศอังกฤษ
มีการสร้างหอนาฬิกานามว่า ลิตเติ้ลเบน สูง 6 เมตร ไว้ใกล้สถานีรถไฟวิกตอเรีย กรุงลอนดอน ลักษณะคล้ายกับหอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์เกือบทุกประการ นอกจากนี้ ยังมีนาฬิกาที่สร้างภายหลัง โดยได้แรงบันดาลใจจากหอนาฬิกานี้ เช่น
นาฬิกาประจำหอนั้นมีชื่อเสียงอย่างมากในด้านความเที่ยงตรง โดยกลไกนาฬิกาถูกออกแบบโดยเอ็ดมุนด์ เบ็กเกตต์ เดนิสัน และจอร์จ แอรี ต่อมาเอ็ดเวิร์ด จอห์น เดนต์ เป็นผู้สร้างกลไกนาฬิกา ถึงกระนั้นเดนต์ต้องถึงแก่กรรมก่อนที่นาฬิกาจะเสร็จ จนต้องให้เฟรเดอริก เดนต์ ผู้บุตรนอกสมรสเป็นผู้สร้างต่อจนสำเร็จ อย่างไรก็ดี กลไกของนาฬิกาถูกสร้างขึ้นก่อนตัวหอเสร็จถึง 4 ปี ทำให้เอ็ดมุนด์ เดนิสัน มีเวลาที่จะทดสอบความแม่นยำ
เดิมที นาฬิกาที่ออกแบบไว้ใช้กลไกขาขัดเฟือง (deadbeat escapement) ซึ่งเป็นกลไกที่อาศัยขาเหล็กสองขา สลับกันไกวชนฟันเฟือง ซึ่งการชนเฟืองบ่อย ๆ นี้เองที่ทำให้ฟันเฟืองสึกหรอง่าย ดังนั้นจึงเปลี่ยนมาใช้กลไกลูกตุ้มชนตัวขัด (gravity displacement) เมื่อลูกตุ้มแกว่งชนตัวขัดหนึ่ง ตัวขัดนั้นจะปล่อยออกและทำให้เฟืองกลหมุนลงไปชั่วขณะ แต่ตัวยึดที่เฟืองกลจะไปขัดกับขาขัดอีกอัน พอลูกตุ้มเด้งกลับก็จะปล่อยขาขัดอีกอันให้เลื่อนที่ ทั้งนี้ เฟืองกลจะต่อเข้ากับลานที่ทำจากรอกคล้องตุ้มน้ำหนัก เมื่อถึงเวลาจะต้องกว้านรอกเป็นระยะ ๆ ลูกตุ้มที่ใช้ในหอนี้ มีความยาวทั้งสิ้น 4 เมตร และหนัก 300 กิโลกรัม ไกวไปกลับใช้เวลา 2 วินาที บนลูกตุ้มจะมีหลักเสียบเหรียญสตางค์ของอังกฤษเพื่อปรับตั้งเวลา หากใส่มาก ตำแหน่งศูนย์กลางมวลจะเลื่อนขึ้นเป็นผลให้ระยะเวลาการแกว่งสั้นลง (ลูกตุ้มไกวเร็วขึ้น) ในทางกลับกันถ้าเอาออก ก็จะได้ระยะเวลาการแกว่งมากขั้น (ลูกตุ้มไกวช้าลง)
กลไกที่เป็นเฟืองของนาฬิกา ประกอบด้วยเฟืองกล เฟืองระฆังบริวาร และเฟืองระฆังใหญ่ทั้งหมดวางอยู่บนโต๊ะรองรับสีเขียวแก่ ที่ขอบโต๊ะจารึกข้อความเป็นสีทองว่า "THIS CLOCK WAS MADE IN THE YEAR OF OUR LORD 1854 BY FREDERICK DENT OF THE STRAND AND THE ROYAL EXCHANGE, CLOCKMAKER TO THE QUEEN, FROM THE DESIGNS OF EDMUND BECKETT DENISON Q.C." แปลเป็นไทยได้ว่า "นาฬิกาเรือนนี้สร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2397 (ค.ศ. 1854) โดยเฟรเดอริก เดนต์ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย โดยออกแบบของเอ็ดมุนด์ เบ็กเกตต์ เดนิสัน"
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึงแม้บริเวณรายรอบจะถูกโจมตีด้วยระเบิดจากนาซีเยอรมัน แต่นาฬิกาก็ยังเดินได้อย่างแม่นยำ ทว่าช่วงวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2505 เกิดหิมะตกหนักมากจนนาฬิกาตีบอกเวลาปีใหม่ช้าไป 10 นาที
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2519 นาฬิกาหยุดทำงานครั้งใหญ่อันเนื่องจากกลไกการตีระฆังเสียหายเพราะโลหะเสื่อมสภาพตามกาลเวลา รัฐบาลจึงได้มีการปรับปรุง และแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ในปีถัดมา ซึ่งในช่วงระหว่างนั้น แทนที่สถานีวิทยุบีบีซีจะได้ออกอากาศเสียงระฆัง กลับต้องใช้สัญญาณเวลาแทน
นาฬิกาหยุดทำงานอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2547 และหยุดอีกครั้งในสามสัปดาห์ให้หลัง หนึ่งปีหลังจากนั้นก็หยุดอีกเป็นเวลา 90 นาที เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2548 โดยคาดว่าสาเหตุเนื่องจากอากาศในกรุงลอนดอนในขณะนั้นร้อนกว่าปกติ คือ 31.8 ?C อีก 5 เดือนถัดมา เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2548 นาฬิกาหยุดทำงานเพื่อซ่อมบำรุง นานถึง 33 ชั่วโมง
เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2549 เวลา 14:00 น. (เวลามาตรฐานประเทศไทย) ตะขอแขวนระฆังเล็กใบหนึ่งสึกหรอจนต้องซ่อมแซมเป็นเวลา 4 สัปดาห์ และเมื่อเวลา 15:00 น. (มาตรฐานประเทศไทย) ของวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 หอนาฬิกาหยุดการตีมหาระฆังเพื่อบอกชั่วโมงเป็นการชั่วคราว (ประมาณ 6 สัปดาห์) เนื่องจากกลไกในระฆังสึกหรอตามกาลเวลาเป็นอย่างมาก โดยบางชิ้นส่วนยังไม่ได้เปลี่ยนเลยตั้งแต่ที่สร้างหอ อนึ่ง นาฬิกาในหอยังคงทำงานต่อไปโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนแทนเครื่องกลของเดิม แผนการดังกล่าวเป็นการเตรียมการฉลองครบรอบ 150 ปี ของหอนาฬิกาพระราชวังเวสต์มินสเตอร์และมหาระฆัง
ต่อมา ครั้นนางมาร์กาเร็ต แทตเชอร์ อดีตนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรถึงแก่อสัญกรรม เจ้าหน้าที่จึงได้จัดให้งดลั่นระฆังบนหอเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556 เพื่อเป็นการไว้อาลัยและเป็นส่วนหนึ่งของรัฐพิธี