สิงโต (อังกฤษ: Lion) จัดอยู่ในไฟลัมสัตว์มีกระดูกสันหลัง ชั้นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม อยู่ในวงศ์ Felidae ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับแมว สิงโตมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera leo มีขนาดลำตัวใหญ่ ขนาดไล่เลี่ยกับเสือโคร่งทั่วไป (P. tigris) ซึ่งเป็นสัตว์ในสกุล Panthera เหมือนกัน จัดเป็นสัตว์ในวงศ์ Felidae ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดรองมาจากเสือโคร่งไซบีเรีย (P. t. altaica) พื้นลำตัวสีน้ำตาล ไม่มีลาย ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนสร้อยคอยาว ขนปลายหางเป็นพู่ ชอบอยู่เป็นฝูงตามทุ่งโล่ง มีน้ำหนักประมาณ 250 กิโลกรัม (550 ปอนด์) ตัวเมียมีขนาดเล็กกว่า มักทำหน้าที่ล่าเหยื่อ มีน้ำหนักประมาณ 180 กิโลกรัม (400 ปอนด์) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกาและประเทศอินเดีย ในป่าธรรมชาติ สิงโตมีอายุขัยประมาณ 10-14 ปี ส่วนสิงโตที่อยู่ในกรงเลี้ยงมีอายุยืนถึง 20 ปี
คำว่า lion คล้ายกับหลายคำในกลุ่มภาษาโรมานซ์ซึ่งกลายมาจากภาษาละติน "leo" และภาษากรีกโบราณ "????" (leon) คำในภาษาฮีบรู "??????" (lavi) ก็อาจเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน สิงโตเป็นหนึ่งสปีชีส์ที่ถูกจัดจำแนกโดยลินเนียสผู้ตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ให้แก่สิงโตว่า Felis leo ซึ่งปรากฏอยู่ในงานของเขาในคริสต์ศตวรรษที่ 18 Systema Naturae องค์ประกอบในการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ Panthera leo มักจะสันนิษฐานว่ามาจากภาษากรีก pan- ("ทั้งหมด") และ ther ("สัตว์ร้าย") แต่ก็อาจจะเป็นศัพทมูลวิทยาพื้นบ้าน แม้ว่าคำนี้จะกลายเป็นภาษาอังกฤษจากภาษาแบบแผน แต่เนื่องจากคล้ายคำ pundarikam "เสือ" ในภาษาสันสกฤตอย่างมาก ซึ่งคำนี้อาจมาจากคำ pandarah "ขาว-เหลือง"
สิงโตเป็นสปีชีส์ในสกุล Panthera และเป็นญาติใกล้ชิดกับสปีชีส์อื่นในสกุลเดียวกันคือ: เสือโคร่ง เสือจากัวร์ และเสือดาว Panthera leo มีวิวัฒนาการในทวีปแอฟริการะหว่าง 1ล้านถึง 800,000 ปีมาแล้ว ก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาคซีกโลกตอนเหนือ สิงโตปรากฏตัวในทวีปยุโรปครั้งแรกเมื่อ 700,000 ปีก่อน ซึ่งมีการค้นพบสิงโตชนิดย่อย Panthera leo fossilis ที่อีแซร์เนีย (Isernia) ในประเทศอิตาลี จากสิงโตชนิดนี้ก็กลายเป็นสิงโตถ้ำ (Panthera leo spelaea) ในภายหลัง ปรากฏตัวขึ้นเมื่อ 300,000 ปีมาแล้ว ระหว่างปลายสมัยไพลสโตซีน สิงโตได้แพร่กระจายสู่อเมริกาเหนือและอเมริกาใต้และวิวัฒนาการเป็นสิงโตอเมริกา (Panthera leo atrox) สิงโตได้สูญหายไปจากตอนเหนือของทวีปยูเรเชียและทวีปอเมริกาในช่วงจุดจบของการเปลี่ยนสภาพโดยธารน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อ 10,000 ปีมาแล้ว ซึ่งอาจเป็นเหตุการณ์การสูญพันธุ์ครั้งที่สองของมหพรรณสัตว์ (megafauna) ในสมัยไพลสโตซีน
สิงโตในปัจจุบัน เดิมมี 12 ชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ จำแนกความแตกต่างจาก แผงคอ ขนาด และการกระจายพันธุ์ เพราะลักษณะเหล่านี้ไม่ได้มีนัยสำคัญและมีความแปรผันในแต่ละตัวสูง ทำให้รูปแบบส่วนมากอาจไม่ใช่ชนิดย่อยที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิงโตในสวนสัตว์ซึ่งไม่ทราบแหล่งที่มานั้นอาจมี "ความโดดเด่น แต่ผิดปกติ" ในลักษณะทางสัณฐานวิทยา ปัจจุบันเหลือเพียง 8 ชนิดย่อยที่ได้รับการยอมรับ แม้ว่าหนึ่งในนั้น (สิงโตแหลมกูดโฮพ ปกติจำแนกเป็น Panthera leo melanochaita) อาจเป็นโมฆะ แม้ว่า 7 ชนิดย่อยที่เหลืออาจดูมาก แต่ความแปรผันของไมโทคอนเดรียในสิงโตแอฟริกาปัจจุบันกลับไม่มากนักซึ่งแสดงว่าสิงโตในตอนใต้ของทะเลทรายซาฮาราทั้งหมดสามารถพิจารณาเป็นชนิดย่อยเดียวกันได้ อาจเป็นเพราะการแยกตัวในสองเครือบรรพบุรุษหลัก หนึ่งในทางตะวันตกของเกรตริฟต์แวลลีย์ และอีกหนึ่งในทางตะวันออก สิงโตจากซาโว (Tsavo) ในทางตะวันออกของประเทศเคนยามีพันธุกรรมใกล้เคียงกับสิงโตในทรานซ์วาล (Transvaal) แอฟริกาใต้มากกว่าสิงโตในเทือกเขาอเบอร์แดร์ (Aberdare) ในทางตะวันตกของประเทศเคนยา ในทางกลับกัน เปอร์ คริสเตียนเซน (Per Christiansen) ทำการวิเคราะห์กะโหลกสิงโต 58 กะโหลกในสามพิพิธภัณฑ์ในยุโรป และพบว่าถ้าใช้สัณฐานวิทยาของกะโหลกสามารถแยกชนิดย่อยได้เป็น krugeri nubica persica และ senegalensis ขณะที่มีการเลื่อมล้ำกันระหว่าง bleyenberghi กับ senegalensis และ krugeri สิงโตเอเชีย persica มีความโดดเด่นอย่างเด่นชัด และสิงโตแหลมกูดโฮพมีลักษณะใกล้ชิดกับสิงโตเอเชียมากกว่าสิงโตแอฟริกา
สิงโตเป็นสัตว์ที่สูงที่สุด (สูงจรดหัวไหล่) ในวงศ์แมวและมีน้ำหนักมากที่สุดเป็นอันดับสองรองจากเสือโคร่ง สิงโตมีกะโหลกศีรษะคล้ายกับเสือโคร่งมาก แม้ว่าบริเวณกระดูกหน้าผากจะยุบลงและแบนราบ กับหลังเบ้าตาสั้นกว่าเล็กน้อย กะโหลกศีรษะของสิงโตมีโพรงจมูกกว้างกว่าเสือโคร่ง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความแปรผันในของกะโหลกศีรษะของสัตว์ทั้งสองชนิด ปกติแล้วจึงมีเพียงโครงสร้างของขากรรไกรล่างเท่านั้นที่เป็นตัวบ่งชี้ที่น่าเชื่อถือได้ว่าเป็นสปีชีส์ใด สีขนของสิงโตจะมีตั้งแต่สีน้ำตาลอมเหลืองจางๆถึงค่อนข้างเหลือง ออกแดง หรือน้ำตาลเข้ม ส่วนท้องมีสีอ่อนกว่าและพู่หางมีสีดำ ลูกสิงโตที่เกิดมาจะมีจุดลายรูปดอกกุหลาบสีน้ำตาลบนลำตัวคล้ายกับเสือดาว แม้ว่าจุดเหล่านี้จะจางหายไปเมื่อสิงโตโตเต็มวัย แต่บ่อยครั้งกลับยังสามารถพบเห็นได้จางๆบนขาและส่วนท้องโดยเฉพาะในสิงโตเพศเมีย
สิงโตเป็นสมาชิกเพียงชนิดเดียวในวงศ์เสือและแมวที่แสดงความแตกต่างระหว่างเพศอย่างชัดเจน และแต่ละเพศก็จะบทบาทพิเศษต่างกันไปในฝูง ในกรณีสิงโตเพศเมีย เป็นนักล่าไม่มีแผงคอหนาเป็นภาระเช่นในเพศผู้ ซึ่งดูเหมือนเป็นอุปสรรคต่อสิงโตเพศผู้ที่จะอำพรางตัวเข้าใกล้เหยื่อและสร้างความร้อนเป็นอย่างมากเมื่อต้องวิ่งไล่ติดตามเหยื่อ สีของแผงคอในสิงโตเพศผู้อยู่ระหว่างสีเหลืองอ่อนถึงดำ ปกติจะเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อสิงโตมีอายุมากขึ้น
น้ำหนักของสิงโตที่โตเต็มที่จะอยู่ระหว่าง 150–250 กก. (330–550 ปอนด์) สำหรับเพศผู้ และ 120–182 กก. (264–400 ปอนด์) สำหรับเพศเมีย โนเวลล์ (Nowell) และแจ็คสัน (Jackson) รายงานว่าน้ำหนักตัวของสิงโตโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 181 กก.สำหรับเพศผู้ และ 126 กก.สำหรับเพศเมีย มีสิงโตเพศผู้ตัวหนึ่งที่ถูกยิงตายใกล้กับภูเขาเคนยามีน้ำหนัก 272 กก. (600 ปอนด์) สิงโตมีแนวโน้มของขนาดตัวที่แปรผันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและบริเวณถิ่นอาศัย ผลการบันทึกน้ำหนักของสิงโตที่กระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง ในกรณีสิงโตในแอฟริกาใต้มีแนวโน้มของน้ำหนักตัวมากกว่าสิงโตในแอฟริกาตะวันออก 5 %
ส่วนศีรษะและลำตัวยาว 170–250 ซม. (5 ฟุต 7 นิ้ว – 8 ฟุต 2 นิ้ว) ในสิงโตเพศผู้ และ 140–175 ซม. (4 ฟุต 7 นิ้ว – 5 ฟุต 9 นิ้ว) ในสิงโตเพศเมีย สูงจรดหัวไหล่ราว 123 ซม. (4 ฟุต) ในเพศผู้ และ 107 ซม. (3 ฟุต 6 นิ้ว) ในเพศเมีย หางยาว 90–105 ซม. (2 ฟุต 11 นิ้ว - 3 ฟุต 5 นิ้ว) ในเพศผู้ และ 70–100 ซม. (2 ฟุต 4 นิ้ว – 3 ฟุต 3 นิ้ว) ในเพศเมีย สิงโตตัวที่ยาวที่สุดเป็นสิงโตเพศผู้แผงคอสีดำที่ถูกยิงตายใกล้กับมุคส์ซู (Mucsso) ทางตอนใต้ของประเทศแองโกลาในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1973 สิงโตที่มีน้ำหนักมากที่สุดที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติคือสิงโตกินคนซึ่งถูกยิงตายในปี ค.ศ. 1936 นอกเมืองเฮกทอร์สพริต (Hectorspruit) ในทางตะวันออกของจังหวัดทรานสวาล (Transvaal) ประเทศแอฟริกาใต้ มีน้ำหนัก 313 กก. (690 ปอนด์) สิงโตในที่เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะมีขนาดใหญ่กว่าสิงโตในธรรมชาติ สิงโตที่หนักที่สุดเท่าที่มีการบันทึกไว้เป็นสิงโตเพศผู้ที่สวนสัตว์โคลเชสเตอร์ (Colchester) ในประเทศอังกฤษ มีชื่อว่าซิมบา (Simba) ในปี ค.ศ. 1970 ซึ่งมีน้ำหนักถึง 375 กก. (826 ปอนด์)
มีลักษณะเด่นชัดมากที่ปรากฏในสิงโตเพศผู้และเพศเมียคือมีขนกระจุกที่ปลายหาง ในสิงโตบางตัว ขนกระจุกจะปกปิด"เงี่ยงกระดูก"หรือ"ปุ่มงอก"ซึ่งยาวประมาณ 5 มม.ซึ่งเกิดจากส่วนสุดท้ายของกระดูกหางรวมตัวกัน สิงโตเป็นสัตว์ตระกูลแมวเพียงชนิดเดียวที่มีขนกระจุกที่ปลายหาง หน้าที่ของขนกระจุกและเงี่ยงกระดูกยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด เมื่อแรกเกิดลูกสิงโตจะไม่มีขนกระจุกนี้ ขนกระจุกจะเริ่มเกิดขึ้นมาเมื่อมีอายุประมาณ 5? เดือน และสังเกตเห็นได้ชัดเจนเมื่ออายุ 7 เดือน
แผงคอของสิงโตเพศผู้ที่โตเต็มวัยเป็นลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของสบีชีส์นี้ ซึ่งไม่พบในสัตว์ในวงศ์เดียวกันชนิดอื่น ส่งผลให้มันแลดูมีขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยในแสดงออกของการข่มขู่ได้ดีเยี่ยมเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโตตัวอื่นและคู่แข่งที่สำคัญในแอฟริกา ไฮยีนาลายจุด การที่มีหรือไม่มีแผงคอ รวมถึงสีและขนาดนั้นเกี่ยวข้องกับเงื่อนไขทางพันธุกรรม การเจริญเติบโต สภาพอากาศ และการสร้างเทสโทสเตอโรน มีหลักทั่วไปว่าขนแผงคอสีเข้มกว่าและใหญ่กว่าคือสิงโตที่มีสุขภาพดีกว่า การเลือกคู่ของนางสิงห์นั้นมักจะเลือกสิงโตเพศผู้ที่มีแผงคอหนาแน่นและมีสีเข้มที่สุด จากการศึกษาในประเทศแทนซาเนียยังแสดงให้เห็นว่าขนแผงคอที่ยาวเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงการประสบความสำเร็จในการต่อสู้ระหว่างสิงโตเพศผู้ด้วยกันอีกด้วย แผงคอที่เข้มดำอาจบ่งบอกถึงช่วงเจริญพันธุ์ที่ยาวนานกว่าและลูกหลานที่มีโอกาสรอดชีวิตสูง แม้ว่าต้องอดอยากในเดือนที่ร้อนที่สุดของปีก็ตาม ในฝูงที่ประกอบไปด้วยสิงโตเพศผู้ 2-3 ตัว มีทางเป็นไปได้ที่นางสิงห์จะจับคู่ผสมพันธุ์กับเพศผู้ที่มีขนแผงคอใหญ่ที่สุด หนักที่สุด
นักวิทยาศาสตร์มีความเชื่อว่าสถานะความแตกต่างในระดับชนิดย่อยสามารถแบ่งแยกได้ทางสัณฐานวิทยา ซึ่งรวมถึง ขนาดของขนแผงคอ รูปร่างทางสัณฐานของสิงโตสามารถระบุบถึงความแตกต่างของชนิดย่อยได้ เช่น สิงโตบาร์บารีและสิงโตแหลมกูดโฮพ อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาระบุบว่าปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อสีและขนาดของขนแผงคอสิงโต เช่น อุณหภูมิในสภาพแวดล้อม เช่น อากาศหนาวเย็นของสวนสัตว์ในยุโรปและอเมริกาเหนืออาจมีผลทำให้ขนแผงคอหนาและหนักขึ้น ดังนั้น แผงคอจึงเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้ในการระบุบถึงชนิดย่อย แต่อย่างไรก็ตาม สิงโตเอเชียเพศผู้มีขนแผงคอบางกว่าสิงโตแอฟริกาโดยเฉลี่ย
มีรายงานถึงสิงโตเพศผู้ที่ไม่ปรากฏขนแผงคอในประเทศเซเนกัลและอุทยานแห่งชาติซาโวตะวันออกในประเทศเคนยา และสิงโตขาวเพศผู้ตัวแรกเริ่มจากทิมบาวัตติ (Timbavati) นั้นก็ไม่มีแผงคอด้วยเช่นกัน ฮอร์โมน เทสโทสเตอโรนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับการเจริญของขนแผงคอ ดังนั้นสิงโตที่ได้รับการทำหมันนั้นบ่อยครั้งที่มีแผงขอเพียงเล็กน้อยหรือไม่มีเลย เนื่องจากไปการนำเอาต่อมบ่งเพศที่เป็นแหล่งสร้างเทสโทสเตอโรนออกไป สิงโตที่ไม่มีขนแผงคออาจพบในประชากรสิงโตที่มีการผสมพันธุ์ในเชื้อสายที่ใกล้ชิด ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะการเจริญพันธุ์ต่ำ
ภาพวาดฝาผนังของสิงโตถ้ำยุโรปได้แสดงถึงสัตว์ที่ไม่มีขนแผงคอหรือมีเพียงเล็กน้อยซึ่งชี้ให้เห็นว่าสิงโตชนิดนี้ไม่มีขนแผงคอ
สิงโตขาวไม่ได้รับการจำแนกออกเป็นชนิดย่อยของสิงโต แต่เป็นลักษณะพิเศษทางภาวะพันธุกรรมที่เรียกว่าภาวะด่าง (leucism) ซึ่งเป็นสาเหตุให้สีซีดลง เป็นภาวะที่พบในเสือโคร่งขาวเช่นเดียวกัน ภาวะนี้คล้ายกับภาวะการมีเม็ดสีมากเกินไป (melanism) เช่นเดียวกับเสือดำ ลักษณะของสิงโตขาวไม่ใช่ภาวะเผือก ยังมีเม็ดสีปกติในตาและหนัง บางครั้งสามารถพบสิงโตขาวทรานเวล (Panthera leo krugeri) ได้ในบริเวณอุทยานแห่งชาติครูเกอร์และเขตสงวนส่วนบุคคลทิมบาวาติ (Timbavati Private Game Reserve) ซึ่งอยู่ใกล้เคียงในทางตะวันออกเฉียงใต้ของแอฟริกา แต่ในสถานที่เลี้ยงกับพบเห็นได้เป็นเรื่องปกติจากการเพาะพันธุ์ด้วยการคัดเลือกอย่างจงใจ โดยทั่วไปแล้วขนของสิงโตจะมีสีครีมซึ่งเกิดจากยีนด้อย มีรายงานว่า มีการเพาะพันธุ์สิงโตขาวในค่ายพักในแอฟริกาใต้เพื่อใช้เป็นเหยื่อสำหรับเกมล่า (canned hunt)
เควิน ริดชาร์ดซัน (Kevin Richardson) ผู้เชี่ยวชาญพฤติกรรมสัตว์ โดยเฉพาะกับเสือและสิงโตในแอฟริกา ปัจจุบันเขาทำงานอยู่ในสถานที่พิเศษที่ชื่อว่าอาณาจักรสิงโตขาวในเมืองบรูเดอร์สทรูม (Broederstroom) ซึ่งห่างจากโจฮันเนสเบิร์ก 50 ไมล์ สถานที่นี้สร้างขึ้นด้วยความช่วยเหลือของร็อดนีย์ ฟูห์ร (Rodney Fuhr) และสร้างสำหรับถ่ายทำภาพยนตร์เรือง White Lion: Home is a Journey ที่แห่งนี้มีสิงโตขาวถึง 39 ตัว ริดชาร์ดซันได้ทำงานอย่างหนักเพื่อป้องกันและรักษาสายพันธุ์สิงโตสีขาวไว้ สถานอนุรักษ์นี้ปัจจุบันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวแต่มีแผนที่จะยกให้เป็นสาธารณสมบัติในเร็วๆ นี้
สิงโตใช้เวลาส่วนมากไปกับการพักผ่อนประมาณ 20 ชั่วโมงต่อวัน แม้ว่าสิงโตจะสามารถกระตือรือร้นได้ทุกช่วงเวลา แต่โดยทั่วไปแล้วมันจะกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวามากที่สุดตอนพลบค่ำกับช่วงเข้าสังคม แต่งขน และขับถ่าย เมื่อต้องล่าเหยื่อสิงโตจะกระตือรือร้นเป็นพักๆ ไปตลอดทั้งคืนจวบจนกระทั่งรุ่งเช้า โดยเฉลี่ยแล้ว สิงโตจะใช้เวลาเดิน 2 ชั่วโมงและกิน 50 นาทีต่อวัน
สิงโตเป็นสัตว์จำพวกแมวที่อยู่เป็นสังคมมากกว่าแมวป่าชนิดอื่นๆ ที่มักอยู่อย่างโดดเดี่ยว สิงโตเป็นสัตว์นักล่าที่มีสังคมสองรูปแบบ รูปแบบแรกเป็นการรวมตัวกันที่เรียกว่า "ฝูง (prides)" ปกติฝูงหนึ่งจะประกอบไปด้วยสิงโตตัวเมียห้าถึงหกตัว ลูกสิงโต และสิงโตตัวผู้หนึ่งถึงสองตัว ซึ่งเป็นคู่ของนางสิงห์ (แม้ว่า จะมีการพบฝูงขนาดใหญ่ที่มีจำนวนสิงโตถึง 30 ตัว) ตัวผู้ในฝูงจะมีไม่เกินสองตัว แต่อาจเพิ่มจำนวนถึง 4 ตัวและลดจำนวนลงเมื่อเวลาผ่านไป ลูกสิงโตตัวผู้จะถูกขับออกจากฝูงเมื่อโตเต็มที่
พฤติกรรมการรวมกลุ่มทางสังคมแบบที่สองเรียกว่า "พวกเร่ร่อน (nomads)" มีขอบเขตการหากินกว้างและย้ายถิ่นฐานเป็นระยะๆ อาจเป็นสิงโตโทนหรือคู่สิงโต คู่สิงโตนั้นบ่อยครั้งเป็นสิงโตตัวผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากฝูงที่มันเกิดฝูงเดียวกัน สิงโตอาจเปลี่ยนวิถีชีวิตจากพวกร่อนเร่อาจจะกลายเป็นผู้อยู่อาศัยในฝูงและอาจเป็นในทางกลับกัน สิงโตตัวผู้จะมีวิถีชีวิตแบบดังกล่าวแต่สิงโตตัวผู้บางตัวจะไม่เคยรวมฝูงเลยตลอดชีวิต สิงโตตัวเมียที่กลายเป็นพวกเร่ร่อนจะเข้าร่วมฝูงใหม่ยากมากเพราะตัวเมียในฝูงใหม่จะพยายามกีดกันไม่ให้ตัวเมียที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเข้าร่วมฝูงของครอบครัว
พื้นที่ที่ฝูงสิงโตอาศัยอยู่เรียกว่า "อาณาเขตของฝูง (pride area)" ขณะที่พวกเร่ร่อนเรียกว่า "ขอบเขต (range)" ตัวผู้ในฝูงมักจะอยู่ในบริเวณชายขอบอาณาเขต ลาดตระเวนไปในอาณาเขตของตน พฤติกรรมทางสังคมที่ปรากฏขึ้นมากกว่าแมวชนิดใดที่พัฒนาขึ้นในนางสิงห์นั้นยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันว่าเพราะเหตุใด ความประสบความสำเร็จในการล่าสัตว์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเหตุผลที่เห็นได้ชัดจากพฤติกรรมทางสังคมดังกล่าว แต่การตรวจสอบยังน้อยเกินไปที่จะยืนยันได้ สมาชิกของฝูงมีแนวโน้มที่จะได้รับบทบาทเดียวกันคือนักล่า แต่อย่างไรก็ตาม บางตัวจะได้รับบทบาทเลี้ยงดูลูก ซึ่งอาจถูกปล่อยทิ้งไว้ตามลำพังเป็นเวลานาน สุขภาพของนักล่าเป็นสิ่งแรกที่สำคัญอยู่รอดของฝูง พวกมันมักเป็นพวกแรกที่ลงมือกินเหยื่อ ณ สถานที่ที่มันล้มเหยื่อได้ ประโยชน์อื่นๆที่ได้รับจากการรวมฝูง ประกอบด้วย การเลือกสรรเชิงเครือญาติ (Kin selection) (แบ่งปันอาหารกับสิงโตที่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดดีกว่าคนแปลกหน้า), ปกป้องลูกสิงโต, ดูแลอาณาเขต, และประกันว่าจะปลอดภัยจากการบาดเจ็บและความหิวในสิงโตรายตัว
นางสิงห์จะทำหน้าที่ล่าเหยื่อเพื่อเป็นอาหารของฝูงเสียส่วนใหญ่ เนื่องด้วยมีขนาดเล็กกว่า รวดเร็วกว่า และกระฉับกระเฉงกว่าตัวผู้ และไม่มีภาระจากขนแผงคอที่มีน้ำหนักมาก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความร้อนสูงเกินไประหว่างกิจกรรม เหล่าตัวเมียจะประสานงานและทำงานร่วมกันเป็นทีมเพื่อย่องตามเหยื่อและล้มเหยื่อจนประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวผู้อยู่ใกล้กับสถานที่ล่า ตัวผู้มีแนวโน้มที่จะเข้าครอบครองเหยื่อที่นางสิงห์ล่าได้ ตัวผู้จะแบ่งปันเหยื่อให้กับลูกสิงโตมากกว่าแบ่งให้กับตัวเมีย แต่เกิดขึ้นน้อยมากที่ตัวผู้จะแบ่งปันเหยื่อที่มันล่าได้เอง เหยื่อขนาดเล็กจะถูกกินในจุดที่ล่าได้ โดยแบ่งปันกันในหมู่นักล่า เมื่อล้มเหยื่อขนาดใหญ่ได้ สิงโตมักจะลากเหยื่อไปกินในอาณาเขตของฝูง แม้จะมีการแบ่งปันเหยื่อขนาดใหญ่ สมาชิกฝูงมักประพฤติตัวก้าวร้าวใส่สมาชิกตัวอื่น และแต่ละตัวจะพยายามกินอาหารให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
สิงโตทั้งสองเพศจะช่วยกันปกป้องฝูงจากผู้บุกรุก โดยมีสิงโตบางตัวเป็นผู้นำในการต่อต้านผู้บุกรุก ขณะที่ตัวอื่นล้าอยู่ข้างหลัง แต่สิงโตมีแนวโน้มที่จะคงบทบาทเฉพาะในฝูง ดังนั้น สิงโตตัวที่ล้าหลังอาจมีหน้าที่อื่นในกลุ่ม สมมติฐานคือมีรางวัลที่เกี่ยวข้องกับการกลายเป็นจ่าฝูงของผู้ที่ขจัดผู้บุกรุกไปได้ และระดับของนางสิงห์ได้จะได้รับจากความรับผิดชอบขับไล่ผู้บุกรุกนั้น สิงโตตัวผู้ในฝูงจะปกป้องความสัมพันธ์ของมันกับฝูงไว้จากสิงโตตัวผู้นอกฝูงที่พยายามเข้าแทนที่ความสัมพันธ์นั้น ตัวเมียถือว่าเป็นหน่วยทางสังคมที่มั่นคงในฝูง และไม่ยินยอมให้ตัวเมียนอกฝูงเข้าร่วมฝูง การเปลี่ยนแปลงของสมาชิกจะเกิดจากการเกิดและตายของนางสิงห์เท่านั้น แม้ว่า ตัวเมียบางตัวจะผละจากฝูงกลายเป็นพวกเร่ร่อน ในทางกลับกัน ตัวผู้ที่ยังเด็กจะออกจากฝูงเมื่อโตเต็มที่ ประมาณอายุ 2–3 ปี
สิงโตกินเนื้อสัตว์เป็นอาหาร มันกินสัตว์ได้แทบทุกชนิด เช่น กระต่าย ไก่ป่า จระเข้ ลิง เม่น กวาง ม้าลาย ควายป่า ละมั่ง เป็นต้น แม้แต่ซากสิงโตด้วยกันเองก็กิน ลูกสิงโตที่อ่อนแอจะถูกกินเพื่อให้ตัวที่แข็งแรงกว่าได้อยู่รอด
ฤดูผสมพันธุ์ไม่แน่นอนมีได้ทุกเวลาตลอดปี ระยะของการเป็นสัดนาน 4-16 วัน ตัวเมียเริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุประมาณ 3 ปี ตัวผู้ประมาณ 4-6 ปี เคยมีรายงานอายุ 2 ปี ก็ผสมพันธุ์ได้ ตั้งท้องนานราว 100 วัน ตกลูกครั้งละ 3-5 ตัว เคยมีรายงานได้ลูกถึง 7 ตัว ลูกอดนมเมื่ออายุ 3-6 เดือน อายุยืนประมาณ 30-60 ปี ลูกตัวที่อ่อนแออาจถูกทิ้งให้ตายหรือถูกกินในหมู่สิงโตด้วยกัน
เมื่อพักผ่อน การขัดเกลาทางสังคมของสิงโตจะเกิดขึ้นผ่านพฤติกรรมต่างๆ และการเคลื่อนไหวของสัตว์ที่แสดงออกมีการพัฒนาเป็นอย่างมาก กริยาท่าทางการสัมผัสที่เป็นปกติสุขและพบได้มากที่สุดคือการถูศีรษะและการเลียเชิงสังคม ซึ่งเปรียบได้กับการดูแลขนให้เรียบร้อยในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การถูศีรษะ ดุนด้วยจมูกเบาๆ ที่หน้าผาก หน้า และลำคอของสิงโตตัวอื่นดูเหมือนจะเป็นรูปแบบของการทักทาย มักพบเห็นได้บ่อยครั้งหลังจากสิงโตแยกจากตัวอื่น หรือหลังการต่อสู้หรือหลังการเผชิญหน้า ตัวผู้มักถูกับตัวผู้ด้วยกันเอง ขณะที่ลูกสิงโตและสิงโตตัวเมียจะถูกับตัวเมีย การเลียเชิงสังคมมักจะเกิดขึ้นหลังการถูศีรษะ โดยทั่วไปแล้วจะเกิดขึ้นควบคู่กัน และตัวที่ได้รับมักแสดงความพอใจออกมาอย่างชัดเจน ศีรษะและลำคอจะเป็นส่วนที่ได้รับการเลียมากที่สุด อาจเป็นผลมาจากการบริการสาธารณะ เพราะสิงโตไม่สามารถเลียพื้นที่เหล่านี้เองได้
ในทวีปแอฟริกา สิงโตสามารถพบได้ในทุ่งหญ้าซาวันนา ที่มีต้นอาเคเชียซึ่งคอยให้ร่มเงาขึ้นกระจัดกระจาย สำหรับถิ่นอาศัยในอินเดียคือพื้นที่ป่าหญ้าแล้งและป่าละเมาะแล้งผลัดใบ ในอดีต การกระจายพันธุ์ของสิงโตอยู่ในส่วนใต้ของทวีปยูเรเชีย ช่วงจากประเทศกรีซถึงประเทศอินเดีย และพื้นที่ทั้งหมดของทวีปแอฟริกา ยกเว้น บริเวณป่าดิบชื้นกลางทวีปและทะเลทรายสะฮารา เฮอรอโดทัสรายงานว่าพบสิงโตได้ทั่วไปในกรีซในช่วงเวลาราว 480 ก่อนคริสต์ศักราช มันโจมตีอูฐบรรทุกหีบห่อของกษัตริย์เปอร์เซีย จักรพรรดิเซอร์ซีสมหาราช ในขบวนตลอดทั้งประเทศ อาริสโตเติลกล่าวว่าพบเห็นสิงโตได้ยากในช่วง 300 ก่อนคริสต์ศักราช ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 100 มันถูกกำจัดจนหมดสิ้น ประชากรสิงโตอินเดียเหลือรอดจนกระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 10 ในคอเคซัส เป็นที่มั่นสุดท้ายในทวีปยุโรป
สิงโตถูกกำจัดหมดสิ้นไปจากปาเลสไตน์ในสมัยกลาง และจากส่วนที่เหลือของทวีปเอเชียหลังจากการมาถึงของอาวุธปืนที่พร้อมใช้งานในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 สิงโตได้สูญพันธุ์ไปจากธรรมชาติในแอฟริกาเหนือและเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 สิงโตหายไปจากประเทศตุรกีและพื้นที่ทางตอนเหนือส่วนใหญ่ของประเทศอินเดีย ขณะที่ มีการพบเห็นสิงโตอินเดียที่ยังมีชีวิตครั้งสุดท้ายในประเทศอิหร่านในปี ค.ศ. 1941 (ระหว่างชีราซและจาห์รอม (Jahrom) จังหวัดฟาร์ส) แม้ว่ามีการพบศพสิงโตตัวเมียบนฝั่งแม่น้ำการูน (Karun river) จังหวัดคูเซสตาน (Kh?zest?n) ในปี ค.ศ. 1944 ต่อมาไม่มีรายงานที่เชื่อถือได้จากประเทศอิหร่านอีก สิงโตอินเดียหลงเหลือแค่เพียงในและรอบป่ากีร์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียเท่านั้น มีสิงโตราว 300 ตัวอาศัยในพื้นที่เขตสงวนพันธุ์สัตว์ป่า 1,412 กม? (545 ไมล์?) ในรัฐคุชราต ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของป่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรเป็นไปอย่างช้าๆ
สิงโตถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจและความแข็งแกร่งมาตั้งแต่โบราณ มนุษย์ในทุกภาษา ทุกวัฒนธรรมล้วนแต่ใช้สิงโตเป็นสัญลักษณ์ในเชิงนี้ทั้งนั้น เช่น ในปรัมปราของศาสนาฮินดู พระนารายณ์เคยอวตารลงมาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงโต ชื่อว่า "นรสิงห์" เพื่อปราบมาร ในวัฒนธรรมไทย เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จออกยังมุขหรือบัญชร จะเรียกว่า "สีหบัญชร" (หมายถึง หน้าต่างสิงโต) และเรียกพระบรมราโชวาทในครั้งนี้ว่า "สีหนาท" (หมายถึง เสียงคำรามของสิงโต) เป็นต้น
ในภาษาบาลีและสันสกฤตมีคำศัพท์เรียกสิงโตในเชิงยกย่องซึ่งเป็นคนที่คนไทยรู้จักกันดี คือ "ราชสีห์" หมายถึงพญาสิงโต หรือราชาแห่งสิงโต ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนานถือว่าดุร้ายและมีพละกำลังมาก
ในประเทศจีน ซึ่งไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมือง แต่ก็รับเอาสิงโตมาจากเปอร์เซีย ก็มีการเชิดสิงโต เป็นการละเล่นประกอบในพิธีมงคลหรือรื่นเริงต่าง ๆ เพราะมีความเชื่อว่า สิงโตเป็นสัตว์ใหญ่ที่สัตว์ต่าง ๆ เกรงขาม จึงมีพลังอำนาจในการขับไล่สิ่งอัปมงคลได้
ในประเทศอังกฤษ ซึ่งอยู่ในภาคพื้นยุโรป ที่ก็ไม่มีสิงโตเป็นสัตว์พื้นเมืองเช่นกัน แต่ก็ใช้สิงโตเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ และสมาคมฟุตบอลอังกฤษก็ใช้สิงโต 3 ตัวเป็นสัญลักษณ์และใช้เป็นสัญลักษณ์ของทีมชาติด้วยเรียกว่า "Three Lions" และกษัตริย์อังกฤษหลายพระองค์ก็ถูกขนานพระราชสมัญญานามเปรียบเทียบกับสิงโตด้วยเช่นกัน เช่น พระเจ้าริชาร์ดที่ 1 มีพระราชสมัญญานามว่า "พระเจ้าริชาร์ด ใจสิงห์" (Richard the Lionheart) เป็นต้น
สำหรับในประเทศไทย สิงโตถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานกระทรวงมหาดไทยและใช้เป็นสัญลักษณ์ของคณะรัฐศาสตร์ของแต่ละมหาวิทยาลัยอีกด้วย โดยมีชื่อเรียกกันไปต่าง ๆ ตามสีของสิงโต เช่น "สิงห์ดำ" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, "สิงห์แดง" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, "สิงห์ทอง" หมายถึง คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นต้น