คัมภีร์ไบเบิล (อังกฤษ: Bible; ฮีบรู: ???????; แอราเมอิก: ???? ?????; กรีก: ???? ?????) (มาจากภาษากรีกโบราณว่า ?????? บิบลิออน แปลว่า หนังสือ) ชาวโปรเตสแตนต์เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ (Holy Bible) เรียกโดยย่อว่า พระคัมภีร์ เป็นหนังสือที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับพระยาห์เวห์ มนุษย์ ความบาป และแผนการของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความพินาศอันเนื่องจากความบาปสู่ชีวิตนิรันดร์ เป็นหนังสือที่บันทึกหลักธรรมคำสอนของศาสนาคริสต์ ซึ่งในบางเล่มมีพื้นฐานมาจากหลักคำสอนของศาสนายูดาห์ของชาวยิว ชาวคริสต์เรียกคัมภีร์ไบเบิลในชื่ออื่น ๆ อีกหลายชื่อเช่น พระวจนะของพระเจ้า (Word of God) หนังสือดี (Good Book) และคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ (Holy Scripture)
คริสตชนทุกคนเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกบททุกข้อนั้นมนุษย์เขียนขึ้นโดยดลใจจากพระเจ้า ประกอบด้วยหนังสือจำนวน 66 หรือ 73 หรือ 78 เล่ม (แล้วแต่นิกาย) ประกอบด้วยภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเดิมถูกเขียนขึ้นก่อนที่พระเยซูคริสต์ประสูติ ทั้งหมดเขียนเป็นภาษาฮีบรู ยกเว้นส่วนที่เป็นคัมภีร์อธิกธรรม (ยอมรับเฉพาะชาวคาทอลิก) ถูกเขียนด้วยภาษากรีกและภาษาอียิปต์ ส่วนพันธสัญญาใหม่ถูกเขียนขึ้นหลังจากพระเยซูเสด็จขึ้นสู่สวรรค์แล้ว โดยบันทึกถึงเรื่องราวของพระเยซูตลอดพระชนม์ชีพ รวมทั้งคำสอน และการประกาศข่าวดีแห่งความรอด การยอมรับการทรมาน และการไถ่บาปของมนุษย์โดยพระเยซู การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ การส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังอัครทูต ประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรกเริ่ม ภายหลังการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูแล้ว การเบียดเบียนคริสตจักรในรูปแบบต่าง ๆ
พระคัมภีร์เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดของเวลาทั้งหมดที่มียอดขายต่อปีประมาณ 100 ล้านเล่มและได้รับอิทธิพลสำคัญในวรรณคดีและประวัติศาสตร์
คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือเล่มเดียว แต่เป็นชุดหนังสือหลายเล่มที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคนและหลายช่วงเวลา แล้วได้รวมกันเป็นสารบบจึงเรียกว่าสารบบของคัมภีร์ (Canon of Scripture) ในปัจจุบันคริสตชนนิกายโรมันคาทอลิกและโปรเตสแตนต์ยึดคัมภีร์ฮีบรูต่างสารบบกัน ทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายมีเนื้อหาไม่เท่ากัน คริสตจักรโรมันคาทอลิกยึดคัมภีร์ฮีบรูสารบบเซปตัวจินต์ที่มีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสตกาล ซึ่งกำหนดให้คัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมมีหนังสือทั้งหมด 46 เล่ม แต่คริสตจักรฝ่ายโปรเตสแตนต์ยึดสารบบตามสภาแจมเนียที่เกิดขึ้นช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 1 ซึ่งกำหนดให้คัมภีร์ฮีบรูประกอบด้วยหนังสือ 39 เล่ม (เพราะตัดคัมภีร์อธิกธรรม 7 เล่ม ออกไป)
คริสต์ศาสนิกชนใช้คัมภีร์ฮีบรูของศาสนายูดาห์รวมเข้าในสารบบคัมภีร์ไบเบิลด้วยโดยเรียกว่าพันธสัญญาเดิม แต่สารบบของคัมภีร์ฮีบรูเสร็จสมบูรณ์เมื่อไรกลับไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด มีปรากฏเป็นหลักฐานครั้งแรกในหนังสือบุตรสิรา ซึ่งเขียนขึ้นราว 130 ปีก่อนคริสตกาล ว่าคัมภีร์ฮีบรูประกอบด้วยธรรมบัญญัติ ผู้เผยพระวจนะ และข้อเขียนอื่น ๆ เมื่อคริสต์ศาสนาเกิดขึ้นแล้วหนังสือในสารบบพันธสัญญาเดิมก็ยังไม่ลงตัว เพราะภายในคริสตจักรเห็นไม่ตรงกันว่าควรรับคัมภีร์อธิกธรรมเข้าในสารบบพันธสัญญาเดิมหรือไม่ จนกระทั่งเกิดสภาสังคายนาแห่งฟลอเรนซ์ในปี ค.ศ. 1442 จึงได้ข้อสรุปในคริสตจักรโรมันคาทอลิกว่าให้รวมคัมภีร์อธิกธรรมเข้าในสารบบด้วย เมื่อเกิดการปฏิรูปศาสนาฝ่ายโปรเตสแตนต์ ชาวโปรเตสแตนต์ได้คัดค้านการรวมคัมภีร์อธิกธรรมในสารบบคัมภีร์ไบเบิล คริสตจักรโรมันคาทอลิกจึงตั้งสภาสังคายนาแห่งเทรนต์ (ค.ศ. 1545-63) และสภามีประกาศยืนยันให้ยอมรับคัมภีร์อธิกธรรมว่าเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ด้วย ผู้ใดไม่ยอมรับให้ผู้นั้นต้องถูกตัดออกจากศาสนจักร ส่วนโปรเตสแตนต์ยังยืนยันไม่รับคัมภีร์อธิกธรรมเพราะยืนยันว่าคริสตจักรโรมันคาทอลิกเพิ่มเติมขี้นมาเอง ซึ่งต่างไปจากเนื้อหาในคัมภีร์ฮีบรูทำให้คัมภีร์ไบเบิลของทั้งสองนิกายต่างสารบบกันมาจนถึงปัจจุบัน
ส่วนสารบบของพันธสัญญาใหม่ก็ได้ข้อสรุปล่าช้าเช่นกัน เพราะหนังสือทุกเล่มในพันธสัญญาใหม่เขียนขึ้นหลังการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู ในระยะแรกเอกสารเหล่านี้ใช้เป็นบทอ่านที่เผยแพร่กันในคริสตจักร บางเอกสารเช่น จดหมายของเปาโลได้รับการยอมรับจากอัครทูตซีโมนเปโตรว่าเป็นเอกสารที่เขียนโดยดลใจจากพระเจ้า หนังสือที่เป็นพระวรสารก็ได้รับการยอมรับตั้งแต่ศาสนาคริสต์ยุคแรก แต่รายชื่อของหนังสือในสารบบพันธสัญญาใหม่ก็ยังไม่ปรากฏชัดเจน แต่ละเล่มยังได้รับการยอมรับไม่พร้อมกัน เช่น พระวรสารทั้ง 4 เล่มและจดหมายของเปาโลได้รับการยอมรับตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 3 และมีการยอมรับหนังสือวิวรณ์ในคริสต์ศตวรรษที่ 3 หนังสือฮีบรูได้รับการยอมรับในคริสต์ศตวรรษที่ 4 นอกจากนี้หนังสือบางเล่มเป็นที่ยอมรับเข้าสารบบพันธสัญญาใหม่โดยคริสตจักรในท้องถิ่นหนึ่งแต่ไม่ได้รับการยอมรับในท้องถิ่นอื่น เช่น จดหมายของนักบุญบารนาบัส หนังสือของเคลเมนต์ เป็นต้น จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 5 คริสตชนทุกกลุ่มจึงมีคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่เป็นสารบบเดียวกัน
พันธสัญญาเดิม (The Old Testament) เป็นชุดหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นก่อนการประสูติของพระเยซู ซึ่งมีเนื้อหาเหมือนกับคัมภีร์ฮีบรู มีจำนวน 39 เล่ม แบ่งเป็นสี่หมวดใหญ่ ดังนี้
หนังสือเอสเธอร์ (บทที่ 10:4 ถึงบทที่ 16:24) และ หนังสือดาเนียล (บทที่ 3:24-90, บทที่ 13, บทที่ 14) บทและข้อพระคัมภีร์ที่เพิ่มขึ้นมาจัดเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์อธิกธรรม มีใช้ในนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์เท่านั้น ซึ่งนิกายโปรเตสแตนต์จะไม่ยอมรับบทและข้อพระคัมภีร์ที่เพิ่มขึ้นมานี้ และจัดเป็นส่วนหนึ่งของคัมภีร์นอกสารบบ จึงทำให้นิกายโปรเตสแตนต์มีหนังสือทั้งหมดจำนวน 39 เล่ม ตามเนื้อหาในคัมภีร์ฮีบรู
คัมภีร์อธิกธรรมทั้ง 7 เล่มนี้ จัดเป็นคัมภีร์สารบบที่สอง มีใช้ในนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายออร์ทอดอกซ์เท่านั้น ซึ่งนิกายโปรเตสแตนต์จะไม่ยอมรับหนังสือ 7 เล่มนี้ จึงได้ตัดออกไปตั้งแต่การปฏิรูปศาสนา และเรียกว่าคัมภีร์นอกสารบบ ทำให้นิกายโรมันคาทอลิกมีหนังสือทั้งหมดจำนวน 46 เล่ม
คัมภีร์อธิกธรรมทั้ง 5 เล่มนี้ จัดเป็นคัมภีร์สารบบที่สอง มีใช้ในนิกายออร์ทอดอกซ์เท่านั้น ซึ่งนิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์จะไม่ยอมรับหนังสือ 5 เล่มนี้ และเรียกว่าคัมภีร์นอกสารบบ จึงทำให้นิกายออร์ทอดอกซ์มีหนังสือทั้งหมดจำนวน 51 เล่ม
พันธสัญญาใหม่ (The New Testament) เป็นชุดหนังสือที่ถูกเขียนขึ้นภายหลังจากการการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระเยซู มีจำนวน 27 เล่ม แบ่งได้เป็นห้าหมวดใหญ่ ดังนี้
คัมภีร์ไบเบิล หรือที่เรียกว่า พระคริสตธรรมคัมภีร์ ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม โดยแบ่งเป็นภาคพันธสัญญาเดิม 39 เล่ม และภาคพันธสัญญาใหม่ 27 เล่ม
การแปลพระคัมภีร์ไทยเริ่มจากนิกายโปรเตสเตนต์ โดยมิชชันนารีคู่แรกที่มาเมืองไทย คือ ดร.คาร์ล กู๊ดสลาฟ และ ศจ.จาค็อบ ทอมลิน จากสมาคมมิชชันแห่งลอนดอน ได้เข้ามาประกาศข่าวประเสริฐเป็น กลุ่มแรก โดยมาถึงเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ.1828
แปลโดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย โดยมีคณะกรรมการคือ ศจ.พอล เอกิน, อจ.เปลื้อง สุทธิคำ, อจ.ทองสุก มังกรพันธ์, อจ.เจริญ สกุลกัน, อจ.เจริญ วิชัย และ อจ.สุข พงศ์น้อย
การแก้ไขยึดพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ KJV (King James Version) เป็นหลัก (พระคัมภีร์ฉบับนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มพยานพระยะโฮวาในปัจจุบัน)
แปลโดย สหสมาคมพระคริสตธรรมสากล และสมาคมพระคริสตธรรมไทย โดยมีคณะกรรมการ 3 ชุด คือ 1.กรรมการยกร่างคำแปล โดยมี อจ.ศรัณย์ ชัยรัตน์, อจ.ดับบลิว ทอมป์สัน, อจ.เฮอร์เบิร์ท เกรทเธอร์ และอจ.ฟรานซิส ซีรี ทำหน้าที่ยกร่างคำแปลใหม่ 2.กรรมการตรวจสอบ ช่วยตรวจสอบสิ่งที่ผู้ยกร่างแก้ไข จำนวน 8 ท่าน 3.กรรมการที่ปรึกษา จะคอยให้การสนับสนุนและชี้แนะแนวทางการแก้ไข จำนวน 25 ท่าน
การแก้ไขพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมใช้พระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ RSV (Revised Standard Version) และ ASV (American Standard Version) เทียบกับสำเนาโบราณภาษาฮีบรู การแก้ไขพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ใช้ RSV (Revised Standard Version) เทียบกับสำเนาโบราณภาษากรีก เป็นหลัก (พระคัมภีร์ฉบับนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มของนิกายโปรเตสแตนต์ในปัจจุบัน และนิกายคาทอลิกร่วมใช้เป็นการชั่วคราว)
แปลโดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย เป็นการแปลโดยใช้หลักการแปลแบบถอดความ คือแปลความหมายของเนื้อหาให้ถูกต้องเป็นหลักโดยไม่จำเป็นต้องรักษาโครงสร้าง หรือรูปประโยคหรือแม้แต่คำตามต้นฉบับ มีผู้ยกร่างคำแปลหลักสองท่านคือ คุณจิตบรรจง พิมพ์รัตน์ และ ดร.โฮวาร์ด แฮตตัน จากคณะมิชชันโอ เอม เอ็ฟ
การแก้ไขยึดพระคัมภีร์ภาษาอักฤษฉบับ GNB (Good News Bible) เป็นหลัก (พระคัมภีร์ฉบับนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มประชาชนทั่วไป)
แปลโดย สมาคมพระคริสตธรรมไทย โดยมีคณะกรรมการ 3 ชุด คือ 1.กรรมการยกร่างคำแปล โดยมี ศจ.โรเบิร์ต คอลลินส์, ศจ.ดร.เสรี หล่อกัณภัย, ดร.วรรณภา เรืองเจริญสุข, อจ.พัชรินทร์ ชัชมนมาศ, อจ.ทองหล่อ วงศ์กำชัย และอจ.ปัญญา โชชัยชาญ ทำหน้าที่ยกร่างคำแปลใหม่ 2.กรรมการตรวจทานโดยนักลีลาภาษา และ 3.กรรมการที่ปรึกษา จะคอยให้การสนับสนุนและชี้แนะแนวทางการแก้ไข
การแก้ไขพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมใช้พระคัมภีร์ภาษาฮีบรูและภาษาอาราเมคเป็นหลักในการแปล การแก้ไขพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ใช้พระคัมภีร์ภาษากรีกอย่างเดียว (พระคัมภีร์ฉบับนี้แปลขึ้นมาใหม่จากการร่วมมือกันระหว่างนิกายคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์)