สาธารณรัฐเทกซัส (อังกฤษ: Republic of Texas) คือรัฐเอกราชในทวีปอเมริกาเหนือที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1836 ถึง 1846 โดยมีชายแดนติดอยู่กับสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก
สาธารณรัฐเทกซัสสถาปนาตนเองเป็นสาธารณรัฐโดยแยกดินแดนออกมาจากเม็กซิโกในเหตุการณ์ปฏิวัติเทกซัส โดยอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่มีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของรัฐเทกซัส รวมไปถึงบางส่วนของรัฐนิวเม็กซิโก, โอคลาโฮมา, แคนซัส, โคโลราโด และไวโอมิงของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน โดยยึดตามสนธิสัญญาวิลาสโกระหว่างสาธารณรัฐเทกซัสที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่กับเม็กซิโก พรมแดนทางตะวันออกกับสหรัฐอเมริกาถูกกำหนดโดยสนธิสัญญาแอดัมส์-โอนิสที่ทำขึ้นระหว่างสหรัฐอเมริกากับสเปนในปี ค.ศ. 1819 ส่วนพรมแดนทางตอนใต้และทางตะวันตกซึ่งติดกับเม็กซิโกนั้นตกเป็นข้อพิพาทระหว่างสองประเทศตลอดระยะเวลาที่สาธารณรัฐดำรงอยู่ โดยเทกซัสใช้สองฝั่งของแม่น้ำรีโอแกรนด์เป็นตัวขีดเส้นแบ่งพรมแดน ในขณะที่เม็กซิโกใช้แม่น้ำนูเอซิสในการปักปันเขตแดน ซึ่งข้อพิพาทดังกล่าวกลายเป็นเหตุชนวนสงครามเม็กซิโก-อเมริกา หลังจากการผนวกเทกซัสเข้ามาเป็นรัฐในสหรัฐอเมริกา
สาธารณรัฐเทกซัสสถาปนาตนเองขึ้นมาจากรัฐโกอาวีลาอีเตคัส (Coahuila y Tejas) ของเม็กซิโกจากเหตุการณ์การปฏิวัติเทกซัส ในขณะนั้นเม็กซิโกกำลังอยู่ในความสับสนอลหม่านขณะที่ผู้นำของประเทศในแต่ละสมัยพยายามที่จะกำหนดรูปแบบการปกครองที่เหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศ ในปี ค.ศ. 1835 เมื่อประธานาธิบดีอันโตนิโอ โลเปซ เด ซานตา อันนา ล้มเลิกรัฐธรรมนูญแห่งปี 1824 ทำให้เขามีอำนาจมหาศาลในการควบคุมรัฐบาล ชาวอาณานิคมในเทกซัสจึงเกิดความกังวลต่อสถานการณ์ดังกล่าวและเริ่มก่อตั้งคณะกรรมการเพื่อการตอบโต้และความปลอดภัย โดยมีคณะกรรมการกลางในแซนฟิลิปดิออสตินเป็นผู้ประสานการทำงาน ขณะที่ในเม็กซิโกชั้นใน ก็มีการต่อต้านนโยบายรวมอำนาจใหม่นี้ ในหลาย ๆ รัฐเช่นกัน การปฏิวัติเทกซัสเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 ตุลาคม ค.ศ. 1835 ในยุทธการกอนซาเลส แม้ว่าเริ่มแรกนั้นชาวเทกซัสจะต่อสู้เพื่อให้กลับมาใช้รัฐธรรมนูญแห่งปี 1824 อีกครั้ง แต่ต่อมาในปี 1836 เป้าหมายของสงครามก็เปลี่ยนไป โดยได้มีการประกาศเอกราชที่การชุมนุมแห่งปี 1836 ในวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1836 และสถานปนาตนเองเป็นสาธารณรัฐเทกซัสอย่างเป็นทางการ
การประชุมรัฐสภาครั้งแรกของสาธารณรัฐเทกซัสเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1836 ที่เมืองโคลัมเบีย (ปัจจุบันคือเวสต์โคลัมเบีย) สตีเฟน เอฟ. ออสติน หรือที่เป็นรู้จักในนามว่า บิดาแห่งเทกซัส ถึงแก่อนิจกรรมในวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1836 หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นเวลาสองเดือนให้กับสาธารณรัฐใหม่
ในปี ค.ศ. 1836 มีเมืองห้าแห่งด้วยกันที่ทำหน้าที่เป็นเมืองหลวงชั่วคราวให้กับเทกซัส ได้แก่เมืองวอชิงตัน-ออน-เดอะ-แบรซัส, แฮร์ริสเบิร์ก, แกลวิสตัน, วิลาสโก และโคลัมเบีย ก่อนที่ประธานาธิบดีแซม ฮิวสตันจะย้ายเมืองหลวงไปที่เมืองฮิวสตันในปี 1837 เมืองหลวงถูกย้ายไปที่เมืองสร้างใหม่ที่ชื่อว่าออสตินในปี 1839 โดยประธานาธิบดีคนต่อมา มิราโบ บี. ลามาร์ ธงชาติผืนแรกของสาธารณรัฐเทกซัสคือ “ธงเบอร์เน็ต” (Burnet Flag) มีลักษณะเป็นธงผืนน้ำเงินที่มีดาวทองอยู่ตรงกลาง ตามมาด้วยการประกาศใช้อย่างเป็นทางการของธงดาวเดียว (Lone Star Flag) ที่ยังเป็นธงประจำรัฐเทกซัสมาจนถึงทุกวันนี้
การเมืองภายในสาธารณรัฐมาจากความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม ได้แก่พรรคชาตินิยม นำโดยลามาร์ ซึ่งต้องการให้สาธารณรัฐเทกซัสดำรงอยู่เป็นรัฐเอกราชต่อไป และสนับสนุนให้มีการขับไล่ชนพื้นเมืองอเมริกันออกจากดินแดน รวมถึงขยายอาณาเขตของเทกซัสไปยังทิศตะวันตกจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะที่ฝั่งตรงข้ามของคนกลุ่มแรก นำโดยฮิวสตัน สนับสนุนให้เทกซัสผนวกดินแดนเข้ากับสหรัฐอเมริกา และอยู่ร่วมกับชนพื้นเมืองอเมริกันอย่างสันติ รัฐสภาเทกซัสในขณะนั้นขัดแย้งกันถึงขนาดที่มีการผ่านมติเพื่ออ้างสิทธิ์ในดินแดนแคลิฟอร์เนียเป็นครั้งที่สอง หลังจากที่ครั้งแรกถูกคัดค้านให้ตกไปโดยอำนาจของประธานาธิบดีฮิวสตัน ด้วยคะแนนเสียงเกินสองในสามจนทำให้อำนาจในการยับยั้งของประธานาธิบดีเป็นโมฆะ จนกระทั่งมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1844 ซึ่งผลการลงคะแนนแสดงให้เห็นว่ากลุ่มคะแนนเสียงแบ่งออกเป็นสองกลุ่มตามภูมิภาคอย่างเห็นได้ชัด โดยภูมิภาคตะวันตกที่เป็นดินแดนใหม่ในเทกซัสสนับสนุนผู้สมัครพรรคชาตินิยม เอ็ดเวิร์ด เบิร์ลสัน ในขณะที่เขตปลูกฝ้าย โดยเฉพาะทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำทรินิตี สนับสนุนแอนสัน โจนส์
เผ่าโคแมนชีเป็นชนเผ่าอเมริกันพื้นเมืองหลักที่ต่อต้านการปกครองของสาธารณรัฐเทกซัส ในปลายทศวรรษที่ 1830 แซม ฮิวสตันได้ทำการเจรจาสงบศึกกับชนเผ่าโคแมนชี แต่เมื่อลามาร์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจากฮิวสตันในปี 1838 เขาก็พลิกนโยบายกลายเป็นการต่อกรกับชนเผ่าอินเดียน และเริ่มสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโคแมนชี ด้วยการรุกรานโคแมนชีเรีย ดินแดนของชาวโคแมนชี ทำให้เผ่าโคแมนชีตอบโต้เทกซัสด้วยการบุกโจมตีในที่ต่าง ๆ หลังจากที่การเจรจาสงบศึกในปี 1840 จบลงด้วยการสังหารหมู่ผู้นำโคแมนชี 34 คนในซานอันโตนีโอ ชาวโคแมนชีก็เปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่ลึกเข้าไปในดินแดนเทกซัส เป็นที่รู้จักในนามว่า การบุกโจมตีครั้งใหญ่แห่งปี 1840 ภายใต้การบังคับบัญชาของพอตซานาควาฮิป (ฉายาบัฟฟาโลฮัมป์ หรือหลังกระบือ) นักรบเผ่าโคแมนชีประมาณ 500-700 นาย บุกผ่านห้วยเขาแห่งแม่น้ำกัวดาลูป ทำการสังหารประชาชนและปล้นสะดมไปตลอดทางจนถึงชายฝั่งของอ่าวเม็กซิโก ที่ซึ่งพวกเขาทำการเผาเมืองวิกตอเรียและลินน์วิลล์ เมื่อฮิวสตันได้เป็นประธานาธิบดีอีกครั้งในปี 1841 ทั้งฝ่ายเทกซัสและโคแมนชีต่างก็หมดกำลังจากสงคราม จึงทำให้เจรจาสงบศึกในที่สุด
แม้ว่าเทกซัสจะเป็นรัฐที่ปกครองตนเอง แต่เม็กซิโกปฏิเสธที่จะยอมรับเทกซัสเป็นรัฐเอกราช ในวันที่ 5 มีนาคม ค.ศ. 1842 กองกำลังเม็กซิโกกว่า 500 นาย นำโดยราฟาเอล บัสเกซ ทำการรุกรานเทกซัสเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการปฏิวัติมา พวกเขาร่นถอยกลับไปยังแม่น้ำรีโอแกรนด์หลังจากเข้ายึดครองแซนแอนโทนีโอเป็นเวลาสั้น ๆ ในเวลาต่อมาทหารเม็กซิโกอีก 1,400 นาย นำโดยนายพลรับจ้างชาวฝรั่งเศส อาดรีย็อง โวล เปิดฉากโจมตีเป็นครั้งที่สองและเข้ายึดเมืองแซนแอนโทนีโอได้อีกครั้งในวันที่ 11 กันยายน ปี 1842 ทหารอาสาสมัครเทกซัสจึงทำการตอบโต้ในยุทธการที่ซาลาโดครีก แต่ต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อทหารเม็กซิโกและชาวเผ่าเชอโรคีที่อาศัยอยู่ในเทกซัสในวันที่ 18 กันยายนในเหตุการณ์ที่เรียกว่า การสังหารหมู่ดอว์สัน แต่ในเวลาต่อมากองทัพเม็กซิโกก็ถอนทัพออกจากเมืองแซนแอนโทนีโอกลับไปยังเม็กซิโก
หนึ่งในผลกระทบที่เกิดจากการรุกรานเทกซัสของเม็กซิโกคือความขัดแย้งที่เพิ่มมากขึ้นระหว่างกลุ่มพรรคการเมือง ซึ่งรวมไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เรียกว่า สงครามจดหมายเหตุเทกซัส โดยเหตุเริ่มมาจากการที่ประธานาธิบดีแซม ฮิวสตันสั่งให้ย้ายจดหมายเหตุออกจากออสตินเพื่อปกป้องคลังจดหมายเหตุแห่งชาติของเทกซัส โดยมีนัยยะเพื่อเริ่มดำเนินการย้ายเมืองหลวงจากออสตินไปยังฮิวสตัน แต่ประชาชนและทหารอาสาสมัครของเมืองออสตินได้ใช้กำลังบังคับให้คลังจดหมายเหตุกลับมาที่ออสตินเหมือนเดิม เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ประธานาธิบดีฮิวสตันถูกตำหนิโดยรัฐสภาเทกซัส และเสริมสร้างความมั่นคงในสถานะความเป็นเมืองหลวงของออสตินจนมาถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ยังมีความวุ่นวายภายในประเทศ โดยเกิดสงครามที่ดินระหว่างเทศมณฑลแฮร์ริสันกับเทศมณฑลเชลบีในภูมิภาคตะวันออกของเทกซัส ซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างเขตที่มีระยะเวลายืนยาวถึง 5 ปี ตั้งแต่ปี 1839 จนถึง 1844 โดยมีผู้เกี่ยวข้องได้แก่เทศมณฑลแนคะโดชิส, แซนออกัสติน และเทศมณฑลอื่น ๆ ทางภาคตะวันออก ในที่สุดนายอำเภอของเทศมณฑลแฮร์ริสัน จอห์น เจ. เคนเนดี กับผู้พิพากษาเขต โจเซฟ ยู. ฟิลด์ส ก็ช่วยยุติข้อพิพาทโดยเข้าร่วมกับฝ่ายรักษากฎหมายบ้านเมือง โดยในความขัดแย้งนี้ ประธานาธิบดีฮิวสตันจำเป็นจะต้องใช้ทหารอาสาสมัครถึง 500 นายเพื่อช่วยในการยุติข้อพิพาท
หลังจากได้รับอิสรภาพ ในเดือนกันยายน ปี 1836 ชาวเทกซัสก็จัดการเลือกตั้งลงคะแนนเพื่อเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสมาชิกเข้าสู่รัฐสภา ประกอบไปด้วยวุฒิสมาชิกจำนวน 14 คนและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 29 คน รัฐธรรมนูญฉบับแรกนั้นอนุญาตให้ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเทกซัสดำรงตำแหน่งแค่สองปีเท่านั้น แต่ต่อมาได้เพิ่มวาระเป็นสามปีให้กับประธานาธิบดีในสมัยต่อๆ มา
การประชุมรัฐสภาสาธารณรัฐเทกซัสครั้งแรกเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคม 1836 ที่เมืองโคลัมเบีย (เวสต์โคลัมเบียในปัจจุบัน) สตีเฟน เอฟ. ออสติน ผู้ได้รับสมญานาม “บิดาแห่งเทกซัส” ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม ค.ศ. 1836 หลังจากดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศให้สาธารณรัฐใหม่ได้เพียงแค่สองเดือน เนื่องจากในช่วงสถาปนารัฐ เกิดสงครามต่อสู้เพื่ออิสรภาพอยู่ จึงมีการกำหนดให้เมืองห้าแห่งมีหน้าที่เป็นเมืองหลวงชั่วคราวของเทกซัสในปี 1836 ได้แก่เมืองวอชิงตัน-ออน-เดอะ-แบรซัส, แฮร์ริสเบิร์ก, แกลวิสตัน, วิลาสโก และโคลัมเบีย ต่อมาได้มีการย้ายเมืองหลวงไปที่ฮิวสตัน ซึ่งเป็นเมืองสร้างใหม่ ในปี 1837 ในปี 1839 เมืองหลวงถูกย้ายอีกครั้งไปยังนิคมเล็กๆ บริเวณชายแดนเลียบแม่น้ำโคลาราโด ที่เรียกว่าวอเตอร์ลู ซึ่งได้มีการผังเมืองใหม่ที่เมืองดังกล่าว และทำการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่เป็นเมืองหลวงชื่อว่าออสติน
ระบบศาลยุติธรรมมาจากการแต่งตั้งโดยรัฐสภา ซึ่งรวมไปถึงศาลฎีกาอันประกอบไปด้วยผู้พิพากษาสูงสุดที่มาจากการแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี กับผู้ช่วยผู้พิพากษาสูงสุดอีกสี่คน ซึ่งมาจากการลงคะแนนของทั้งสภาบนและสภาล่าง โดยมีวาระดำรงตำแหน่งเป็นเวลาสี่ปีและสามารถได้รับการคัดเลือกอีกครั้งได้ ผู้ช่วยผู้พิพากษาสูงสุดแต่ละท่านยังเป็นผู้รับผิดชอบเขตศาลแต่ละแห่งจากสี่แห่ง ฮิวสตันเสนอชื่อเจมส์ คอลลินสเวิร์ธให้เป็นผู้พิพากษาสูงสุดคนแรก ระบบศาลในแต่ละเทศมณฑลประกอบไปด้วยผู้พิพากษาหนึ่งคนและผู้ช่วยผู้พิพากษาอีกสองคน ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของคณะผู้พิพากษาศาลแขวงในเทศมณฑลนั้นๆ นอกจากนี้แต่ละเทศมณฑลยังมีนายอำเภอหนึ่งนาย เจ้าหน้าที่ชันสูตรพลิกศพหนึ่งนาย ผู้พิพากษาศาลแขวง และเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ประจำเทศมณฑลมีวาระการทำงานสองปี รัฐสภาจัดแบ่งเทศมณฑลออกเป็น 23 เขต โดยขอบเขตของแต่ละท้องที่มักจะตรงกับเขตของเทศบาลที่มีอยู่แล้ว
ในปี 1839 เทกซัสกลายเป็นชาติแรกในโลกที่ประกาศใช้ข้อกำหนดการยกเว้นเคหสถาน ซึ่งกำหนดไว้ว่า สถานที่อยู่หลักของประชาชนไม่สามารถถูกยึดโดยเจ้าหนี้ได้
เริ่มแรก ผู้นำของเทกซัสตั้งใจที่จะขยายแนวพรมแดนของประเทศไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก ในสุดท้ายแล้วตัดสินใจที่จะอ้างสิทธิ์พรมแดนที่แม่น้ำริโอแกรนด์ ซึ่งรวมพื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวเม็กซิโกเข้าไปด้วย แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทกซัสไม่เคยมีอำนาจปกครองในดินแดนดังกล่าวเลย นอกจากนี้ ผู้นำเทกซัสยังมีความคิดที่จะสร้างรางรถไฟไปยังอ่าวแคลิฟอร์เนียเพื่อทำการค้ากับชาวอินเดียตะวันออก, ชาวเปรูและชาวชิลี หลังจากที่สงบศึกกับเม็กซิโกแล้ว ขณะที่ทำการเจรจาหาความเป็นไปได้ที่จะผนวกเทกซัสเข้ามาในสหรัฐอเมริกา ในช่วงปลายปี 1836 รัฐบาลเทกซัสได้มอบคำสั่งให้รัฐมนตรีวาร์ตันในวอชิงตันซึ่งระบุไว้ว่า ถ้าประเด็นเรื่องพรมแดนกลายเป็นปัญหา เทกซัสยินยอมที่จะถอยร่นเขตแดนที่อ้างสิทธิ์ไว้กลับมาที่สันปันน้ำระหว่างแม่น้ำนูเอซิสกับแม่น้ำริโอแกรนด์ และไม่อ้างสิทธิ์ปกครองดินแดนนิวเม็กซิโกอีกต่อไป
ในวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1837 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ แอนดรูว์ แจ็คสันได้แต่งตั้งให้อัลซี ลาบอนช์ เป็นอุปทูตประจำสาธารณรัฐเทกซัส ซึ่งถือเป็นการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเทกซัสเป็นสาธารณรัฐที่เป็นเอกราช ประเทศฝรั่งเศสรับรองเทกซัสอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 กันยายน ค.ศ. 1839 โดยแต่งตั้งให้อัลพอนซ์ ดูบัว ดี ซาลินยี ดำรงตำแหน่งเป็นอุปทูต สถานอัครราชทูตฝรั่งเศส (French Legation) ถูกสร้างขึ้นในปี 1841 และในปัจจุบันก็ยังคงตั้งอยู่ในออสตินในฐานะสิ่งก่อสร้างแบบมีโครงสร้างที่เก่าแก่ที่สุดในเมือง ในทางกลับกัน สถานทูตสาธารณรัฐเทกซัสถูกสร้างขึ้นในกรุงปารีส ซึ่งปัจจุบันได้กลายไปเป็นโรงแรมโฮเทลดีวองเดิม ตั้งอยู่ในข้างๆ กับจตุรัสพลาสวองเดิม ในท้องถิ่นการปกครองที่สองของปารีส
สาธารณรัฐเทกซัสยังได้รับการรับรองทางการทูตจากประเทศเบลเยียม, เนเธอร์แลนด์ และสาธารณรัฐยูกาตัง สหราชอาณาจักรไม่รับรองเทกซัสอย่างเป็นทางการเนื่องด้วยสัมพันธไมตรีอันดีที่มีต่อเม็กซิโก แต่ยอมรับสินค้าของเทกซัสเข้าสู่ท่าเรือของบริเตนโดยเป็นไปตามเงื่อนไขที่ตนกำหนด อาคารสถานทูตสาธารณรัฐเทกซัสยังคงตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน โดยตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูพระราชวังเซนต์เจมส์ ปัจจุบันอาคารดังกล่าวได้กลายเป็นที่ตั้งของร้านขายหมวก แต่ยังคงมีป้ายแผ่นเหล็กระบุไว้ว่าเป็นสถานทูตเทกซัส อีกทั้งยังมีภัตตาคารชื่อว่า Texas Embassy (สถานทูตเทกซัส) ตั้งอยู่ใกล้เคียง
ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1845 รัฐสภาสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายที่อนุญาตให้สหรัฐอเมริกาสามารถผนวกสาธารณรัฐเทกซัสเข้าไปเป็นรัฐ ในวันที่ 1 มีนาคม ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอห์น ไทเลอร์ลงนามรับรองกฎหมาย โดยกฎหมายบัญญัติวันผนวกไว้เป็นวันที่ 29 ธันวาคมของปีเดียวกัน เมื่อเห็นว่าสหรัฐฯ กำลังจะดำเนินการผนวกเทกซัสเข้าไปเป็นรัฐ ชาร์ลส เอลเลียตและอัลพอนซ์ ดี ซาลินยี อัครราชทูตแห่งเทกซัสของบริเตนและฝรั่งเศสตามลำดับ จึงถูกรัฐบาลส่งไปยังกรุงเม็กซิโกซิตีเพื่อพบกับรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของเม็กซิโก ทั้งสองประเทศได้ลงนามใน “รัฐบัญญัติทางการทูต” โดยเม็กซิโกเสนอที่จะรับรองเทกซัสเป็นรัฐเอกราช โดยพรมแดนจะถูกกำหนดภายใต้การไกล่เกลี่ยของบริเตนและฝรั่งเศส ประธานาธิบดีเทกซัส แอนสัน โจนส์ยื่นของเสนอของทั้งสหรัฐฯ และเม็กซิโกไปยังการชุมนุมของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกเป็นพิเศษ ณ กรุงออสติน โดยข้อเสนอของสหรัฐฯ ได้รับการสนองรับโดยมีเสียงค้านเพียงหนึ่งเสียง ในขณะที่ข้อเสนอของเม็กซิโกไม่ได้รับการพิจารณาให้ลงคะแนน ตามกฤษฎีกาที่ ปธน. โจนส์ออกมาก่อนหน้านี้ ข้อเสนอที่ได้รับการสนองรับมากที่สุด จึงเข้าสู่กระบวนการลงคะแนนระดับชาติ
ในวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 1845 ผู้ลงคะแนนส่วนมากในเทกซัสเห็นชอบกับข้อเสนอของสหรัฐฯ อีกทั้งยังเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญที่สนับสนุนระบบทาส และสนับสนุนให้ผู้ย้ายถิ่นนำทาสมายังเทกซัสด้วย รัฐธรรมนูญดังกล่าวได้รับการสนองรับโดยรัฐสภาสหรัฐฯ ในเวลาต่อมา ทำให้เทกซัสกลายเป็นรัฐของสหรัฐฯ ในวันเดียวกับที่วันที่มีบังคับใช้กฎหมายผนวกเทกซัส (ซึ่งทำให้เทกซัสมีสถานะเป็นรัฐในทันที โดยไม่ต้องมีสถานะเป็นอาณาเขตมาก่อน) หนึ่งในแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการผนวกขึ้นมาจากการที่รัฐบาลเทกซัสก่อหนี้ไว้มหาศาลซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ตกลงที่จะรับไว้หลังจากที่ผนวกแล้ว โดยหนึ่งในข้อตกลงในข้อตกลงประนีประนอมแห่งปี 1850 ระบุไว้ว่าเพื่อแลกกับการรับรองการจ่ายหนี้จำนวน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทกซัสจะยุติการอ้างสิทธิ์ในดินแดนที่เป็นส่วนหนึ่งของรัฐโคโลราโด, แคนซัส, โอคลาโฮมา, นิวเม็กซิโก และไวโอมิงในปัจจุบัน อันเป็นดินแดนที่เทกซัสไม่เคยควบคุมและเป็นดินแดนที่รัฐบาลกลางยึดมาจากเมกซิโกในช่วงต้นของสงครามเม็กซิโก-อเมริกาโดยมีอำนาจปกครองเหนือดินแดนดังกล่าวโดยตรง
ข้อตกลงของการผนวกเคยเป็นประเด็นให้ถกเถียงกันในด้านเนื้อหาสาระทางประวัติศาสตร์ แต่ในปัจจุบันเหลือเพียงความเชื่อเดียวที่เล่าว่าในข้อตกลงมีบทบัญญัติหนึ่งที่ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเทกซัสมีสิทธิ์ที่จะแบ่งแยกจากสหรัฐฯ แต่ก็มีการถกเถียงกันว่าทุกรัฐล้วนมีสิทธิ์นี้อยู่แล้วโดยนัย แม้ว่าศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกาจะตัดสินคดีระหว่างรัฐเทกซัสกับไวท์ในปี 1869 โดยตัดสินว่าไม่มีรัฐใดมีสิทธิ์ที่จะแบ่งแยกออกจากสหรัฐฯ เพียงฝ่ายเดียว อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงมีบทบัญญัติอยู่สองข้อที่ทำให้เทกซัสมีสิทธิ์แตกต่างจากรัฐอื่น ข้อหนึ่งระบุว่ารัฐเทกซัสมีสิทธิ์เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบที่จะสถาปนารัฐใหม่ขึ้นมาอีกสี่รัฐโดยแบ่งอาณาเขตตามพื้นที่ของเทกซัส (โดยรัฐใหม่ที่อยู่เหนือแนวประนีประนอมมิสซูรีจะมีสถานะเป็นรัฐอิสระ) ข้อตกลงไม่ได้เพิ่มข้อยกเว้นพิเศษที่อยู่นอกเหนือจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญสหรัฐว่าด้วยความเป็นรัฐ สิทธิ์ที่จากสถาปนารัฐใหม่ไม่ได้ถูกสงวนไว้ให้เทกซัสอย่างที่เป็นที่กล่าวกัน ข้อสองระบุว่าเทกซัสไม่ต้องจำนนพื้นที่ให้กับรัฐบาลกลาง แม้ว่าเทกซัสจะจำนนพื้นที่ที่อ้างสิทธิ์ครอบครองแต่ไม่ได้ครอบครองจริงให้กับรัฐบาลกลางก็ตาม แต่พื้นที่ที่เทกซัสมีอาณาเขตอยู่จริงก็ไม่ได้ถูกจำนนให้กับรัฐบาลกลางแต่อย่างใด ดังนั้น พื้นที่ที่รัฐบาลกลางครอบครองในรัฐเทกซัสนั้นถือว่าถูกซื้อมา ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลแห่งรัฐมีสิทธิ์เหนือแหล่งน้ำมันสำรอง ซึ่งในเวลาต่อมาถูกนำมาใช้เพื่อเป็นทุนสนับสนุนระบบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยของรัฐ ผ่านกองทุนมหาวิทยาลัยถาวร นอกจากนี้ รัฐเทกซัสยังควบคุมแหล่งน้ำมันสำรองนอกชายฝั่งเป็นระยะ 3 โยชน์ทะเล (9 ไมล์ทะเล หรือ 16.668 กม.) ต่างจากรัฐอื่นๆ ที่มีสิทธิ์ครอบครองออกจากฝั่งไปแค่ 3 ไมล์ทะเล (5.56 กม.) มีความเชื่อผิดๆ ว่าเทกซัสเป็นรัฐเดียวที่เป็นเอกราชก่อนที่จะมาเป็นรัฐในสหรัฐฯ นี่ไม่ใช่ความจริงเนื่องจากก่อนที่จะรวมกันเป็นสหรัฐฯ อาณานิคมผู้ก่อตั้งทั้ง 13 อาณานิคมต่างก็เคยเป็นรัฐเอกราชมาก่อนที่จะกลายมาเป็นรัฐในสหรัฐฯ ในปี 1778 นอกจากนี้สาธารณรัฐเวอร์มอนต์ก็ถูกสถาปนาเป็นรัฐเอกราชในปี 1777 และมีรัฐบาลเป็นของตนเองเรื่อยมาจนกระทั่งเข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในปี 1791 ส่วนฮาวายก็เคยเป็นรัฐที่มีเอกราชทางการเมืองมาก่อนที่จะเข้าร่วมกับสหรัฐฯ โดยเป็นถิ่นฐานของชนพื้นเมืองมาแต่โบราณ จนกระทั่งสถาปนาเป็นราชอาณาจักร, สาธารณรัฐ และดินแดนของสหรัฐฯ ตามลำดับ ก่อนที่จะได้รับความเป็นรัฐฯ ในปี 1959