เจ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (31 มกราคม พ.ศ. 2481) หรือพระนามเต็มว่า เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ด (Beatrix Wilhelmina Armgard, เสียงอ่านภาษาดัตช์: [?be?ja?tr?ks ???l??l?mina ??rm??rt] ( ฟังเสียง)) หรือเดิมคือ สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์ (ดัตช์: Beatrix der Nederlanden) อดีตสมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ ครองราชสมบัติตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 และทรงสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556
เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์กับเจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ พระราชชนนีของพระองค์ทรงครองราชบัลลังก์ในปีพ.ศ. 2491 เจ้าหญิงได้ทรงเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน เมื่อพระราชมารดาสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้สืบราชบัลลังก์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถ ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนประถมศึกษาทั่วไปที่ประเทศแคนาดา ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง จากนั้นทรงสำเร็จการศึกษาระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่เนเธอร์แลนด์ในช่วงยุคหลังสงคราม ในปีพ.ศ. 2504 พระนางทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยไลเดิน ในปีพ.ศ. 2509 เจ้าหญิงเบียทริกซ์อภิเษกสมรสกับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก นักการทูตชาวเยอรมัน ซึ่งมีพระโอรสร่วมกัน 3 พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์แห่งเนเธอร์แลนด์ (ประสูติ พ.ศ. 2510), เจ้าชายฟริโซแห่งออเรนจ์-นัสเซา (พ.ศ. 2511 - 2556) และเจ้าชายคอนสแตนตินแห่งเนเธอร์แลนด์ (ประสูติ พ.ศ. 2512) เจ้าชายเคลาส์สิ้นพระชนม์ในปีพ.ศ. 2545 ในช่วงที่พระนางสละราชบัลลังก์ พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ในสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์
รัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์เป็นสมัยที่มีการถือครองเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ด้วยการแยกตัวของอารูบาที่ได้กลายเป็นสถานะประเทศองค์ประกอบด้วยตัวเองภายในราชอาณาจักรในปี พ.ศ. 2529 และเช่นเดียวกับเกิดการแยกตัวของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสในปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบการปกครองตนเองแห่งโบแนเรอ ซินต์เอิสตาซียึส และซาบา และประเทศองค์ประกอบอีกสองประเทศคือ กือราเซาและซินต์มาร์เติน
ในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงประกาศว่า พระนางจะทรงสละราชบัลลังก์ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 ในวันโกนิงงินเนอดัค (วันพระราชินีนาถ) โดยทรงสละราชบัลลังก์แก่พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ ทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงแห่งราชบัลลังก์ ทำให้พระองค์ทรงกลายเป็นพระมหากษัตริย์แห่งเนเธอร์แลนด์พระองค์แรกในรอบ 123 ปี
หลังจากทรงสละราชสมบัติแล้ว มีพระนามและพระอิสริยยศเป็น เฮอร์รอยัลไฮนีส เจ้าหญิงเบียทริกซ์แห่งเนเธอแลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิปเปอ-บีสเตอร์เฟลด์ (อังกฤษ: Her Royal Highness Princess Beatrix of the Netherlands, Princess of Orange-Nassau, Princess of Lippe-Biesterfeld)
เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงมีพระนามตั้งแต่แรกประสูติว่า เบียทริกซ์ วิลเฮลมินา อาร์มการ์ดแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงแห่งออเรนจ์-นัสเซา เจ้าหญิงแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ ประสูติในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2481 ที่พระราชวังโซเอสดิจ์คในบาร์น เนเธอร์แลนด์ ทรงเป็นพระราชธิดาพระองค์แรกในเจ้าหญิงยูเลียนาแห่งเนเธอร์แลนด์กับเชื้อสายขุนนางชั้นสูงชาวเยอรมัน เจ้าชายแบร์นฮาร์ดแห่งลิพเพอ-บีสเตอร์เฟลด์ เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้ารับพิธีบัพติศมาในวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2481 ที่มหาวิหารใหญ่ในเดอะเฮก เจ้าหญิงทรงมีพระบืดามารดาอุปถัมภ์ 5 พระองค์ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งเบลเยียม, เจ้าหญิงอลิซ เคาน์เตสแห่งแอธโลน, เจ้าหญิงเอลิซาเบธแห่งวัลเด็คและไพร์มอนต์, ดยุกอดอล์ฟ เฟรเดอริกแห่งเม็คเคลนบวร์ก และเคานท์เตสอัลลีน เดอ ค็อทเซเบอ พระนามกลางของเจ้าหญิงเบียทริกซ์มาจากพระนามของสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินาแห่งเนเธอร์แลนด์ที่ทรงครองราชย์อยู่ในขณะนั้น และพระนามของพระอัยยิกาฝ่ายพระราชบิดาคือ อาร์มการ์ดแห่งเซียร์สตอร์ฟ-ครัมม์
พระองค์ ทรงมีพระขนิษฐาร่วมพระราชบิดาและพระราชมารดา 3 พระองค์คือ เจ้าหญิงไอรีนแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงมาร์เกรียตแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงคริสตินาแห่งเนเธอร์แลนด์ ตามดำลับ
สงครามโลกครั้งที่สองได้มาถึงเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 (ยุทธการที่ฝรั่งเศส) ในวันที่ 13 พฤษภาคม พระราชวงศ์เนเธอร์แลนด์ได้เสด็จลี้ภัยไปยังลอนดอน สหราชอาณาจักร หนึ่งเดือนถัดมา เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้เสด็จไปยังออตตาวา รัฐออนแทรีโอ แคนาดา พร้อมกับเจ้าหญิงยูเลียนา พระราชมารดาและเจ้าหญิงไอรีน พระขนิษฐา ในขณะที่พระราชบิดาของพระนาง เจ้าชายเบิร์นฮาร์ดและสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินา พระอัยยิกายังคงประทับอยู่ที่ลอนดอน พระราชวงศ์ประทับอยู่ที่บ้านสตอร์โนเวย์ (เดิมเป็นบ้านที่พำนักของผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรของแคนาดา) ด้วยกันกับราชองครักษ์และนางพระกำนัล พระราชวงศ์ได้ประทับในช่วงฤดูร้อนที่เลคออฟเบย์ ออนแทรีโอ ซึ่งเป็นกระท่อมหินสี่หลังของรัสอร์ทที่จัดไว้ให้ประทับ ขณะประทับอยู่ที่เกาะบิกวิน รัฐธรรมนูญของเนเธอร์แลนด์ได้ถูกเก็บรักษาไว้ในตู้เหล็กนิรภัยที่ห้องโถงกลมของโรงเตี๊ยมบิกวิน เจ้าหญิงยูเลียนาและพระราชวงศ์ทรงถูกจดจำในฐานะที่ทรง "ลงมาสู่ผืนดิน" ด้วยมิตรไมตรี ความกตัญญูอย่างใหญ่หลวงและการให้ความเคารพอย่างสูงต่อแผ่นดินเกิดและประชาชนของพระองค์ เพื่อแสดงความเคารพนี้ พระนางทรงงดของฟุ่มเฟือยทั้งหมดที่รีสอร์ทได้บริการให้และมีการจ่ายเงินค่าใช้จ่ายจำนวนมากแก่รีสอร์ทที่ใหญ่ที่สุดและหรูหราที่สุดในแคนาดา เพื่อทำให้ทรงรู้สึกถึงความปลอดภัย การทำอาหารและเจ้าพนักงานที่ได้รับคำสั่งส่วนบุคคลในช่วงเวลาอาหาร เมื่อทรงเดินทางมาถึง นักดนตรีของโรงเตี๊ยมบิกวินได้ถูกเรียกมาที่ท่าเรือและทำการแสดงในสาธารณะตลอดจนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โดยมีการบรรเลงเพลง วิลเฮลมัส ด้วย ในหลายปีต่อมารีสอร์ทถูกละเลย แต่กระท่อม "ยูเลียนา" ยังคงได้รับการรักษาอย่างดีและเป็นการเก็บรักษาเพื่อระลึกถึงเจ้าหญิงยูเลียนาและพระราชวงศ์ ด้วยการแสดงความขอบคุณที่ได้ให้การคุ้มครองพระนางและพระราชธิดา เจ้าหญิงยูเลียนาทรงดำเนินการจัดส่งดอกทิวลิปจำนวนมากแก่รัฐบาลแคนาดาในทุกๆฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งถือเป็นหัวใจของเทศกาลทิวลิปแคนาดา
พระขนิษฐาองค์ที่สองของเจ้าหญิงเบียทริกซ์ คือ เจ้าหญิงมาร์เกรียต ประสูติในออตตาวา ปีพ.ศ. 2486 ในระหว่างทรงลี้ภัยอยู่ในแคนาดา เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้าศึกษาในสถานรับเลี้ยงเด็กและโรงเรียนเทศบาลร็อคคลิฟปาร์ค โรงเรียนชั้นประถามศึกษาที่เจ้าหญิงทรงเป็นที่รู้จักในฐานะ "ทริซี่ออเรนจ์" (Trixie Orange)
ในวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 กองทัพเยอรมันในเนเธอร์แลนด์ยอมจำนน พระราชวงศ์ได้เสด็จกลับเนเธอร์แลนด์ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2488 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนประถมศึกษา De Werkplaats ในบิลโทเฟน พระขนิษฐาองค์ที่สาม เจ้าหญิงคริสตินาประสูติในปีพ.ศ. 2490 ในวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2491 พระราชมารดาของพระนาง เจ้าหญิงยูเลียนา ทรงครองราชบัลลังก์สืบต่อจากสมเด็จพระราชินีนาถวิลเฮลมินา ในฐานะ สมเด็จพระราชินีนาถแห่งเนเธอร์แลนด์ และเจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงกลายเป็นทายาทโดยสันนิษฐานแห่งราชบัลลังก์เนเธอร์แลนด์ขณะมีพระชนมายุ 10 พรรษา
ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2493 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงเข้า Incrementum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Baarnsch Lyceum ที่ซึ่งในปีพ.ศ. 2499 เจ้าหญิงทรงผ่านการสอบโรงเรียนของพระนางในสาขาวิชาศิลปะและคลาสสิก
ในปีพ.ศ. 2497 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงทำหน้าที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวในงานแต่งงานของบารอนเนสฟาน รันวีเย็ค กับนายที โบอี
ในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2499 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงมีพระชนมายุ 18 พรรษา นับตั้งแต่วันนั้นภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งเนเธอร์แลนด์ เจ้าหญิงทรงมีสิทธิ์ตามพระราชอำนาจ ในเวลานั้น พระราชมารดาของพระนางทรงแต่งตั้งให้เจ้าหญิงเป็นสมาชิกคณะกรรมการกฤษฎีกาแห่งเนเธอร์แลนด์
ในปีเดียวกันทรงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยไลเดิน ในปีแรกขณะในมหาวิทยาลัย เจ้าหญิงทรงศึกษาสังคมวิทยา นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์การเมืองและกฎหมายรัฐธรรมนูญ ในหลักสูตรการศึกษาของพระนาง เจ้าหญิงทรงเข้าร่วมการฟังบรรยายเกี่ยวกับวัฒนธรรมของซูรินามและเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส กฎบัตรแห่งราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กฎหมายระหว่างประเทศ ประวัติศาสตร์และกฎหมายสหภาพยุโรป
เจ้าหญิงทรงเสด็จเยือนประเทศต่างๆในยุโรปและองค์การระหว่างประเทศในเจนีวา สทราซบูร์ ปารีสและบรัสเซลส์ เจ้าหญิงยังทรงเป็นสมาชิกของ VVSL (สหภาพนักศึกษาสตรีไลเดิน) ที่ตอนนี้ถูกเรียกว่า L.S.V. Minerva หลังจากรวมเข้ากับองค์กร Leidsch Studenten Corps (ซึ่งแต่ก่อนเป็นองค์กรสำหรับผู้ชายเท่านั้น) ในฤดูร้อน พ.ศ. 2502 เจ้าหญิงทรงผ่านการสอบเบื้องต้นด้านกฎหมายและทรงได้รับปริญญาบัตรด้านนิติศาสตร์ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2504
การปรากฏพระองค์ในทางการเมืองของเจ้าหญิงได้เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งอย่างรุนแรง ในปี พ.ศ. 2508 เจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงหมั้นกับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก นักการทูตชาวเยอรมันสังกัดกระทรวงต่างประเทศเยอรมนี การอภิเษกสมรสก่อให้เกิดการชุมนุมประท้วงครั้งใหญ่ในวันอภิเษกสมรสที่กรุงอัมสเตอร์ดัม วันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2509 เจ้าชายเคลาส์ทรงเคยรับราชการในยุวชนฮิตเลอร์และเวร์มัคท์ ดังนั้นจึงเป็นความข้องเกี่ยวระหว่างประชาชนชาวดัตช์กับระบอบนาซีเยอรมัน กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงได้มีข้อความการประท้วงซึ่งเป็นที่จดจำได้แก่ "Claus 'raus!" ("เคลาส์ออกไป!") และ "Mijn fiets terug" ("เอาจักรยานของเราคืนมา"-อ้างถึงการยึดครองเนเธอร์แลนด์ของทหารเยอรมันที่ทำการยึดจักรยานของชาวดัตช์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) ระเบิดควันถูกโยนเข้าใส่รถม้าพระที่นั่งสีทองโดยกลุ่มโปรโว (Provo) ทำให้เกิดการปะทะกับตำรวจอย่างรุนแรงบนท้องถนน แต่เมื่อเวลาผ่านไป เจ้าชายเคลาส์ทรงกลับกลายเป็นหนึ่งในพระราชวงศ์ที่ได้รับความนิยมที่สุดของพระราชวงศ์ดัตช์ และการสิ้นพระชนม์ของเจ้าชายในปีพ.ศ. 2545 ได้มีการไว้อาลัยแด่พระองค์ทั่วประเทศ
ในวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2518 เจ้าหญิงเบียทริกซ์และเจ้าชายเคลาส์ทรงเป็นผู้แทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถ ในพระราชพิธีประกาศเอกราชของซูรินามที่เมืองหลวงแห่งใหม่ ปารามารีโบ
เหตุการณ์การจลาจลที่มีความรุนแรงได้เกิดขึ้นอีกในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 ในระหว่างพิธีขึ้นครองราชย์ (ประมุขของเนเธอร์แลนด์จะไม่มีการ "สวมมงกุฎ") ของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ กลุ่มผู้จับจองแนวคิดสังคมนิยม ใช้โอกาสนี้ประท้วงเกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ของคนจนในเนเธอร์แลนด์และต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อความการประท้วงซึ่งเป็นที่จดจำคือ "Geen woning; geen Kroning" (ไม่มีบ้าน ไม่ต้องครองราชย์) เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงกับตำรวจและกองกำลังรักษาความปลอดภัย เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนให้เห็นในวรรณกรรมร่วมสมัยในงานเขียนของเอ. เอฟ. ทีเอช. ฟาน เดอ ไฮจเดิน
ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระนางเบียทริกซ์ทรงพบปะกับนายกรัฐมนตรีทุกอาทิตย์ พระนางทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติของรัฐสภาและพระราชกฤษฎีกา จนกระทั่งการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญในช่วงปลายรัชสมัยของพระนาง โดยมีการแต่งตั้งข้าราชการซึ่งช่วยในสภาวะการก่อตัวของรัฐบาลใหม่ ในการเปิดสมัยประชุมสภาในเดือนกันยายนทุกปี พระนางทรงมีพระราชดำรัสบนราชบัลลังก์ ซึ่งรัฐบาลจะต้องประกาศแผนประจำปีสมัยประชุม ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระนางทรงดำรงเป็นประธานรัฐสภา และทรงมีบทบาททางพระราชพิธีโดยส่วนใหญ่ และเป็นศูนย์รวมเอกภาพของชาติ พระนางมิทรงใช้พระราชอำนาจตัดสินพระทัยทางด้านนิติบัญญัติและด้านบริหาร
พระนางเบียทริกซ์ทรงเป็นสมาชิกของกลุ่มบิลเดอเบิร์ก เป็นกลุ่มลับที่มีการประชุมประจำปีเท่านั้นโดยผู้ร่วมก่อตั้งคือพระราชบิดาของพระนางซึ่งจะมีการประชุมที่โรงแรมบิลเดอเบิร์กในออสเตอบีค
ในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2508 ได้มีการประกาศพิธีหมั้นระหว่างเจ้าหญิงเบียทริกซ์กับเคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์ก เคลาส์และเจ้าหญิงเบียทริกซ์ทรงพบกันในงานเลี้ยงก่อนการเสกสมรสของเจ้าหญิงทาเทียนาแห่งไซน์-วิตเกนสไตน์-เบอร์เลบูร์กกับมอริตซ์ แลนด์เกรฟแห่งเฮสส์ ในฤดูร้อน ปีพ.ศ. 2507 (ในความเป็นจริงทั้งคู่ทรงพบกันมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งในช่วงก่อนเทศกาลปีใหม่ปีพ.ศ. 2505 ที่บาดดรีบูร์ก ในงานเลี้ยงของเคานท์ ฟอน เอินเฮาเซน-เซียร์สตอร์ฟ ซึ่งเป็นพระญาติห่างๆของทั้งคู่) ด้วยการยินยอมของรัฐสภาในการอภิเษกสมรส เคลาส์ ฟอน อัมส์เบิร์กจึงกลายเป็นพลเมืองชาวดัตช์ และเมื่ออภิเษกสมรสก็กลายเป็นเจ้าชายเคลาส์แห่งเนเธอร์แลนด์ จองคีร์ ฟาน อัมส์เบิร์ก
เจ้าหญิงเบียทริกซ์อภิเษกสมรสกับเคลาส์ในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2509 ทั้งรัฐพิธีและพิธีทางศาสนา เจ้าหญิงทรงสวมฉลองพระองค์แบบดั้งเดิมด้วยผ้าไหมซาตินแบบดัชเชส ที่ออกแบบโดยแคโรไลน์ บรีก-ฟาร์วิค แห่งไมซอนลีเน็ตต์ ในเดน บอร์ชและมงกุฎไข่มุกเวือร์เทมแบร์ก
เพื่อนเจ้าสาวที่อาวุโสได้แก่ เจ้าหญิงคริสตินาแห่งเนเธอร์แลนด์ พระขนิษฐาองค์สุดท้องของพระนางเอง รวมทั้งเจ้าหญิงคริสตินาแห่งสวีเดน, เลดี้เอลิซาเบธ แอนสัน, โจแอนนา โรเอล, ยูเจนี ลอดอน และน้องสาวของเจ้าบ่าวคือ คริสตินา ฟอน อัมส์เบิร์ก เพื่อนเจ้าสาวที่อ่อนอาวุโสกว่าได้แก่ แด็ฟเน สจ๊วต คลาร์ก และแคโรลิน อัลทิง ฟอน เกอเซา และเด็กๆเพื่อนเจ้าบ่าวได้แก่ โจอาคิม เจนเคล และมาร์คัส ฟอน เอินเฮาเซน-เซียร์สตอร์ฟ
ทั้งสองพระองค์ได้เสด็จไปยังพระราชพิธีด้วยรถม้าพระที่นั่งสีทอง พระราชพิธีได้ดำเนินการโดยนายกเทศมนตรีแห่งอัมสเตอร์ดัม กิลส์เบิร์ต ฟาน ฮอล ที่ศาลาว่าการอัมสเตอร์ดัม พิธีรับพรสมรสถูกจัดขึ้นที่เวสเตอร์เคิร์ก ดำเนินการโดยสาธุคุณ เฮนดริก ยาน คาเตอร์ และรับการเทศนาโดยสาธุคุณ โยฮันเนส เฮนดริก ซิลเลวิส สมิต
ทั้งสองพระองค์ประทับที่ปราสาทดราเกนสไตน์ในลาเกวูร์สเชด้วยกันกับพระราชโอรสจนกระทั่งพระนางเบียทริกซ์ทรงครองราชบัลลังก์ ในปีพ.ศ. 2524 ทั้งสองพระองค์ได้ย้ายไปที่พระราชวังฮุส เทน บอส์ชในเฮก
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2523 (ค.ศ. 1980) สมเด็จพระราชินีนาถยูเลียนา พระราชมารดา สละราชสมบัติ เจ้าหญิงเบียทริกซ์ได้ทรงสืบราชบัลลังก์เป็น สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์
ในการประชุมที่ยาวนาน สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงลงพระปรมาภิไธยในกฎหมายทุกฉบับก่อนที่จะถูกบังคับใช้ ในฐานะสมเด็จพระราชินีนาถ พระราชกรณียกิจหลักของพระนางคือการเป็นตัวแทนของราชอาณาจักรในต่างประเทศและเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเอกภาพในประเทศ พระนางเสด็จออกรับเอกอัครราชทูตต่างประเทศและพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเหรียญตราต่างๆ พระนางยังทรงตอบรับคำเชิญในการเสด็จเปิดนิทรรศการ การเข้าร่วมงานเฉลิมฉลอง การเปิดสะพาน เป็นต้น พระนางเบียทริกซ์ทรงถูกยกพระราชดำรัสมาเผยแพร่ต่อสื่อน้อยมากนับตั้งแต่การบริการข้อมูลสาธารณะภาครัฐได้ตั้งเงื่อนไขเกี่ยวกับสัมภาษณ์ว่า พระราชดำรัสของพระนางจะไม่ถูกอ้างขึ้นมา นโยบายนี้ถูกใช้ไม่นานหลังจากพิธีขึ้นครองราชย์ของพระนาง โดยมีรายงานว่าเพื่อปกป้องพระนางจากภาวะยุ่งยากทางการเมืองที่อาจเกิดขึ้นโดย "ไม่คาดคิด" แต่นโยบายนี้ก็ไม่ได้นำไปใช้กับพระราชโอรสของพระนาง เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์
ตลอดรัชสมัยของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีดัตช์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรงแต่งตั้ง informateur ซึ่งเป็นบุคคลที่เป็นผู้นำการเจรจาต่อรองที่ในที่สุดแล้วนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาล อย่างไรก็ตามได้มีการเปลี่ยนแปลงในปีพ.ศ. 2555 และพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดในสภาจะทำการแต่งตั้ง "scout" ซึ่งจะเป็นผู้แต่งตั้ง "informateur" อีกทีหนึ่ง
ในวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2529 อารูบาได้แยกตัวออกจากเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสและได้กลายเป็นสถานะประเทศองค์ประกอบด้วยตัวเองภายในราชอาณาจักร
ในวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2545 พระสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถ เจ้าชายเคลาส์ได้สิ้นพระชนม์ หลังจากทรงประชวรเป็นระยะเวลานาน อีกหนึ่งปีครึ่งต่อมา พระราชมารดาของพระนางได้เสด็จสวรรคตจากภาวะสมองเสื่อม ในขณะที่พระราชบิดาของพระนางได้สิ้นพระชนม์ด้วยโรคมะเร็งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2547
ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยไลเดิน ซึ่งเป็นเกียรติแก่สมเด็จพระราชินีนาถโดยปกติแล้วทรงปฏิเสธที่จะรับ การมีพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถได้สะท้อนภาพของสถาบันพระมหากษัตริย์และทรงครองราชสมบัติมาเป็นเวลา 25 ปี พระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถได้มีการออกอากาศทั่วประเทศ
ในวันที่ 29 และ 30 เมษายน พ.ศ. 2548 สมเด็จพระราชินีนาถทรงประกอบพระราชพิธีรัชดาภิเษก พระนางทรงประทานสัมภาษณ์ในรายการโทรทัศน์ดัตช์ และมีการจัดการแสดงคอนเสิร์ตที่จตุรัสดัมในกรุงอัมสเตอร์ดัม และมีการจัดงานเฉลิมฉลองที่เดอะเฮก ซึ่งเป็นที่ทำการรัฐบาลของประเทศ
ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เกิดการแยกตัวของเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส ซึ่งเป็นการสร้างรูปแบบการปกครองตนเองแห่งโบแนเรอ, ซินต์เอิสตาซียึสและซาบา และประเทศองค์ประกอบอีกสองประเทศคือ กือราเซาและซินต์มาร์เติน มีพิธียุบเนเธอร์แลนด์แอนทิลลีสจัดขึ้นที่กรุงวิลเลมสตัด ซึ่งเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งออเรนจ์ในขณะนั้นคือ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์และเจ้าหญิงแม็กซิมา พระชายา เสด็จแทนพระองค์สมเด็จพระราชินีนาถในการพิธี
ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2552 สมเด็จพระราชินีนาถและพระราชวงศ์ดัตช์ถูกโจมตีด้วยการใช้รถพุ่งเข้าชนโดยชายชาวดัตช์ ชื่อ คาร์สท์ เท็ทส์ เท็ทท์ได้ขับรถเข้าพุ่งเข้าไปในขบวนเสด็จที่อาเพลโดร์น โดยเฉียดรถบัสพระที่นั่งของสมเด็จพระราชินี มีประชาชนห้าคนเสียชีวิตทันทีและผู้บาดเจ็บสองคนและรวมทั้งผู้ก่อเหตุได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา ผู้บาดเจ็บถูกชนได้รับบาดเจ็บสาหัส หนึ่งสัปดาห์หลังจากการโจมตีผู้บาดเจ็บอีกคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง พระราชวงศ์ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่สมเด็จพระราชินีนาถและพระราชวงศ์ทรงทอดพระเนตรเห็นการพุ่งเข้าชนในระยะใกล้ ภายในไม่กี่ชั่วโมง สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงออกอากาศในรายการโทรทัศน์ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เกิดขึ้นบ่อย ทรงแสดงความตกพระทัยและความเสียพระทัยของพระนาง จากการรายงานของตำรวจได้รายงานว่าเป้าหมายของผู้ก่อเหตุคือพระราชวงศ์โดยมีการวางแผนมาก่อน
ในประกาศที่แพร่ภาพทางสื่อประจำชาติเมื่อวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ทรงประกาศว่าพระองค์จะสละราชสมบัติในวันที่ 30 เมษายน (วันพระราชินีนาถ) ซึ่งเป็นวันที่พระองค์ทรงครองราชสมบัติครบ 33 ปีพอดี พระองค์ตรัสว่า ถึงเวลาแล้วที่จะ "ฝากความรับผิดชอบของประเทศไว้ในมือของคนรุ่นใหม่" รัชทายาทของพระองค์ คือ เจ้าชายวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ พระราชโอรสองค์โต พระองค์จะเป็นพระมหากษัตริย์เนเธอร์แลนด์พระองค์ที่สามติดต่อกันที่สละราชสมบัติ ตามพระอัยยิกาและพระราชชนนี หลังการแพร่สัญญาณดังกล่าว นายกรัฐมนตรี มาร์ค รูทท์ ได้มีถ้อยแถลงตามมา โดยกล่าวถึงสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์ว่า "นับแต่พิธีราชาภิเษกของพระองค์ใน พ.ศ. 2523 พระองค์ทรงมอบหัวใจและวิญญาณให้แก่สังคมดัตช์"
การสละราชสมบัติของสมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์และพิธีราชาภิเษกเจ้าชายแห่งออเรนจ์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่จะมีขึ้นในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556 สมเด็จพระราชินีนาถจะทรงลงพระปรมาภิไธยในตราสารสละราชสมบัติที่พระราชวัง กรุงอัมสเตอร์ดัม ส่วนพิธีราชาภิเษกพระมหากษัตริย์องค์ใหม่จะมีขึ้นที่โบสถ์ใหม่ (Nieuwe Kerk) ในกรุงอัมสเตอร์ดัม
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/สมเด็จพระราชินีนาถเบียทริกซ์แห่งเนเธอร์แลนด์