สนธิสัญญานาวิกวอชิงตัน (อังกฤษ: Washington Naval Treaty) หรือ สนธิสัญญาห้ามหาอำนาจ (อังกฤษ: Five-Power Treaty) เป็นสนธิสัญญาจำกัดอาวุธยุทธภัณฑ์ทางนาวีของประเทศที่ร่วมลงนาม 5 ประเทศ คือ สหรัฐอเมริกา, จักรวรรดิบริติช, จักรวรรดิญี่ปุ่น, สาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 3, และราชอาณาจักรอิตาลี โดยเป็นผลพวงจากการประชุมนาวิกวอชิงตันที่วอชิงตัน ดี.ซี. ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1921 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922 และผู้แทนได้ลงนามในสนธิสัญญาในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1922 นับเป็นความพยายามที่จะป้องกันไม่ให้เกิดแข่งขันทางอาวุธของกองทัพเรือที่เริ่มขึ้นหลังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เงื่อนไขของสนธิสัญญาปรับปรุงมาจากสัญญานาวิกลอนดอนในปี ค.ศ. 1930 และ สัญญานาวิกลอนดอน 2 ในปี ค.ศ. 1936 ภายหลังญี่ปุ่นได้ประกาศว่าจะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสนธิสัญญา และอิตาลีได้แอบละเมิดสัญญา เยอรมนีไม่ได้รับผลกระทบจากสนธิสัญญานาวิกวอชิงตันและสนธิสัญญานาวิกลอนดอน การสร้างเรือของเยอรมนีถูกจำกัดอยู่ภายใต้สนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเป็นสนธิสัญญาสันติภาพหลังจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ผลพวงจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง จักรวรรดิบริติชมีกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในโลก ตามติดมาด้วยสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นซึ่งทิ้งห่างพอสมควร ทั้งสามชาติได้เริ่มดำเนินโครงการขนาดใหญ่ที่จะสร้างเรือหลวงลำใหม่ (เรือประจัญบานและเรือลาดตระเวนประจัญบาน) ในปี ค.ศ. 1920 สหรัฐอเมริกาได้ประกาศจุดมุ่งหมายที่จะสร้างกองทัพเรือไม่เป็น"สองรองใคร"และได้วางกระดูกงูเรือประจัญบาน 5 ลำและเรือลาดตระเวนประจัญบาน 4 ลำ ญี่ปุ่นเองก็ได้เริ่มโครงการกองเรือที่ 88 (เรือประจัญบาน 8 ลำและเรือลาดตระเวนประจัญบาน 8 ลำ) ในตอนต้นของปี ค.ศ. 1921 อังกฤษได้สรุปการออกแบบและสั่งสร้างเรือประจัญบานขนาดใหญ่ 4 ลำ (เรือลาดตระเวนประจัญบาน จี3) และแผนสำหรับเรือประจัญบาน 4 ลำ (เรือประจัญบาน เอ็น3) ซึ่งจะตามมา การสร้างเรือหลวงจำนวนมากนี้ได้ก่อให้เกิดความกลัวว่าจะเป็นการแข่งขันทางนาวิกานุภาพครั้งใหม่คล้ายกับการแข่งขันระหว่างอังกฤษ-เยอรมนี เดรดนอต ซึ่งนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
ข้อกำหนดต่างๆได้ยกเว้นเรือที่ใช้อยู่ในปัจจุบันและที่กำลังก่อสร้าง สนธิสัญญาจำกัดระวางขับน้ำรวมของเรือหลวงของแต่ละประเทศที่ลงนามตามตารางด้านขวามือ ข้อเพิ่มเติมคือเรือหนึ่งลำต้องมีระวางขับน้ำไม่เกิน 35,000 ตัน และบรรทุกปืนใหญ่ลำกล้องไม่เกิน 16 นิ้ว (406 มม.)
"ระวางขับน้ำมาตรฐาน" ที่ถูกกำหนดไว้ในสนธิสัญญาจะไม่รวมน้ำมันเชื้อเพลิง (และน้ำสำหรับหม้อน้ำ) เพราะอังกฤษอ้างให้เหตุผลว่ากิจการของอังกฤษที่มีอยู่ทั่วโลกในขณะนั้นทำให้ต้องการน้ำหนักบรรทุกสำหรับเชื้อเพลิงสูงกว่าชาติอื่นและเขาไม่ควรจะถูกเอาเปรียบ
ลักษณะของเรือบรรทุกอากาศยานก็บรรจุอยู่ในสนธิสัญญา มีการกำหนดระวางขับน้ำรวมและกำหนดขนาดสูงสุดของเรือ ให้มีเรือบรรทุกอากาศยาน 2 ลำต่อชาติที่สามารถมีระวางขับน้ำเกิน 27,000 ตันแต่ไม่เกิน 33,000 ตัน ข้อกำหนดนี้สามารถหลบเลี่ยงให้สามารถสร้างเรือลาดตระเวนประจัญบานภายใต้การสร้างที่นำเรือบรรทุกอากาศยานกลับมาใช้ซ้ำและทำให้เกิดเรือ ยูเอสเอส เลกซิงตัน (USS Lexington) และ อะคะกิ (Akagi) ขึ้นมา จำนวนปืนใหญ่ที่บรรทุกในเรือบรรทุกอากาศยานถูกจำกัดอย่างมาก มันจะเป็นการละเมิดสนธิสัญญาถ้านำฝูงบินขนาดเล็กบรรจุในเรือประจัญบานและเรือมันว่าเรือบรรทุกอากาศยาน
สำหรับป้อมปราการและฐานทัพเรือ สหรัฐอเมริกา, จักรวรรดิบริติช และ จักรวรรดิญี่ปุ่น ตกลงจะรักษาสถานะที่เป็นอยู่ของป้อมปราการและฐานทัพเรือคงไว้ ณ เวลาที่ทำการลงนาม การสร้างป้อมปราการและฐานทัพไม่สามารถสร้างเพิ่มเติมได้ และห้ามเสริมสร้างที่มั่นและฐานทัพให้ดีขึ้นไม่ว่าจะในดินแดนหรือพื้นที่ครอบครองที่กำหนด โดยทั่วไปแล้วพื้นครอบครองที่กำหนดจะอนุญาตให้ก่อสร้างบนชายฝั่งทะเลที่สำคัญของประเทศ แต่ไม่ได้อยู่ในดินแดนหมู่เกาะขนาดเล็ก เช่น สหรัฐอเมริกาสามารถสร้างได้ที่รัฐฮาวาย และบนแผ่นดินรัฐอะแลสกา ไม่ใช่บนหมู่เกาะอะลูชัน (Aleutian islands) กองทัพเรือของจักรวรรดิบริติชถูกพิจารณาภายใต้สนธิสัญญาเป็นหนึ่งองค์กรการปกครองก็ปฏิบัติในทำนองเดียวกันและโรงงานของราชนาวีออสเตรเลีย (ซึ่งต้องยกเลิกการสร้างเรือลาดตระเวนประจัญบาน เอชเอ็มเอเอส ออสเตรเลีย) และหมวดกองทัพเรือนิวซีแลนด์สามารถสร้างขึ้นโดยรัฐบาลของตนตามลำดับ แต่ไม่ใช่ฐานทัพของฮ่องกง ญี่ปุ่นสามารถสร้างได้บนแผ่นดินแม่ ไม่ใช่ฟอร์โมซา (ไต้หวัน)
ประเทศสมาชิกที่ลงนามในสนธิสัญญาได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนหรือจัดสร้างเรือได้ภายใต้เงื่อนไขของสนธิสัญญา แต่สร้างหรือการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ต้องมีการแจ้งให้ประทศผู้ลงนามอื่นๆทราบ
ในวันที่ 29 ธันวาคม ค.ศ. 1934 รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้แจ้งให้ทราบอย่างเป็นทางการว่ามีจุดประสงค์ที่จะยุติสนธิสัญญา บทบัญญัติของสนธิสัญญายังคงบังคับใช้จนถึงสิ้น ค.ศ. 1936 และก็ไม่ได้มีการต่ออายุสนธิสัญญา