สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถาน เป็นการสู้รบด้วยอาวุธที่ยืดเยื้อในสาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถานที่ควบคุมโดยสหภาพโซเวียตตั้งแต่ ค.ศ. 1979 ถึง ค.ศ. 1989 สงครามนี้เป็นความขัดแย้งที่สำคัญของสงครามเย็นเนื่องจากมีการสู้รบกันอย่างกว้างขวางระหว่างสหภาพโซเวียต สาธารณรัฐประชาธิปไตยอัฟกานิสถาน และ กลุ่มทหารพันธมิตรที่ต่อต้านมูจาฮิดีนอัฟกานิสถานและนักสู้ต่างชาติที่เป็นพันธมิตรของพวกเขา ในขณะที่มูจาฮิดีนได้รับการสนับสนุนจากประเทศและองค์กรต่าง ๆ การสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากปากีสถาน สหรัฐ (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการไซโคลน) สหราชอาณาจักร จีน อิหร่าน และรัฐอาหรับในอ่าวเปอร์เซีย การมีส่วนร่วมของมหาอำนาจต่างชาติทำให้สงครามนี้เป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐและสหภาพโซเวียต การสู้รบเกิดขึ้นตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษ 1980 ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในชนบทของอัฟกานิสถาน สงครามนี้ส่งผลให้มีชาวอัฟกันเสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคน ในขณะที่อีกหลายล้านคนหนีออกนอกประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย ชาวอัฟกันผู้พลัดถิ่นภายนอกส่วนใหญ่ขอลี้ภัยในปากีสถานและอิหร่าน ประมาณร้อยละ 6.5 ถึงร้อยละ 11.5 ของประชากรอัฟกานิสถานในอดีตจำนวน 13.5 ล้านคน (ตามการสำรวจสำมะโนประชากรใน ค.ศ. 1979) คาดว่าจะถูกสังหารในช่วงความขัดแย้ง สงครามโซเวียต–อัฟกานิสถานก่อให้เกิดการทำลายล้างครั้งใหญ่ทั่วอัฟกานิสถาน และนักวิชาการยังอ้างว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่มีส่วนในการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ซึ่งถือเป็นการยุติสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ สงครามนี้มักเรียกกันว่า "สงครามเวียดนามของสหภาพโซเวียต"
ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1979 เกิดการก่อการกำเริบอย่างรุนแรงในเมืองเฮราต ซึ่งที่ปรึกษาทางทหารโซเวียตจำนวนหนึ่งถูกประหารชีวิต พรรคประชาธิปไตยประชาชนอัฟกานิสถานซึ่งตัดสินใจว่าพวกเขาไม่สามารถปราบปรามการก่อการกำเริบได้ด้วยตนเองจึงได้ขอความช่วยเหลือทางทหารจากสหภาพโซเวียตอย่างเร่งด่วน ใน ค.ศ. 1979 ได้มีการส่งคำร้องมากกว่า 20 คำร้อง อะเลคเซย์ โคซีกิน ประธานสภารัฐมนตรีสหภาพโซเวียต ปฏิเสธที่จะส่งทหารและคำแนะนำในการเรียกร้องให้นูร์ มูฮัมหมัด ทารากี นายกรัฐมนตรีอัฟกานิสถาน ใช้แรงงานอุตสาหกรรมในท้องถิ่นในจังหวัดเฮราต เห็นได้ชัดว่านี่เกิดจากความเชื่อที่ว่าแรงงานเหล่านี้จะเป็นผู้สนับสนุนรัฐบาลโซเวียตอัฟกานิสถาน เรื่องนี้ได้รับการหารือเพิ่มเติมในสหภาพโซเวียตด้วยมุมมองที่หลากหลายทั้งที่ต้องการให้มั่นใจว่าอัฟกานิสถานยังคงเป็นคอมมิวนิสต์ และผู้ที่กังวลว่าสงครามจะทวีความรุนแรงขึ้น ในที่สุดก็สามารถประนีประนอมกันได้ในการส่งความช่วยเหลือทางทหาร แต่ไม่ใช่การส่งกองกำลัง
สงครามเริ่มขึ้นหลังจากที่โซเวียตภายใต้การบังคับบัญชาของเลโอนิด เบรจเนฟ เปิดฉากการรุกรานอัฟกานิสถานเพื่อสนับสนุนรัฐบาลท้องถิ่นที่นิยมโซเวียตซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นในระหว่างปฏิบัติการพายุ-333 ประชาคมระหว่างประเทศได้กำหนดมาตรการคว่ำบาตรและห้ามส่งออกสินค้ามากมายต่อสหภาพโซเวียตเพื่อตอบโต้ กองทหารโซเวียตยึดครองเมืองใหญ่ ๆ ของอัฟกานิสถานและเส้นทางคมนาคมหลักทั้งหมด ในขณะที่มูจาฮิดีนเปิดฉากสงครามกองโจรเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ในพื้นที่ร้อยละ 80 ของประเทศที่ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของโซเวียตโดยปราศจากการตอบโต้ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ชนบทที่เป็นภูเขาสูงชันเกือบทั้งหมด นอกเหนือจากการวางทุ่นระเบิดนับล้านลูกทั่วอัฟกานิสถานแล้ว โซเวียตยังใช้กำลังทางอากาศจัดการอย่างรุนแรงกับทั้งกลุ่มต่อต้านชาวอัฟกานิสถานและพลเรือน โดยทำลายหมู่บ้านเพื่อปฏิเสธความปลอดภัยของมูจาฮิดีน ทำลายคูชลประทานที่สำคัญ และกลยุทธ์ผลาญภพอื่น ๆ
ในตอนแรก รัฐบาลโซเวียตวางแผนที่จะรักษาความปลอดภัยของเมืองและเครือข่ายถนนของอัฟกานิสถานอย่างรวดเร็ว สร้างเสถียรภาพให้กับรัฐบาลของพรรคประชาธิปไตยประชาชนและถอนกำลังทหารทั้งหมดออกภายในระยะเวลาหกเดือนถึงหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านอย่างดุเดือดจากกองโจรอัฟกานิสถาน และประสบปัญหาในการปฏิบัติงานอย่างมากบนภูมิประเทศที่เป็นภูเขาที่ขรุขระ ในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษ 1980 กองทัพโซเวียตในอัฟกานิสถานได้เพิ่มกำลังทหารเป็นประมาณ 115,000 นาย และการต่อสู้ทั่วประเทศก็เข้มข้นขึ้น ความซับซ้อนของความพยายามทำสงครามค่อย ๆ ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายสูงแก่สหภาพโซเวียต เนื่องจากทรัพยากรทางการทหาร เศรษฐกิจ และการเมืองเริ่มหมดลงมากขึ้น ภายในกลาง ต.ศ. 1987 มีฮาอิล กอร์บาชอฟ ผู้นำโซเวียตสายปฏิรูปประกาศว่ากองทัพโซเวียตจะเริ่มถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานโดยสมบูรณ์ คลื่นสุดท้ายของการถอนกำลังเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1988 และในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1989 กองกำลังทหารโซเวียตชุดสุดท้ายที่ยึดครองอัฟกานิสถานได้ข้ามไปยังสาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตอุซเบก ด้วยการสนับสนุนจากภายนอกอย่างต่อเนื่องจากสหภาพโซเวียต รัฐบาลงพรรคประชาธิปไตยประชาชนจึงได้ดำเนินการทำสงครามเดี่ยวกับกลุ่มมูจาฮิดีนและความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่สงครามกลางเมืองอัฟกานิสถาน อย่างไรก็ตาม หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1991 การสนับสนุนสาธารณรัฐอัฟกานิสถานทั้งหมดก็ถูกถอนออก ส่งผลให้สาธารณรัฐโดดเดี่ยวของพรรคมาตุภูมิล่มสลายโดยฝีมือของมูจาฮิดีนใน ค.ศ. 1992 และสงครามกลางเมืองอัฟกานิสถานก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
ในอัฟกานิสถาน สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามโซเวียตในอัฟกานิสถาน (ปาทาน: په افغانستان کې شوروی جګړه, อักษรโรมัน: Pah Afghanistan ke Shuravi Jagera; ดารี: جنگ شوروی در افغانستان, อักษรโรมัน: Jang-e Shuravi dar Afghanestan) ในรัสเซียและประเทศอื่น ๆ ในอดีตสหภาพโซเวียต สงครามนี้มักเรียกว่า สงครามอัฟกานิสถาน (รัสเซีย: Афганская война; ยูเครน: Війна в Афганістані; เบลารุส: Афганская вайна; อุซเบก: Afgʻon urushi) บางครั้งมีการเรียกชื่อสงครามสั้นๆ ว่า “อัฟกัน” (รัสเซีย: Афган) โดยเข้าใจว่าหมายถึงสงคราม (เช่นเดียวกับที่สงครามเวียดนามมักเรียกว่า “เวียดนาม” หรือเพียงแค่ “'นาม” ในสหรัฐ) สงครามยังรู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า สงครามญิฮาดอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยอาสาสมัครที่ไม่ใช่ชาวอัฟกานิสถานของมูจาฮิดีน
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/สงครามในอัฟกานิสถานของโซเวียต