สงครามกลางเมืองซีเรีย เป็นการขัดกันด้วยอาวุธหลายฝ่ายที่กำลังดำเนินอยู่ในประเทศซีเรีย โดยมีต่างชาติเข้าแทรกแซง ความไม่สงบเริ่มในต้นฤดูใบไม้ผลิปี 2554 ในบริบทการประท้วงอาหรับสปริง โดยมีการประท้วงทั่วประเทศต่อรัฐบาลประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัด ซึ่งกำลังของเขาสนองโดยปราบปรามอย่างรุนแรง ความขัดแย้งค่อย ๆ กลายจากการประท้วงของประชาชนเป็นการกบฏมีอาวุธหลังการล้อมทางทหารหลายเดือน รายงานสหประชาชาติฉบับหนึ่งในปลายปี 2555 อธิบายความขัดแย้งว่า "มีสภาพนิยมนิกาย (sectarian) อย่างเปิดเผย" ระหว่างกำลังรัฐบาล ทหารอาสาสมัครซึ่งส่วนใหญ่เป็นอะละวี (Alawite) และกลุ่มชีอะฮ์อื่น ต่อสู้กับกลุ่มกบฏซึ่งมีซุนนีครอบงำเป็นส่วนใหญ่ แม้ทั้งฝ่ายค้านและกำลังรัฐบาลต่างปฏิเสธ
ทีแรกรัฐบาลซีเรียอาศัยกองทัพเป็นหลัก แต่ตั้งแต่ปี 2557 หน่วยป้องกันท้องถิ่นซึ่งประกอบจากอาสาสมัครที่เรียก กำลังป้องกันชาติ (National Defence Force) ได้มีบทบาทมากขึ้น ค่อย ๆ กลายเป็นกำลังทหารหลักของรัฐซีเรีย รัฐบาลซีเรียได้รับความช่วยเหลือทางเทคนิค การเงิน การทหารและการเมืองจากประเทศรัสเซีย อิหร่านและอิรักมาตั้งแต่ต้น ในปี 2556 ฮิซบุลลอฮ์ที่อิหร่านสนับสนุนเข้าร่วมสงครามโดยสนับสนุนกองทัพซีเรีย เนื่องจากการเกี่ยวพันของต่งชาติ ความขัดแย้งนี้จึงถูกเรียกว่าเป็น สงครามตัวแทน ระหว่างชาติซุนนีและชีอะฮ์ภมิภาค ที่สำคัญที่สุดคือความขัดแย้งตัวแทนระหว่างซาอุดีอาระเบียและอิหร่าน ในเดือนกันยายน 2558 รัสเซีย อิรัก อิหร่านและซีเรียตั้งห้องปฏิบัติการร่วม (ศูนย์สารสนเทศ) ในกรุงแบกแดดเพื่อประสานงานกิจกรรมของพวกตนในประเทศซีเรีย วันที่ 30 กันยายน 2558 ประเทศรัสเซียเริ่มการทัพทางอากาศของตนโดยเข้ากับฝ่ายและด้วยคำขอของรัฐบาลซีเรีย จึงเกิดสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ซึ่งนักวิจารณ์บางส่วนบรรยายสถานการณ์ว่าเป็น "ก่อนสงครามโลกโดยมีประเทศเกือบโหลพัวพันในสองความขัดแย้งที่ทับซ้อนกัน"
ฝ่ายค้านมีอาวุธประกอบด้วยหลายกลุ่มซึ่งก่อตั้งในห้วงความขัดแย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กองทัพซีเรียเสรี ซึ่งเป็นผู้แรกที่หยิบอาวุธในปี 2554 และแนวร่วมอิสลามซึ่งก่อตั้งในปี 2556 ฝ่ายทางตะวันออก รัฐอิสลามอิรักและเลแวนต์ (ISIL) กลุ่มนักรบญิฮัดซึ่งกำเนิดในประเทศอิรัก ได้ชัยชนะทางทหารอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศซีเรียและอิรัก จนลงเอยด้วยพิพาทกับกบฏอื่น ในเดือนกรกฎาคม 2557 ISIL ควบคุมหนึ่งในสามของดินแดนซีเรียและการผลิตน้ำมันและแก๊สส่วนใหญ่ ฉะนั้นจึงสถาปนาตนเป็นกำลังฝ่ายค้านหลัก
ในเดือนกรกฎาคม 2556 รัฐบาลซีเรียควบคุมดินแดนประมาณ 30–40% ของประเทศ และ 60% ของประชากรซีเรีย ในเดือนสิงหาคม 2558 มีรายงานว่าดินแดนที่กองทัพบกซีเรียควบคุมอย่างสมบูรณ์หดเหลือ 29,797 ตารางกิโลเมตร คิดเป็น 16% ของประเทศ แต่ยังมีประชากรส่วนใหญ่เพราะการย้ายถิ่นภายใน
องค์การระหว่างประเทศกล่าวหารัฐบาลซีเรีย ISIL และกำลังฝ่ายค้านอื่นว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง โดยเกิดการสังหารหมู่หลายครั้ง ความขัดแย้งนี้ทำให้เกิดการย้ายประชากรอย่างสำคัญ ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2558 สหประชาชาติประกาศเริ่มการเจรจาสันติภาพซีเรียเจนีวาที่สหประชาชาติเป็นสื่อกลางอย่างเป็นทางการ โดยสู้รบยังดำเนินไปโดยไม่มีทีท่าลดลง
ความขัดแย้งเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2554 ด้วยการเดินขบวนของประชาชนที่ลามไปทั่วประเทศเมื่อถึงเดือนเมษายน ปีนั้น การเดินขบวนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประท้วงในตะวันออกกลาง ที่เรียกว่า อาหรับสปริง ผู้ประท้วงเรียกร้องให้ประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัดลาออก รวมทั้งให้พรรคบะอัษยุติการปกครองประเทศนานกว่าสี่ทศวรรษ ทั้งนี้ ตระกูลอัลอะซัดดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีซีเรียมาตั้งแต่ปี 2514
ในเดือนเมษายน 2554 มีการวางกำลังกองทัพซีเรียเพื่อปราบปรามการก่อการกำเริบ และทหารได้รับคำสั่งให้เปิดฉากยิงใส่ผู้ชุมนุม หลังการล้อมนานหลายเดือน การประท้วงได้พัฒนาเป็นการกบฏด้วยอาวุธ กำลังฝ่ายค้าน ซึ่งประกอบด้วยทหารแปรพักตร์และอาสาสมัครพลเรือนเป็นหลัก กลายมาติดอาวุธและจัดระเบียบเพิ่มขึ้น เมื่อมีการรวมเข้าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ขึ้น อย่างไรก็ดี ฝ่ายกบฏยังมีรอยร้าว โดยปราศจากผู้นำจัดตั้ง รัฐบาลซีเรียพรรณนาการก่อการกำเริบครั้งนี้ว่าเป็นฝีมือของ "กลุ่มก่อการร้ายติดอาวุธและทหารรับจ้างต่างด้าว" ความขัดแย้งนี้ไม่มีแนวรบชัดเจน โดยปะทะกันเกิดขึ้นในหลายเมืองและนครทั่วประเทศ
ก่อนการก่อการกำเริบและสงครามอุบัติ มีประมาณการว่ากองทัพซีเรียมีกำลังพลประจำการ 325,000 นาย ซึ่งในจำนวนนี้ 220,000 นายเป็น "ทหารบก" และที่เหลืออยู่ในกองทัพเรือ กองทัพอากาศและกำลังป้องกันภัยทางอากาศ นอกจากนี้ยังมีกองหนุนอีกประมาณ 280,000–300,000 นาย ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2554 มีรายงานการแปรพักตร์ของทหาร ในเดือนกรกฎาคม 2555 การสังเกตการณ์สิทธิมนุษยชนซีเรียประมาณว่าทหารหลายหมื่นนายแปรพักตร์ และข้าราชการตุรกีคนหนึ่งประมาณว่ามีทหารแปรพัตกร์ 60,000 นาย
รัฐบาลซีเรียได้รับการสนับสนุนระดับสูงในบางพื้นที่ในการควบคุม ตามผลสำรวจความเห็นที่จัดโดย บริติชโออาร์บีอินเตอร์เนชันแนล โดยประชากร 73% ในพื้นที่ที่รัฐบาลควบคุมสนับสนุนความพยายามของรัฐบาล
กำลังป้องกันชาติซีเรียตั้งจากทหารอาสาสมัครนิยมรัฐบาล พวกเขาได้รับเงินเดือนและยุทธภัณฑ์จากรัฐบาล มีจำนวนประมาณ 100,000 นาย กำลังนี้ปฏิบัติหน้าที่ในบทบาททหารราบ โดยสู้รบกับกบฏโดยตรงภาคพื้นและดำเนินปฏิบัติการต่อต้านการก่อความไม่สงบโดยประสานงานกับกองทัพบก ซึ่งจัดการสนับสนุนทางลอจิสติกส์และปืนใหญ่ กำลังนี้มีหน่วยหญิง 500 นายที่เรียก "นางสิงห์แห่งกำลังป้องกันชาติ" (Lionesses of National Defense) ซึ่งควบคุมจุดตรวจ ทหารกำลังป้องกันชาติได้รับอนุญาตให้ฉกชิงทรัพย์จากสมรภูมิและขายของนั้นเอาเงินในที่ที่ถูกตั้งฉายาว่า "ตลาดซุนนี"
แชบบีฮา (Shabiha) เป็นทหารอาสาสมัครนิยมรัฐบาลอย่างไม่เป็นการที่ส่วนใหญ่มาจากชนกลุ่มน้อยอะลาวีของอะซัด นับแต่การก่อการกำเริบ รัฐบาลซีเรียใช้แชบบีฮาสลายการชุมนุมและบังคับใช้กฎหมายในย่านที่กระด้างกระเดื่อง เมื่อการประท้วงบานปลายเป็นการขัดกันด้วยอาวุธ ฝ่ายค้านเริ่มใช้คำว่า แชบบีฮา อธิบายผู้สนับสนุนอะซัดพลเรือนใด ๆ ที่มีส่วนในการปราบปรามการก่อการกำเริบของรัฐบาล ฝายค้านกล่าวหาแชบบีฮาว่าใช้ความรุนแรงเกินต่อผู้ประท้วงต่อต้านรัฐบาลและผู้สนับสนุนฝ่ายค้าน ตลอดจนการฉกชิงทรัพย์และการทำลาย ในเดือนธันวาคม 2555 สหรัฐกำหนดให้แชบบีฮาเป็นองค์การก่อการร้าย
มีรายงานว่าบัสเซล อัลอะซัด (Bassel al-Assad) สถาปนาแชบบีฮาในคริสต์ทศวรรษ 1980 เพื่อให้รัฐบาลใช้ในยามวิกฤต มีการอธิบายว่าแชบบีฮาเป็น "กำลังกึ่งทหารอะลาวีที่ฉาวโฉ่ ซึ่งถูกกล่าวหาว่ากระทำตนเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นทางการให้ระบอบอะซัด" "มือปืนภักดีต่ออะซัด" และจากข้อมูลของศูนย์อาหรับเพื่อการวิจัยและนโยบายศึกษาในประเทศกาตาร์ ว่า "กึ่งแก๊งอาชญากรที่ประกอบด้วยอัทธพาลที่ใกล้ชิดกับระบอบ" แม้ภาพลักษณ์ของกลุ่มเป็นทหารอาสาสมัครอะลาวี มีรายงานว่าแชบบีฮาที่ปฏิบัติหน้าที่ในอะเลปโปบางส่วนเป็นซุนนี ในปี 2555 รัฐบาลอะซํดสถาปนาทหารอาสาสมัครอย่างเป็นทางการที่จัดระเบียบมากกว่า เรียก ญัยช์อัลชาบี (Jaysh al-Sha'bi) ซึ่งมีการกล่าวหาว่าได้รับความช่วยเหลือจากอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์ เช่นเดียวกับแชบบีฮา สมาชิกญัยช์อัลชาบีส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัครอะลาวีและชีอะฮ์
ทหารอาสาสมัครคริสต์ศาสนิกชนในประเทศซีเรีย (และประเทศอิรักตอนเหนือ) ส่วนใหญ่ประกอบขึ้นจากชาติพันธุ์อัสซีเรีย ซีเรีย-อารัม (Syriac-Aramean) และอาร์มีเนีย รายงานของซีบีเอสหนึ่งแสดงว่าคริสต์ศาสนิกชนในประเทศซีเรียส่วนใหญ่นิยมรัฐบาลโดยอ้างว่าพวกเขาเชื่อว่าความอยู่รอดของพวกเขาเชื่อมโยงกับรัฐบาลโลกวิสัยส่วนใหญ่ ทหารอาสาสมัครคริสต์ศาสนิกชนต่อสู้อยู่ข้างรัฐบาลซีเรีย จากข้อมูลของเวิล์ดทริบูน.คอม (WorldTribune.com) "แหล่งข่าวอ้างว่าคริสต์ศาสนิกชนหลายพันคนเข้าร่วมกองทัพบกซีเรียตลอดจนทหารอาสาสมัครของระบอบ เช่น กำลังป้องกันชาติและคณะกรรมการประชาชน พวกเขาว่า NDF ช่วยจัดระเบียบหน่วยคริสต์ศาสนิกชนเพื่อคุ้มครองชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอัสซีเรียทางตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรีย หน่วยหลักเรียกว่า การต้านทานคริสเตียน (Christian Resistance) กล่าวกันว่าปฏิบัติการในจังหวัดฮอมส์" ชาวอัสซีเรียที่พูดภาษาอารัมตะวันออกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของซีเรียและภาคเหนือของอิรักตั้งทหารอาสาสมัครต่าง ๆ (รวมกำลังป้องกันอัสซีเรีย) เพื่อปกป้องเมืองโบราณ หมู่บ้านและฟาร์มของพวกตนจากผู้ก่อการร้าย ISIS พวกเขามักต่อสู้เคียงคู่กับกลุ่มชาวเคิร์ดและอาร์มีเนีย แต่ไม่เสมอไป
เลขาธิการ ฮัสซัน นัสรัลละฮ์ (Hassan Nasrallah) ปฏิเสธการต่อสู้ในนามรัฐบาลซีเรียในคำกล่าวเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2555 ทว่า จากข้อมูลของหนังสือพิมพ์ เดลีสตาร์ ของเลบานอน นัสรัลละฮ์กล่าวในสุนทรพจน์เดียวกันว่า นักรบฮิซบุลลอฮ์เสียชีวิตในประเทศซีเรียโดยปฏิบัติ "หน้าที่ญิฮัด" ของพวกเขา ในปี 2555 นักรบฮิซบุลลอฮ์ข้ามพรมแดนจากเลบานอนและยึดแปดหมู่บ้านในเขตอัลกุสซัยร (Al-Qusayr) ของซีเรีย อดีตเลขาธิการฮิซบุลลอฮ์ ชิคซุบฮีอัลตุฟัยลี (Subhi al-Tufayli) ยืนยันในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ว่า ฮิซบุลลอฮ์กำลังต่อสู้ให้กองทัพบกซีเรีย
วันที่ 25 พฤษภาคม 2556 นัสรัลละฮ์ประกาศว่าฮิซบุลลอฮ์กำลังต่อสู้ในซีเรียต่อพวกหัวรุนแรงอิสลามและ "สาบานว่ากลุ่มของเขาจะไม่ยอมให้นักรบซีเรียควบคุมดินแดนที่ต่อแดนกับเลบานอน" เขายืนยันว่าฮิซบุลลอฮ์กำลังต่อสู้ในเมืองกุซัยรซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์ในซีเรียอยู่ข้างเดียวกับกำลังของอะซัด ในการปราศรัยทางโทรทัศน์ เขากล่าวว่า "หากซีเรียตกอยู่ในมืออเมริกา อิสราเอลและตักฟีรี ประชาชนในภูมิภาคของเราจะเข้าสู่ยุคมืด" จากข้อมูลของนักวิเคราะห์อิสระ เมื่อต้นปี 2557 มีนักรบฮิซบุลลอฮ์เสียชีวิตในความขัดแย้งซีเรียแล้วประมาณ 500 คน
ประเทศอิหร่านยังปฏิเสธว่ามีกำลังรบในประเทศซีเรียอย่างเป็นทางการ โดยว่าให้คำแนะนำทางทหารแก่กำลังของอะซัดในการต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้าย
กระนั้น นับแต่เริ่มสงครามกลางเมือง ประเทศอิหร่านแสดงการสนับสนุนรัฐบาลซีเรียและจัดหาการสนับสนุนทางการเงิน เทคนิคและทางทหาร ซึ่งรวมการฝึกและกำลังรบบ้าง ประเทศอิหร่านและซีเรียเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด ประเทศอิหร่านมองว่าการอยู่รอดของรัฐบาลซีเรียสำคัญต่อผลประโยชน์ในภูมิภาคของตน ผู้นำสูงสุดอิหร่าน อาลี คาเมนี มีรายงานว่าออกปากสนับสนุนรัฐบาลซีเรียในเดือนกันยายน 2554 ในระยะก่อการกำเริบของพลเมืองของสงครามกลางเมืองซีเรีย อิหร่านจัดหาการสนับสนุนทางเทคนิคแก่ซีเรียโดยยึดขีดความสามารถของอิหร่านที่พัฒนาระหว่างการประท้วงการเลือกตั้งอิหร่านปี 2552–2553 เมื่อการก่อการกำเริบยกระดับเป็นสงครามกลางเมือง มีรายงานการสนับสนุนทางทหารของอิหร่านมากขึ้น และการฝึกกำลังป้องกันชาติของอิหร่านทั้งในซีเรียและอิหร่าน
ราชการความมั่นคงและข่าวกรองของอิหร่านให้คำปรึกษาและช่วยเหลือกองทัพซีเรียเพื่อธำรงการครองอำนาจของบัชชาร อัลอะซัด ความพยายามเหล่านี้ได้แก่ การฝึก การสนับสนุนทางเทคนิค กำลังรบ ในเดือนธันวาคม 2556 เชื่อว่าประเทศอิหร่านมีผู้ปฏิบัติงานในประเทศซีเรียประมาณ 10,000 นาย แต่ตามข้อมูลของจูบิน กูดาร์ซี (Jubin Goodarzi) ผู้ช่วยศาสตราจารย์และนักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเว็บสเตอร์ ประเทศอิหร่านช่วยเหลือระบอบอะซัดด้วยหน่วยและกำลังพลที่วางกำลังจำนวนจำกัด "มากสุดหลายร้อยคน ... และมิใช่หลายพันอย่างที่แหล่งข่าวฝ่ายค้านอ้าง" นักรบฮิซบุลลอฮ์ที่รัฐบาลอิหร่านหนุนหลังมีบทบาทรบโดยตรงตั้งแต่ปี 2555 ในฤดูร้อนปี 2556 ประเทศอิหร่านและฮิซบุลลอฮ์จัดหาการสนับสนุนในสมรภูมิที่สำคัญแก่อะซํดโดยทำให้รัฐบาลรุกคืบต่อฝ่ายค้าน ในปี 2557 ในเวลาเดียวกับการเจรจาสันติภาพที่เจนีวา 2 ประเทศอิหร่านสนับสนุนประธานาธิบดีอะซัดอย่างเปิดเผย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและเศรษฐกิจซีเรียประกาศว่า "รัฐบาลอิหร่านให้เงินกว่า 15,000 ล้านดอลลาร์" แก่ประเทศซีเรีย ผู้บัญชาการกำลังกุดส์ (Quds Force) ของเหล่าพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่าน (Iranian Revolutionary Guards Corps) กะเซม ซุลัยมะนี (Qasem Suleimani) รับผิดชอบตำแหน่งรัฐมนตรีที่ประจำตามกระทรวงความมั่นคงและดูแลการติดอาวุธและฝึกนักรบชีอะฮ์นิยมรัฐบาลหลายพันคน
ทหารเหล่าพิทักษ์การปฏิวัติอิหร่านอย่างน้อย 121 นาย ซึ่งรวมผู้บัญชาการหลายนาย ถูกฆ่าในสงครามกลางเมืองซีเรียนับแต่เกิดสงคราม
วันที่ 30 กันยายน 2558 สภาสหพันธรัฐของรัสเซียอนุมัติคำขอของประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน อย่างเป็นเอกฉันท์อนุญาตให้ใช้กองทัพรัสเซียในซีเรีย หลังจากคำขอความช่วยเหลือทางทหารต่อกลุ่มกบฏและญิฮัดอย่างเป็นทางการของรัฐบาลซีเรีย วันเดียวกัน พลเอก เซอร์เกย์ คูราเลนโกของรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้แทนของรัสเซีย ณ ศูนย์สารสนเทศร่วมในกรุงแบกแดดมายังสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐในกรุงแบกแดดและขอให้กำลังสหรัฐในพื้นที่เป้าหมายใด ๆ ออกทันที ชั่วโมงต่อมา อากาศยานรัสเซียที่อยู่ในดินแดนที่รัฐบาลครองเริ่มการโจมตีทางอากาศโดยดูเหมือนต่อเป้าหมายรัฐอิสลาม
ก่อนหน้าปฏิบัติการเหล่านี้ การเข้ามีส่วนของรัสเซียในสงครามกลางเมืองซีเรียส่วนใหญ่เป็นการจัดหากำลังบำรุงแก่กองทัพบกซีเรีย ข้าราชการรัสเซียรับรองวัตถุประสงค์ของพวกตนว่า เพื่อช่วยรัฐบาลซีเรียยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มค้านต่าง ๆ ซึ่งรวม ISIL และกลุ่มที่สหรัฐหนุนหลังและติดอาวุธ ในการสัมภาษณ์ทางโทรทัศน์ที่แพร่ภาพเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2558 ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดีมีร์ ปูติน กล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารมีการเตรียมล่วงหน้าอย่างรอบคอบ เขานิยามเป้าหมายของรัสเซียในซีเรียว่า "สร้างเสถียรภาพอำนาจชอบธรรมในซีเรียและสร้างสภาพสำหรับการประนีประนอมทางการเมือง"
วันที่ 24 พฤศจิกายน 2558 อากาศยานซุคฮอย ซู-24 ของรัสเซียถูกเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 ของกองทัพอากาศตุรกียิงตกในเหตุการณ์ที่เชื่อว่าเป็นครั้งแรกที่ประเทศนาโตยิงเครื่องบินรัสเซียตกในรอบครึ่งศตวรรษ
ฝ่ายค้านติดอาวุธประกอบด้วยหลายกลุ่มที่ตั้งระหว่างห้วงความขัดแย้งหรือเข้าร่วมจากนอกประเทศ จากข้อมูลของมัวร์ เฮิร์ช (Seymour Hersh) ฝ่ายค้านได้รับเงินสนับสนุนจากซาอุดีอาระเบีย 700 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ปี 2557) ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซีเรีย กลุ่มแยกฝ่ายค้านหลักคือ แนวร่วมอัลนุสเราะ (al-Nusra Front) ที่เข้ากับอัลกออิดะฮ์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับกลุ่มอิสลามอื่นที่เล็กกว่าหลายกลุ่ม ในจำนวนนี้บางกลุ่มปฏิบัติการภายใต้กลุ่มกองทัพซีเรียเสรี (FSA) ชาติตะวันตกกำหนดให้ FSA เป็นกลุ่มแยกฝ่ายค้านสายกลางซึ่งทำให้กลุ่มได้รับอาวุธทันสมัยและการสนับสนุนทางทหารอื่นจากสหรัฐและประเทศอ่าวบางประเทศภายใต้โครงการที่ซีไอเอดำเนินการ ซึ่งเพิ่มสมรรถนะการสู้รบรวมของกบฏอิสลาม ในทางตะวันออก รัฐอิสลามอิรักและลิแวนต์ (ISIL) กลุ่มนักรบญิฮัดที่กำเนิดจากประเทศอิรัก ได้ความได้เปรียบทางทหารอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศซีเรียและอิรัก สุดท้าย ISIL กลายมาขัดแย้งกับกบฏอื่น โดยเฉพาะอัลนุสเราะ ซึ่งผู้นำกลุ่มไม่ต้องการสวามิภักดิ์ต่อ ISIL ในเดือนกรกฎาคม 2557 ISIL ควบคุมหนึ่งในสามของดินแดนประเทศซีเรีย และการผลิตน้ำมันแลัแก๊สส่วนใหญ่ ฉะนั้นจึงสถาปนาตนเป็นกำลังต่อต้านรัฐบาลหลัก ในปี 2558 กาตาร์ ซาอุดีอาระเบียและตุรกีหนุนหลังกองทัพการพิชิตดินแดน (Army of Conquest) อย่างเปิดเผย ซึ่งเป็นกลุ่มกบฏรวมที่มีรายงานว่ารวมแนวร่วมอัลนุสเราะที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะฮ์และแนวร่วมซะละฟีอีกกลุ่มหนึ่ง ชื่อ อะห์รัรอัชชาม (Ahrar ash-Sham) และฟัยลักอัลชาม (Faylaq Al-Sham) กลุ่มกบฏที่เชื่อมโยงกับแนวร่วมภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) นอกจากนี้ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทหารอาสาสมัครเคิร์ดอย่างหน่วยคุ้มครองประชาชน (YPG) จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับทั้งกลุ่มแยกอิสลามกบฏและผู้จงรักภักดีต่อรัฐบาล
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2555 ในกรุงโดฮา สภาแห่งชาติและกำลังฝ่ายค้านอื่นรวมกันเป็นแนวร่วมกำลังปฏิวัติและฝ่ายค้านซีเรียแห่งชาติ (National Coalition for Syrian Revolutionary and Opposition Forces) วันรุ่งขึ้น หลายรัฐอ่าวเปอร์เซียรับรองให้เป็นรัฐบาลซีเรียโดยชอบ ผู้ทนสภาผู้นำของแนวร่วมฯ มีหญิงและผู้แทนของชนกลุ่มน้อยศาสนาและชาติพันธุ์ซึ่งรวมอะละวีด้วย มีรายงานว่าสภาทหารรวมกองทัพซีเรียเสรีด้วย เป้าหมายหลักของแนวร่วมแห่งชาติฯ คือ แทนรัฐบาลบัชชาร อัลอะซัดและ "สัญลักษณ์และเสาการสนับสนุนของมัน" "รื้อราชการความมั่นคง" สร้างเอกภาพและสนับสนุนกองทัพซีเรียเสรี ปฏิเสธการพูดคุยเจรจากับรัฐบาลอัลอะซัด และ "นำตัวผู้รับผิดชอบการฆ่าชาวซีเรีย ทำลาย [ซีเรีย] และไล่ที่ [ชาวซีเรีย] มาลงโทษ"
มีการประกาศตั้งกองทัพซีเรียเสรีเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2554 โดยนายทหารกองทัพบกซีเรียที่แปรพักตร์กลุ่มหนึ่ง ในวิดีทัศน์ นายทหารเรียกร้องให้นายทหารและทหารชาวซีเรียแปรพักตร์ และกล่าวว่าจุดประสงค์ของกองทัพซีเรียเสรี คือ เพื่อป้องกันผู้ประท้วงพลเรือนจากความรุนแรงโดยรัฐ และ "เพื่อโค่นระบอบ[ซีเรีย]นี้"
ต่อมาทหารกองทัพบกซีเรียบางส่วนแปรพักตร์เข้ากับ FSA นักหนังสือพิมพ์ชาวเยอรมันคนหนึ่งสัมภาษณ์ผู้นำรัฐอิสลามกล่าวไม่สนใจ FSA พลางหัวเราะว่าเป็นแหล่งอาวุธดีที่สุดที่พวกตนมี ในเดือนธันวาคม 2554 ประมาณจำนวนทหารที่แปรพักตร์เข้ากับ FSA มีตั้งแต่ 1,000 ถึงกว่า 25,000 นาย FSA ทำหน้าที่เป็นองค์การรวมมากกว่าสายการบังคับบัญชาทหารตามประเพณี และทีแรกมี "สำนักงานใหญ่" ในประเทศตุรกี แต่ย้ายสำนักงานใหญ่กองบัญชาการไปภาคเหนือของซีเรียในเดือนกันยายน 2555
ในเดือนมีนาคม 2555 ผู้สื่อข่าวเดอะนิวยอร์กไทมส์ เป็นพยานการเข้าตีแนวรถถังซีเรียหุ้มเกราะของ FSA ในซะระกิบ (Saraqib) และทราบว่า FSA มีทหารและอดีตนายทหารที่สามารถและได้รับการฝึก มีการจัดระเบียบอยู่ระดับหนึ่ง แต่ไม่มีอาวุธที่จะต่อสู้อย่างจริงจัง
ในเดือนเมษายน 2556 สหรัฐประกาศว่าจะส่งความช่วยเหลือไม่ถึงชีวิตต่อกบฏซีเรีย 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐผ่านพลเอกที่แปรพักตร์ ซะลิม อิดริส (Salim Idriss) ผู้นำ FSA
ในเดือนพฤษภาคม 2556 ซะลิม อิดริส ผู้นำ FSA ยอมรับว่า "กบฏ" แตกเป็นเสี่ยงและขาดทักษะทางทหารที่จำเป็นเพื่อโค่นรัฐบาลประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัด อิดริสกล่าวว่าเขากำลังสร้างโครงสร้างบังคับบัญชาทั่วประเทศ แต่การขาดการสนับสนุนทางวัตถุทำให้ความพยายามนั้นไม่เป็นผล เขายอมรับว่าปฏิบัติการร่วมกับกลุ่มอิสลาม อะห์รัรอัชชาม แต่ปฏิเสธความร่วมมือใด ๆ กับกลุ่มอิสลาม แนวร่วมอัลนุสเราะ
อะบู ยูซัฟ (Abu Yusaf) ผู้บัญชาการคนหนึ่งของรัฐอิสลาม กล่าวในเดือนสิงหาคม 2557 ว่าสมาชิก FSA หลายคนที่นายทหารสหรัฐ ตุรกีและอาหรับฝึกแท้จริงแล้วกำลังเข้าร่วมกับไอเอส ซึ่งในทางตรงข้ามกับข้ออ้างของผู้บัญชาการนายนี้ ในเดือนกันยายน 2557 กองทัพซีเรียเสรีกำลังเข้าร่วมพันธมิตรและแนวร่วมกับทหารอาสาสมัครเคิร์ดซึ่งรวม YPG ซึ่งต่อสู้กับไอเอส
ต้นเดือนตุลาคม 2558 ไม่นานหลังรัสเซียเริ่มแทรกแซงทางทหารในซีเรีย โรเบิร์ต ฟิสก์ประเมินว่าการดำรงอยู่ของ FSA เป็นกลลวง เป็นข้อเท็จจริงที่ข้าราชการสหรัฐรับทราบ โดยกบฏ FSA แทบทั้งหมดที่สหรัฐฝึกแปรพักตร์เข้ากับกลุ่มกบฏอื่น และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เซอร์เกย์ ลัฟรอฟ เรียก FSA ว่า "โครงสร้างที่ไม่มีตัวตนแล้ว" และเสริมว่าเขากำลังคอยรับสารสนเทศเจาะจงใด ๆ เกี่ยวกับกลุ่มจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ จอห์น เคอร์รี
สภาแห่งชาติซีเรียตั้งเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2554 เป็นแนวร่วมกลุ่มต่อต้านรัฐบาลซึ่งมีฐานในประเทศตุรกี สภาแห่งชาติมุ่งยุติการปกครองของอัลอะซัด และสถาปนารัฐประชาธิปไตยสมัยใหม่ SNC มีความเชื่อมโยงกับกองทัพซีเรียเสรี ในเดือนพฤศจิกายน 2555 สภาตกลงรวมกับกลุ่มฝ่ายค้านอีกหลายกลุ่มตั้งเป็นแนวร่วมแห่งชาติซีเรีย SNC มีผู้แทน 22 จาก 60 ที่นั่งในแนวร่วมแห่งชาติซีเรียง
สภาฯ ถอนตัวจากแนวร่วมฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2557 เป็นการประท้วงการตัดสินใจของแนวร่วมในการเข้าประชุมการเจรจาเจนีวา
แนวร่วมอิสลามเป็นการรวมกลุ่มกบฏเจ็ดกลุ่มที่เกี่ยวข้องในสงครามกลางเมืองซีเรีย มีการประกาศเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2556 กลุ่มนี้มีนักรบระหว่าง 40,000 ถึง 60,000 คน โฆษกนิรนามของกลุ่มแถลงว่า กลุ่มจะไม่มีความสัมพันธ์กับแนวร่วมแห่งชาติซีเรีย แม้สมาชิกกรมการเมืองของกลุ่ม อะห์มัด มุซาแถลงว่า เขาหวังการรับรองจากสภาแห่งชาติซีเรียในความร่วมมือสิ่งที่เขาแนะว่า "สิ่งที่ชาวซีเรียต้องการ พวกเขาต้องการการปฏิวัติและมิใช่วาระการเมืองและต่างชาติ" ซาอุดีอาระเบียหนุนหลังและติดอาวุธกลุ่มนี้อย่างกว้างขวาง
กฎบัตรของแนวร่วมอิสลามปฏิเสธมโนทัศน์ประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนและโลกวิสัย และมุ่งสถาปนารัฐอิสลามที่ปกครองโดยมัยลิสอัชชูรา (Majlis-ash-Shura) และบังคับใช้ชะรีอะฮ์ กลุ่มยอมรับชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์และศาสนาที่อาศัยอยู่ในซีเรีย ขณะที่ยังต้อนรับนักรบต่างด้าวที่เข้าร่วมกำลังต่อต้านอะซัด และปฏิเสธวิธียุติสงครามกลางเมืองนอกเหนือจากทางทหาร
ในเดือนกันยายน 2556 จอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ แถลงว่ากลุ่มญิฮัดซะละฟีสุดโต่งประกอบเป็น 15–25% ของกำลังกบฏ จากข้อมูลของชาลส์ ลิสเตอร์ กบฏประมาณ 12% เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่เชื่อมโยงกับอัลกออิดะฮ์ 18% เป็นของอะห์รัรอัชชาม และ 9% เป็นของศุกูรอัชชาม (Suqour al-Sham Brigade) จำนวนนี้ค้านกับกลุ่มสารสนเทศเจนส์ (Jane's Information Group) สิ่งพิมพ์ด้านกลาโหม อ้างว่ากบฏทั้งหมดเกือบครึ่งเข้ากับกลุ่มอิสลาม ศูนย์ศาสนาและภูมิรัฐศาสตร์ คลังสมอง (think-tank) สัญชาติบริติช ซึ่งเชื่อมโยงกับอดีตนายกรัฐมนตรีบริติช โทนี แบลร์ กล่าวว่า กบฏ 60% อาจจำแนกเป็นพวกหัวรุนแรงอิสลาม นักรบต่างด้าวเข้าร่วมความขัดแย้งโดยอยู่ฝั่งตรงข้ามอะซัด
ศูนย์ระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาการทำให้หัวรุนแรงและความรุนแรงทางการเมือง (The International Centre for the Study of Radicalisation and Political Violence) ประมาณว่านักรบต่างด้าว 2,000–5,500 คนไปประเทศซีเรียนับแต่เริ่มการประท้วง โดยประมาณ 7–11% มาจากทวีปยุโรป ศูนย์ฯ ยังประมาณว่าจำนวนนักรบต่าวด้าวมีไม่เกิน 10% ของกองทัพฝ่ายค้าน อีกการประมาณหนึ่งกะจำนวนนักรบญิฮัดต่างด้าวไว้ 15,000 คนเมื่อต้นปี 2557 คณะกรรมการยุโรปแสดงความกังวลว่า นักรบบางส่วนอาจใช้ทักษะที่ได้ในประเทศซีเรียกลับมาก่อการร้ายในทวีปยุโรปในอนาคต
ในเดือนตุลาคม 2555 กลุ่มศาสนาอิรักหลายกลุ่มเข้าร่วมความขัดแย้งในซีเรียทั้งสองฝ่าย ซุนนีหัวรุนแรงจากประเทศอิรักเดินทางไปประเทศซีเรียเพื่อต่อสู้กับประธานาธิบดีบัชชาร อัลอะซัดและรัฐบาลซีเรีย นอกจากนี้ ชีอะฮ์จากประเทศอิรัก ในจังหวัดบาบิลและดิยาลา เดินทางไปกรุงดามัสกัสจากกรุงเตหะราน หรือจากนะญัฟ ประเทศอิรัก นครศักดิ์สิทธิ์ของอิสลามชีอะฮ์ เพื่อพิทักษ์ซัยยิดะห์ซัยนับ (Sayyida Zeinab) มัสยิดสำคัญและแท่นบูชาของนิกายชีอะฮ์ในกรุงดามัสกัส
ในเดือนกันยายน 2556 ผู้นำกองพลน้อยกบฏที่ทรงอำนาจ 13 คนปฏิเสธแนวร่วมแห่งชาติซีเรีย และเรียกร้องให้กฎหมายชะรีอะฮ์เป็น "บ่อเกิดของกฎหมายแหล่งเดียว" กลุ่มกบฏที่ลงนามมีแนวร่วมอัลนุสเราะ อะห์รัรอัชชามและอัลเตาฮีดรวมอยู่ด้วย
แนวร่วมอัลนุสเราะซึ่งเชื่อมโยงกับอัลกออิดะฮ์ เป็นกลุ่มญีฮัดใหญ่สุดในประเทศซีเรีย มักถือว่าเป็นส่วนที่ก้าวร้าวและรุนแรงที่สุดของฝ่ายค้าน กลุ่มนี้ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายแล้วกว่า 50 ครั้ง ซึ่งรวมเหตุระเบิดที่มีผู้เสียชีวิตหลายครั้งในกรุงดามัสกัสในปี 2554 และ 2555 รัฐบาลซีเรียและรัฐบาลสหรัฐกำหนดให้เป็นองค์การก่อการร้ายในเดือนธันวาคม 2555 จากข้อมูลของหน่วยข่าวกรองสหรัฐ รัฐบาลตุรกีสนับสนุนกลุ่มนี้มาหลายปีแล้ว ในเดือนเมษายน 2556 ผู้นำรัฐอิสลามอิรักออกแถลงการณ์เสียงประกาศว่าแนวร่วมอัลนุสเราะเป็นสาขาของตนในประเทศซีเรีย ผู้นำอัลนุสเราะ อะบู โมฮัมมัด อัลโกลานี (Abu Mohammad al-Golani) กล่าวว่า กลุ่มจะไม่รวมกับรัฐอิสลามอิรักแต่จะยังสวามิภักดิ์ต่ออัยมัน อัซเซาะวาฮิรี ผู้นำอัลกออิดะฮ์ กำลังคนโดยประมาณของแนวร่วมอัลนุสเราะอยู่ประมาณ 6,000–10,000 คน ซึ่งรวมนักรบต่างด้าวจำนวนมาก
ความสัมพันธ์ระหว่างแนวร่วมอัลนุสเราะและฝ่ายค้านซีเรียพื้นเมืองตึงเครียด แม้อัลนุสเราะต่อสู้ร่วมกับ FSA ในหลายยุทธการ และนักรบ FSA บางส่วนแปรพักตร์ไปแนวร่วมอัลนุสเราะ มุมมองศาสนาเข้มงวดของมูญาฮิดีนและเจตนาบังคับกฎหมายชะรีอะฮ์รบกวนชาวซีเรียจำนวนมาก ผู้บัญชาการกบฏบางนายกล่าวหานักรบญีฮัดว่า "ขโมยการปฏิวัติ" ปล้นโรงงานซีเรียและแสดงอขันติทางศาสนา แนวร่วมอัลนุสเราะถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติไม่ดีต่อชนกลุ่มน้อยศาสนาและชาติพันธุ์นับแต่ก่อตั้ง
ชาวเคิร์ดซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซุนนี และกลุ่มน้อยยะซีดีส (Yezidis) ขนาดเล็กประกอบเป็น 10% ของประชากรซีเรียเมื่อเริ่มการก่อการกำเริบในปี 2554 พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติและละเลยหลายทศวรรษ ขาดสิทธิพลเมือง วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสังคมพื้นฐาน เมื่อการประท้วงเริ่ม สุดท้ายรัฐบาลอะซัดให้ความเป็นพลเมืองแก่ชาวเคิร์ดไร้สัญชาติประมาณ 200,000 คน ในความพยายามเพื่อหยุดการค้านของชาวเคิร์ดที่อาจเกิดขึ้น การให้สิทธินี้ประกอบกับการสนับสนุนฝ่ายค้านของตุรกีและการมีผู้แทนน้อยเกินในสภาแห่งชาติซีเรีย ส่งผลให้มีชาวเคิร์ดเข้าร่วมสงครามกลางเมืองเป็นจำนวนน้อยกว่าอาหรับซุนนีซีเรีย ผลคือ ความรุนแรงและการปราบปรามของรัฐในพื้นที่เคิร์ดรุนแรงน้อยลง ในแง่ของซีเรียหลังอะซัด มีรายงานว่าชาวเคิร์ดปรารถนาอัตตาณัติระดับหนึ่งในรัฐที่กระจายอำนาจปกครอง
เมื่อสงครามกลางเมืองเริ่ม พรรคการเมืองเคิร์ดส่วนใหญ่จัดระเบียบตนเองเป็นคณะกรรมการประสานงานแห่งชาติเพื่อการเปลี่ยนแปลงประชาธิปไตย (NCC) โดยถือท่าทีสายกลางมากกว่าต่อรัฐบาลอะซัด ทว่า ในเดือนตุลาคม 2554 ทุกพรรคยกเว้นพรรคสหภาพประชาธิปไตย (PYD) ออกจาก NCC ไปตั้งองค์การรวมของตนเอง คือ สภาแห่งชาติเคิร์ด
สันนิบาตอาหรับ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอีกหลายประเทศประณามการใช้ความรุนแรงต่อผู้ประท้วง สันนิบาตอาหรับระงับสมาชิกภาพของซีเรียเพราะการตอบสนองต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวของรัฐบาล แต่ให้ที่นั่งแก่แนวร่วมแห่งชาติซีเรียเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2556 สันนิบาตอาหรับยังส่งคณะผู้แทนสังเกตการณ์ในเดือนธันวาคม 2554 โดยเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอการแก้ไขวิกฤตการณ์อย่างสันติ มีความพยายามระงับวิกฤตการณ์อื่นอีก ผ่านการแต่งตั้งโคฟี อันนันเป็นผู้แทนทางการทูตพิเศษ
เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2555 กาชาดสากลประเมินความขัดแย้งซีเรียว่าเป็น "การขัดกันด้วยอาวุธไม่ระหว่างประเทศ" (เป็นศัพท์กฎหมายของสงครามกลางเมือง) ฉะนั้น จึงบังคับใช้กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศภายใต้อนุสัญญาเจนีวาต่อซีเรีย สงครามลดระดับลงเป็นการคุมเชิงในต้นปี 2556 โดยฝ่ายกบฏค่อย ๆ ได้พื้นที่ในบางบริเวณ ขณะที่ในบางบริเวณ ฝ่ายรัฐบาลก็ค่อย ๆ ได้พื้นที่เช่นกัน
กลุ่มสิทธิมนุษยชนรายงานว่า การละเมิดส่วนใหญ่กระทำโดยกำลังรัฐบาลซีเรีย และการสืบสวนของสหประชาชาติสรุปว่า การละเมิดของรัฐบาลนั้นมีความร้ายแรงและขอบเขตสูงสุด