ศิลปะคริสเตียน (อังกฤษ: Christian art) เป็นคำที่หมายถึงจักษุศิลป์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อแสดงความหมาย, ขยายความ และแสดงเรื่องราวที่เกี่ยวกับหลักของศาสนาคริสต์ นิกายของศาสนาคริสต์เกือบทุกนิกายใช้ศิลปะคริสเตียนแต่จะมากบ้างน้อยบ้างก็แล้วแต่กฎบัตรของแต่ละนิกาย แต่โดยทั่วไปไม่ว่าจะเป็นสื่อชนิดใดหัวเรื่องการสร้างก็จะคล้ายคลึงกันคือจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูจากพันธสัญญาใหม่ หรือบางครั้งก็รวมเรื่องราวจากพันธสัญญาเดิม นอกนั้นการเขียนเรื่องนักบุญหรือผู้มีความสำคัญต่อศาสนาก็เป็นที่นิยมกันโดยเฉพาะในนิกายโรมันคาทอลิก, นิกายแองกลิคัน และนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์
ศิลปะคริสเตียนมีอายุนานพอ ๆ กับศาสนาคริสต์ สื่อที่พบที่เก่าที่สุดมาจาก ค.ศ. 70 ที่นักโบราณคดีพบที่ว้ดที่เมกิดโด (Megiddo) และประติมากรรมเก่าที่สุดที่พบมาจากคริสต์ศตวรรษที่ 2 เป็นงานสลักบนโลงหิน
ศิลปะที่พบหลักจากจักรวรรดิโรมันล่มเป็นศิลปะคริสเตียนแทบทั้งสิ้น หลังจากจักรวรรดิโรมันล่มสถาบันศาสนาคริสต์ก็เข้ามามีบทบาทและอำนาจแทนที่ซึ่งปัจจุบันคือสถาบันโรมันคาทอลิกผู้เป็นตัวจักรสำคัญในการสร้างศิลปะคริสเตียน ทางออร์ทอดอกซ์ตะวันออกที่คอนสแตนติโนเปิลที่ยังมีความสงบกว่าภายใต้การปกครองของจักรวรรดิโรมันตะวันออกก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างศิลปะคริสเตียนทางตะวันออก เมื่อสถานะการทางการเมืองของทางตะวันตกเริ่มมั่นคงขึ้นบางระหว่างยุคกลางสถาบันโรมันคาทอลิกก็เพิ่มบทบาทในการสนับสนุนการสร้างศิลปะโดยจ้างจิตรกร ประติมากร และสถาปนิกในสร้างงานให้สถาบันโดยตรง สถาปัตยกรรมศาสนาคริสต์ออกมาในรูปของวัดแบบต่าง ๆ, มหาวิหาร, สำนักสงฆ์ และ ที่เก็บศพ หรือ อนุสาวรีย์ผู้ตาย (tombs)
ระหว่างการวิวัฒนาการทางศิลปะคริสเตียนในจักรวรรดิไบแซนไทน์จากแบบนามธรรมของกรีกก็กลายมาเป็นศิลปะที่ใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้นบ้าง แต่ลักษณะใหม่นี้ก็ยังเป็นแบบจินตนิยม (hieratic) จุดประสงค์ของศิลปะทำเพื่อสื่อสารข้อมูลทางศาสนามีใช่เพื่อให้เหมือนสิ่งที่วาดหรือแม่แบบอย่างเที่ยงตรง การเขียนภาพจะไม่คำนึงถึงการเขียนแบบทัศนียภาพ ให้ได้สัดส่วนแสงเงาที่ถูกต้องแต่จะใช้รูปทรงที่ง่าย และการวางองค์ประกอบที่เป็นมาตรฐาน เพราะความขัดแย้งในการใช้ "รูปต้องห้าม" (idol หรือ graven images) จากที่ตีความหมายจากบัญญัติข้อที่สองของบัญญัติ 10 ประการและสถานะการณ์เกี่ยวกับลัทธิทำลายรูปสัญลักษณ์ทำให้มีผลสองประการ: การออกมาตรฐานของการแสดงรูปสัญลักษณ์ทางศาสนาคริสต์ภายในนิกายอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ซึ่งเป็นผลให้การแสดงออกทางศิลปะเป็นแบบจุลนิยมในศิลปะของนิกายโปรเตสแตนต์ต่อมาภายหลัง
เมื่อปรัชญาทางโลกและการแยกระหว่างศาสนากับทางโลกเริ่มมีความสำคัญมาขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในยุโรปตะวันตก ก็เริ่มมีการสะสมศิลปะคริสเตียนจากยุคกลางมิใช่เพื่อเป็นการสักการะแต่เพราะเป็นสิ่งสะสมที่มีคุณค่าทางศิลปะในขณะเดียวกันศิลปะคริสเตียนร่วมสมัยก็ลดความสำคัญลง ศิลปินก็สร้างงานทางศาสนาน้อยลงเป็นลำดับหรือถ้าทำก็เป็นโอกาสพิเศษ แต่ก็มีศิลปินบางคนที่ยังสร้างงานศาสนาเช่น มาร์ก ชากาล (Marc Chagall), อ็องรี มาติส, เจคอป เอพสไตน์ (Jacob Epstein) และอลิสซาเบ็ธ ฟริงค์ (Elizabeth Frink)
วิวัฒนาการการพิมพ์ทำให้เกิดความแพร่หลายของลัทธินิยมในการเป็นเจ้าของภาพพิมพ์ทางศิลปะ เช่นงานจิตรกรรมของ Mih?ly Munk?csy ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 หรืองานสมัยใหม่ของทอมัส คินเคด (Thomas Kinkade) และทอมัส แบล็กเชียร์ (Thomas Blackshear) เป็นต้น
ศิลปะคริสเตียนไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดมักจะแสดงบุคคลหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจง แต่ละชิ้นก็จะเป็นสัญลักษณ์นิยม(Symbolism) ของแต่ละนิกาย การใช้สัญลักษณ์ไม่มีกฎตายตัวเช่นการใช้กางเขนก็จะไม่เหมือนกันไปทุกนิกายหรือลัทธิ หรือแม้แต่คัมภีร์ไบเบิลก็ตาม แต่อย่างไรก็ตามหัวข้อใหญ่ ๆ ที่ทำกันไม่ว่าจะเป็นลัทธิใดก็ได้แก่
วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ศิลปะคริสเตียน วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ จิตรกรรมฝาผนังของศาสนาคริสต์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระเยซู วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ พระแม่มารีและพระบุตร วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ ภาพเขียนนักบุญ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ รูปปั้นในศาสนาคริสต์ วิกิมีเดียคอมมอนส์มีสื่อเกี่ยวกับ สถาปัตยกรรมวัดศาสนาคริสต์
สื่อผสม (ประติมากรรม
และจิตรกรรม)
"พระเยซูทรงกางเขน"
ที่ซาโครมอนเตที่เมืองวารัลโลในประเทศอิตาลี