ลัทธิสตาลิน (Stalinism) หรือ สังคมนิยมในประเทศเดียว เป็นการตีความทางทฤษฎีและการประยุกต์ ในทางปฏิบัติของหลักนิยมมาร์กซิสต์ (Marxism) ส่วนที่เป็นคุณูปการโดยโจเซฟ สตาลิน (Josef Stalin) ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจครอบงำพรรคคอมมิวนิสต์และกลไกของรัฐบาลในสหภาพโซเวียต (Soviet Union) ตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษหลังปี ค.ศ. 1920 จนกระทั่งเขาถึงแก่อสัญกรรมเมื่อปี ค.ศ. 1953
สตาลินได้แสดงให้เห็นว่า ชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์นี้ นอกจากจะดำเนินการได้ตามแนวทางของลัทธิมากซ์ และ ลัทธิเลนิน (Marxism-Leninism) นี้แล้ว ก็ยังสามารถทำได้โดยวิธีอื่น คือการยึดครองทางทหารโดยมหาอำนาจคอมมิวนิสต์ (อย่างในกรณีที่ สหภาพโซเวียตเข้ายึดครองยุโรปตะวันออก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2) ก็ช่วยให้บรรลุเป้าหมายคือการได้ชัยชนะของลัทธิคอมมิวนิสต์ได้ หากกรณีที่ปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ เอื้ออำนวย
ว่ากันตามหลักจริง ๆ แล้ว สตาลินมีคุณูปการน้อยต่อหลักนิยมคอมมิวนิสต์ มีการจำกัดตัวเองอยู่เฉพาะในการตีความลัทธิมากซ์และลัทธิเลนิน (Marxism-Leninism) เพื่อนำไปใช้กับสภาพแวดล้อมทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศในยุคของเขาเท่า นั้นเอง
พวกที่เข้ามารับช่วงอำนาจต่อจากสตาลิน ได้ทำการรื้อโครงการของเลนินเสียสิ้น และ ลัทธิสตาลินนี้ก็ได้ถูกประณามว่าเป็นลัทธิที่ส่งเสริมแนวการปกครองแบบ "ยึดตัวบุคคลเป็นหลัก" (Cult of Personality) เป็นการปกครองแบบเผด็จการโดยบุคคลคนเดียว ยึดหลักการคนทำผิดไม่ได้ ทำการสถาปนารัฐเผด็จการเบ็ดเสร็จ ทำการกำจัดพวกที่ถูกระแวงว่าจะเป็นฝ่ายตรงกันข้าม โดยวิธีการกวาดล้าง และใช้ตำรวจลับ มีการจองจำคุมขังพวกที่ไม่เห็นด้วยทางการเมืองนับจำนวนไม่ถ้วนในค่าย "กูลัก"
แนวความคิดต่าง ๆ ที่พัฒนาและนำไปใช้ในสหภาพโซเวียตโดยสตาลิน ซึ่งมีผลกระทบต่อหลักนิยมคอมมิวนิสต์นั้นมีดังนี้ คือ
แม้ถึงจะมีการประณามลัทธิสตาลินนี้อย่างไร แต่ว่าการประยุกต์ใช้ทฤษฎีคอมมิวนิสต์ทั้งในแง่ทฤษฎีและในแง่ปฏิบัติต่าง ๆ ที่ดำเนินการกว่า 30 ปี ในช่วงการปกครองของสตาลินนี้ ก็ยังคงเป็นพื้นฐานของหลักนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ในช่วงที่สหภาพโซเวียตยังไม่ล่มสลาย