ราชวงศ์แฮโนเวอร์ เป็นราชวงศ์เยอรมันที่ครองราชบัลลังก์สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ต่อจากราชวงศ์สจวตในปี พ.ศ. 2257 ราชวงศ์นี้ยังปกครองรัฐฮันโนเวอร์ในประเทศเยอรมนีอันเป็นดินแดนที่ราชวงศ์นี้เป็นเจ้าของ ในบางครั้งอาจเรียกราชวงศ์นี้ว่าราชวงศ์เบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์ก สายฮันโนเวอร์ (House of Brunswick and L?neburg, Hanover line)
เกออร์ก ดยุกแห่งเบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์กเป็นสมาชิกแรกของราชวงศ์แฮโนเวอร์ เมื่อดัชชีเบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์กถูกแบ่งในปี พ.ศ. 2178 เกออร์กได้รับมรดกส่วนราชรัฐคาเลนแบร์ก (Principality of Calenberg) และราชรัฐเกิททิงเงิน (Principality of G?ttingen) และในปี พ.ศ. 2179 ท่านได้ย้ายไปพำนักอยู่ที่ฮันโนเวอร์ ดยุก แอนสท์ เอากุสท์ โอรสของท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในปี พ.ศ. 2235 เจ้าหญิงโซฟีแห่งฮันโนเวอร์ rพระชายาในดยุกแอนสท์ เอากุสท์ ได้อ้างสิทธิในราชบัลลังก์บริเตนใหญ่อันเนื่องจากพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 ได้กำหนดว่ารัชทายาทที่เป็นโรมันคาทอลิกไม่สามารถครองราชบัลลังก์ได้ เจ้าหญิงโซฟีซึ่งขณะนั้นเป็นโปรเตสแตนต์ที่เป็นพระญาติใกล้ชิดที่สุดกับพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษ พระเจ้าวิลเลียมจริง ๆ แล้วทรงเป็นชาวดัตช์แห่งราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา แต่ทั้งพระมเหสีและพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงในราชวงศ์สจวต
พระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ พระราชโอรสในดยุกแอนสท์ ออกุสท์และเจ้าหญิงโซฟีแห่งฮันโนเวอร์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์บริเตนใหญ่ และเป็นพระมหากษัตริย์บริเตนใหญ่พระองค์แรกของราชวงศ์แฮโนเวอร์ แม้ว่าพระองค์จะอยู่ในลำดับที่ 52 ในลำดับการสืบสันตติวงศ์ก็ตามพระมหากษัตริย์สหราชอาณาจักรในราชวงศ์แฮโนเวอร์ ได้แก่
พระเจ้าจอร์จที่ 1 พระเจ้าจอร์จที่ 2 และพระเจ้าจอร์จที่ 3 ต่างก็ทรงดำรงดำแหน่งเจ้าชายและดยุกแห่งเบราน์ชไวก์-ลือเนบูร์ก (Electors and dukes of Brunswick-L?neburg) ซึ่งเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าผู้คัดเลือกแห่งฮันโนเวอร์ (Electors of Hanover) ในช่วงต้นของปี พ.ศ. 2357 เมื่อฮันโนเวอร์ได้กลายเป็นราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์บริเตนใหญ่ก็มีพระอิสสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์ฮันโนเวอร์ด้วย
ราชบัลลังก์สหราชอาณาจักรและฮันโนเวอร์ได้แยกจากกันในปี พ.ศ. 2380 เมื่อมีกฎหมายแซลิกที่กำหนดให้ราชบัลลังก์ฮันโนเวอร์ไม่ได้ตกผ่านรัชทายาทของตกไปสู่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย แต่กลับผ่านไปยังพระราชปิตุลาของพระองค์คือแอนสท์ เอากุสท์ 1 แห่งฮันโนเวอร์ (Ernest Augustus I of Hanover, Duke of Cumberland) เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียสวรรคตในปี พ.ศ. 2444 ราชวงศ์ซัคเซิน-โคบูร์กและโกทาได้ครองราชบัลลังก์สหราชอาณาจักรต่อ โดยพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 พระราชโอรสและองค์รัชทายาทผู้เป็นพระโอรสในเจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา พระราชสวามีในสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย ทำให้ชื่อราชวงศ์อังกฤษเปลี่ยนไปเป็นซัคเซิน-โคบูร์กและโกทา ตามนามสกุลของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 ซึ่งได้รับมาจากพระราชบิดา
หลังจากพระเจ้าวิลเลียมที่ 4 แห่งสหราชอาณาจักรสวรรคตในปี พ.ศ. 2380 มีพระมหากษัตริย์ฮันโนเวอร์ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ ดังนี้
ในปี พ.ศ. 2427 เชื้อสายของราชวงศ์เวลฟ์ (House of Welf) ได้สิ้นสุดลง ตามกฎหมายของราชวงศ์ ราชวงศ์แฮโนเวอร์สามารถขึ้นครองบัลลังก์ดัชชีเบราน์ชไวก์ แต่กระนั้นก็มีแรงกดดันจากปรัสเซียต่อพระเจ้าจอร์จที่ 5 และแอนสท์ เอากุสท์ ดยุกที่ 3 แห่งคัมเบอร์แลนด์ (Ernest Augustus, 3rd Duke of Cumberland) พระราชโอรสไม่ให้ขึ้นเป็นรัฐสมาชิกของจักรวรรดิเยอรมัน ตามกฎหมายในปี พ.ศ. 2422 ได้ตั้งสภาชั่วคราวขึ้นมาเพื่อดูแลเมื่อดยุกถึงแก่อสัญกรรม หรือแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนในกรณีจำเป็น
ดยุกแห่งคัมเบอร์แลนด์ได้อ้างสิทธิเป็นดยุกแห่งเบราน์ชไวก์หลังจากดยุกองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ แต่ก็มีการต่อรองที่ยาวนานและปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไข เจ้าชายอัลเบิร์ตแห่งปรัสเซัย (Prince Albrecht of Prussia) ได้ทรงแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หลังจากพระองค์สวรรคตในปี พ.ศ. 2449 ดยุกโยฮันน์ อัลแบร์ตแห่งเมคเลนบูร์ก (Duke John Albert of Mecklenburg) ได้ครองราชย์ต่อ โอรสคนโตของดยุกแห่งคัมเบอร์แลนด์ได้ถึงแก่กรรมในอุบัติเหตุรถยนต์ในปี พ.ศ. 2455 ดยุกแห่งคัมเบอร์แลนด์จึงประกาศให้ราชบัลลังก์ตกสู่โอรสองค์เล็ก ผู้ซึ่งแต่งงานกับพระราชธิดาในจักรพรรดิแห่งเยอรมนี (Kaiser) ได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมัน และได้รับอนุญาตให้ขึ้นครองราชบัลลังก์ของดัชชีในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2456 ท่านเป็นนายพลตรี (major-general) ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่ตำแหน่งดยุกแห่งเบราน์ชไวก์ก็ถูกล้มล้างในปี พ.ศ. 2461 บิดาของท่านก็ถูกถอดจากพระอิสริยยศอังกฤษในปี พ.ศ. 2462 เนื่องจากจับอาวุธต่อสู้กับสหราชอาณาจักร
ราชวงศ์นี้ปัจจุบันพำนักอยู่ในออสเตรียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2409 พระอิสสริยศและตำแหน่งนี้ใช้เพียงสมมติกันขึ้นมาเพื่อความเคารพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2462