ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก (เยอรมัน: Haus de Habsburg) (อังกฤษ: House of Habsburg, บางครั้งเขียนว่า Hapsburg) เป็นราชวงศ์ที่สำคัญที่สุดราชวงศ์หนึ่งในทวีปยุโรป ราชวงศ์นี้ได้ปกครองประเทศสเปนและประเทศออสเตรีย รวมเวลาทั้งหมดถึง 6 ศตวรรษ แต่ที่รู้จักกันดีมากที่สุดคือ การปกครองในตำแหน่งของ จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ หลังจากได้มีการสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา พระราชวงศ์นี้ได้ปกครองรัฐและประเทศต่าง ๆ ถึง 1,800 รัฐ
ราชวงศ์ฮับส์บูร์ก เป็นชื่อที่ตั้งมาจากปราสาทฮับส์บูร์ก (Habsburg Castle หรือที่ชาวสวิตรู้จักกันในนาม Hawk Castle) เมื่อประมาณศตวรรษที่ 12 โดยช่วงแรก พระราชวงศ์จะทรงประทับที่แคว้นสวาเบีย (ปัจจุบันคือเมืองอาร์กอว์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งขณะนั้น เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์) จากนั้น พระราชวงศ์ก็ได้ขยายอำนาจออกไปตั้งแต่เมืองอัลเซส, ไบรส์กอว์, อาร์กอว์, และธูร์กอว์ (ปัจจุบัน เมืองทั้งหมดตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี) และในที่สุดก็สามารถมีอำนาจปกครองจักรวรรดิได้ทั้งหมด โดยตั้งเมืองหลวงคือ กรุงเวียนนา (ปัจจุบันคือเมืองหลวงของประเทศออสเตรีย)
จากนั้น พระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงขยายอำนาจ ทรงนำประเทศต่าง ๆ มาผนวกรวมกับจักรวรรดิโดยอภิเษกสมรส เช่น จักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงแมรีแห่งเบอร์กันดี ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทหญิงแห่งเบอร์กันดี หลังจากการอภิเษกสมรสแล้ว จักรพรรดิมักซีมีเลียนก็ได้ทรงผนวกเบอร์กันดีเข้ารวมกับจักรวรรดิ นอกจากนี้ ยังทรงนำดินแดนใกล้เคียงเบอร์กันดีมารวมกับจักรวรรดิอีกด้วย ต่อมา พระราชโอรสของทั้งสองพระองค์ พระเจ้าเฟลีเปที่ 1 แห่งกาสตีล หรือสมญาพระนามว่า เฟลีเปผู้หล่อเหลา (Philip the Handsome) ได้ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงฮวนนาแห่งสเปน องค์รัทายาทหญิงแห่งสเปน จากนั้น พระราชโอรสของทั้งสองพระองค์ จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ทรงนำสเปน, พื้นที่ทางตอนใต้ของอิตาลี มาผนวกกับจักรวรรดิ ต่อมาในพ.ศ. 2123 พระราชโอรสของพระองค์ พระเจ้าเฟลีเปที่ 2 แห่งสเปน ได้ทรงผนวกโปรตุเกสรวมเข้าเป็นอาณานิคม
ในรัชสมัยของจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ในตอนแรก ทรงตั้งดินแดนศูนย์กลางของกรุงเวียนนา เป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิ โดยต่อมามีพระราชโองการให้สร้างพระราชวังเชินบรุนน์ขึ้น (Sch?nbrunn Palace) โดยให้เป็นพระราชฐานแปรฤดูร้อน ซึ่งต่อมาในรัชสมัยของจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซามีพระราชเสาวณีย์ให้ก่อสร้างพระตำหนักเพิ่มเติมภายในพระราชวัง พระราชวังเชินบรุนน์จึงมีความยิ่งใหญ่ สวยงามจวบจนทุกวันนี้
เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2064 จักรพรรดิคาร์ลที่ 5 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ (พระเจ้าคาร์ลอสที่ 1 แห่งสเปน) ได้ทรงมอบโอนแผ่นดินออสเตรียให้กับพระอนุชาของพระองค์ จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้น ก็มีการแยกสายสกุลฮับส์บูร์ก-ออสเตรีย และฮับส์บูร์ก-สเปน ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยสายสกุลทางออสเตรียได้ดำรงพระยศ จักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่ พ.ศ. 2099 เป็นต้นมา นอกจากนี้ ยังได้ดินแดนของราชอาณาจักรฮังการีและโบฮีเมียตั้งแต่ พ.ศ. 2069 แต่มีช่วงหนึ่งที่ถูกจักรวรรดิออทโทมานยึดครอง ฮังการีและโบฮีเมีย อยู่ภายใต้จักรวรรดิออทโทมานเป็นเวลาถึง 150 ปี โดยต่อมา ได้สามารถพิชิตเอาชนะ และได้ดินแดนฮังการีคืนมาระหว่างพ.ศ. 2226 – พ.ศ. 2242
สายสกุลฮับส์บูร์ก-สเปนได้ล่มสลายลงเมื่อพ.ศ. 2243 หลังจากสงครามสืบราชบัลลังก์สเปน (War of the Spanish Succession) เช่นเดียวกับสายสกุลฮับส์บูร์ก-ออสเตรีย ซึ่งถูกยุบลงหลังจากสงครามสืบราชบัลลังก์ออสเตรีย (War of the Austrian Succession) อย่างไรก็ตาม องค์รัชทายาทองค์สุดท้ายแห่งายสกุลฮับส์บูร์ก-ออสเตรีย อาร์ชดัชเชสมาเรีย เทเรซา ซึ่งเป็นองค์รัชทายาทหญิงทางพฤตินัย (Heiress Presumptive) ได้ทรงอภิเษกสมรสกับ ดยุกฟรานซิสที่ 3 สตีเฟนแห่งลอแรน องค์พระประมุขแห่งลอแรน (ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระราชปนัดดาในจักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 3 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ทั้ง 2 พระองค์เป็นพระญาติกัน) โดยหลังจากการอภิเษกสมรสแล้ว สายสกุลฮับส์บูร์ก-ออสเตรีย ได้ถูกยุบลง โดยเปลี่ยนราชสกุลฮับส์บูร์ก เป็นราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอแรน และให้พระบรมวงศานุวงศ์รุ่นต่อๆ มาดำรงอยู่ในราชสกุลนี้จวบจนถึงปัจจุบัน
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2349 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกล้มล้างจากการรุกล้ำและรุกรานระบอบการเมืองการปกครองของนโปเลียน โบนาปาร์ต อย่างไรก็ตาม องค์พระประมุของค์สุดท้ายของจักรวรรดิจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงสูญเสียตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไป พระองค์จึงทรงตั้งจักรวรรดิใหม่ คือ จักรวรรดิออสเตรีย และทรงแต่งตั้งพระราชอิสริยยศใหม่ทั้งหมด โดยพระองค์ทรงใช้พระยศในฐานะองค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิใหม่ว่า จักรพรรดิแห่งออสเตรีย ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2347 ซึ่งเป็นเวลาก่อน 2 ปี ก่อนที่จักรวรรดิเก่าจะถูกล้มล้าง โดย 3 เดือนต่อมา นโปเลียนก็ได้สถาปนาตนเองเป็น จักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส (Emperor of the French) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม ในปีเดียวกัน
His Imperial and Royal Apostolic Majesty "We, Francis the First, by the grace of God Emperor of Austria; Apostolic King of Hungary, Bohemia, Dalmatia, Croatia, Slavonia, and Jerusalem. King of Galicia and Lodomeria; Archduke of Austria; Duke of Lorriane, Salzburg, W?rzburg, Franconia, Styriaia, Carinthia, and Carniola; Grand Duke of Cracow; Grand Prince of Transylvania; Margrave of Moravia; Duke of Sandomir, Masovia, Lublin, Upper and Lower Silesia, Auschwitz and Zator, Teschen, and Friule; Prince of Berchtesgaden and Mergentheim; Princely Count of Habsburg, Gorizia, and Gradisca and Tyrol; and Margrave of Upper and Lower Lusatia and Istria".
ในช่วงของการเจรจาต่อรองระหว่างออสเตรีย-ฮังการี พ.ศ. 2410 ซึ่งเกิดจากการที่ประชาชนชาวฮังการีก่อการปฏิวัติเพื่อเรียกร้องเอกราชจากจักรวรรดิออสเตรีย จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ต้องทรงไปไกล่เกลี่ยการจลาจลด้วยพระองค์เอง โดยทรงเจรจากับผู้นำปฏิวัติของฮังการี ในที่สุด ฮังการียอมจำนน และสลายการจลาจล จากนั้น จักรพรรดิจึงทรงรวมดินแดนออสเตรีย และฮังการีไว้ด้วยกัน ในชื่อจักรวรรดิใหม่ จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งเจริญรุ่งเรืองจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1…
ราชวงศ์ฮับส์บูร์กเริ่มระส่ำระส่าย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งเกิดจากการที่นักอนุรักษนิยม ลอบปลงพระชนม์อาร์ชดยุกฟรันซ์ แฟร์ดีนันด์แห่งออสเตรีย-เอสต์ และพระชายา เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2457 ออสเตรียเรียกร้องให้เซอร์เบียรับผิดชอบ แต่ทางการเซอร์เบียเมินเฉย เป็นเหตุให้ออสเตรีย ประกาศสงครามกับเซอร์เบียทันที จนเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2461 ออสเตรีย ซึ่งมีเยอรมนี เข้าช่วย ได้แพ้สงครามในที่สุด องค์พระประมุของค์สุดท้ายของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี จักรพรรดิคาร์ลที่ 1 แห่งออสเตรีย ได้ทรงประกาศแยกออสเตรีย และฮังการีออกจากกัน ทำให้มีการล้มล้างจักรวรรดิ เป็นเหตุให้จักรวรรดิล่มสลายลงในที่สุด อย่างไรก็ตาม พระองค์ยังไม่ได้ทรงสละราชสมบัติ พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งออสเตรีย จวบจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2465
พระราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการีไร้อำนาจ และ แทบจะไร้ความหวังหวนคืนบัลลังก์โดยประชาชนที่ยังจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์ จนกระทั่งเมื่ออาร์ชดัชเชสอาเดลเลดแห่งออสเตรีย พระราชธิดาองค์โตในจักรพรรดิคาร์ล ได้ทรงเรียกร้องหวนคืนบัลลังก์ให้กับพระเชษฐาของพระองค์ ออทโท ฟอน ฮับส์บูร์ก ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์โตโดยทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาหลังจากที่พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ได้ทรงเรียกร้องหวนคืนบัลลังก์ออกทางสื่อต่างๆ ทำให้รัฐบาลออสเตรียและรัฐบาลฮังการีได้ร่วมมือกันประชุมหารือเรื่องการกลับมาของพระราชวงศ์ แต่การประชุมครั้งนี้ ยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัด เป็นเหตุให้ยุติการประชุมชั่วคราว
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 มีบุคคลบางกลุ่มได้จัดให้มีการชุมนุมเรียกร้องการฟื้นฟูสถาปนา พระราชวงศ์ออสเตรีย-ฮังการีขึ้น ณ กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เมื่อเวลา 9 นาฬิกา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกาที่กรุงเวียนนา ก็มีการชุมนุมเรียกร้องให้มีการฟื้นฟูสถาปนาพระราชวงศ์ให้กลับมาครองบัลลังก์ และยังเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในออสเตรีย และฮังการีอีกด้วย การชุมนุมนี้มีขึ้น ณ ใจกลางกรุงเวียนนา โดยมีหัวข้อชุมนุมเรียกร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า 89 Jahre Republik Sind Genug! แปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "89 Years are enough for the Republic" (แปล: "89 ปี...มากพอแล้วสำหรับการเป็นสาธารณรัฐ") การชุมนุมของบุคคลบางกลุ่มในทั้ง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีการประชุมอย่างเร่งด่วนในรัฐสภาทั้งในออสเตรียและฮังการี และประธานาธิบดีของทั้ง 2 ประเทศต่างได้หารือกันอีกด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏว่าการชุมนุมดังกล่าวส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมที่เป็นรูปธรรมใดๆ ทั้งสิ้น หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 3 ปีเศษภายหลังการชุมนุมดังกล่าว ทั้งสาธารณรัฐออสเตรียและฮังการีต่างยังคงยึดมั่นในระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยและสาธารณรัฐไว้ได้อย่างมั่นคง และไม่มีทีท่าว่าประเทศทั้งสองซึ่งต่างก็เป็นรัฐอธิปไตยโดยสมบูรณ์แล้ว จะหวนกลับมารวมกันเป็นประเทศเดียวกันอีกได้แต่ประการใด แม้จนกระทั่งเมื่อออทโท ฟอน ฮับสบูร์ก สิ้นพระชนม์ไปแล้วในปี พ.ศ. 2554 ก็ยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนว่า ทั้งออสเตรียและฮังการีจะสามารถหวนกลับไปสู่การปกครองระบอบราชาธิปไตยได้อีกเลย
จักรพรรดิคาร์ลที่ 6 มีแต่พระราชธิดา ก่อนหน้านี้ มีพระราชโอรส แต่ทรงสิ้นพระชนม์กะทันหัน พระองค์จึงทรงแต่งตั้ง สถาปนาพระราชธิดาองค์โตของพระองค์ อาร์ชดัชเชสมาเรีย เทเรซา ให้เป็นองค์รัชทายาททางพฤตินัย (Heiress Presumptive) โดยทรงออกพระราชกฤษฎีกาพิเศษ เพื่อรับรองให้พระบรมวงศานุวงศ์เพศหญิงสามารถขึ้นครองราชย์สมบัติได้ เมื่อจักรพรรดิคาร์ลเสด็จสวรรคต อาร์ชดัชเชสมาเรีย เทเรซาก็ได้ทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแห่งฮังการี และโบฮีเมีย ส่วนตำแหน่งองค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นั้น พระองค์ทรงอภิเษกสมรสกับดยุกฟรานซิสที่ 3 สตีเฟนแห่งลอแรน (Duke Francis III Stephen of Lorraine) หลังจากอภิเษกสมรส ก็ทรงสถาปนา แต่งตั้งพระราชสวามีเป็น จักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ให้พระราชสวามีเป็นองค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ แต่พระราชอำนาจ และการบริหารบ้านเมืองจะเป็นของจักรพรรดินีนาถแต่เพียงผู้เดียว หลังจากนั้น ทั้ง 2 พระองค์ได้ทรงร่วมกันก่อตั้งราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอแรนขึ้น (Habsburg-Lorraine) และมีพระบรมวงศานุวงศ์ได้ทรงดำรงอยู่ในราชสกุลนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน…
เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2349 จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกล้มล้างจากการรุกล้ำและรุกรานระบอบการเมืองการปกครองของนโปเลียน โบนาปาร์ต อย่างไรก็ตาม องค์พระประมุของค์สุดท้ายของจักรวรรดิจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 ทรงสูญเสียตำแหน่งจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไป พระองค์จึงทรงตั้งจักรวรรดิใหม่ คือ จักรวรรดิออสเตรีย และทรงแต่งตั้งพระราชอิสริยยศใหม่ทั้งหมด โดยพระองค์ทรงใช้พระยศในฐานะองค์พระประมุขแห่งจักรวรรดิใหม่ว่า จักรพรรดิแห่งออสเตรีย ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2347
ราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอแรน และราชสกุลฮับส์บูร์ก-โลทริงเงิน (Habsburg-Lorraine & Habsburg-Lothringen) อันที่จริงแล้วคือราชสกุลเดียวกัน จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟทรงแก้ไขกฎมณเฑียรบาลในเรื่องของการใช้ราชสกุล เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนทางด้านภาษา โดยให้มีการใช้ 2 ราชสกุลนี้สลับกันเป็นรุ่นๆ ตัวอย่างเช่น จักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟทรงดำรงอยู่ในราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอแรน ดังนั้น พระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ จะทรงดำรงอยู่ในราชสกุลฮับส์บูร์ก-โลทริงเงิน (เช่น อาร์ชดยุกรูดอล์ฟ มกุฎราชกุมารแห่งออสเตรีย-ฮังการี ซึ่งทรงอยู่ในราชสกุลฮับส์บูร์ก-โลทริงเงิน ดังนั้น พระธิดาของพระองค์ อาร์ชดัชเชสเอลิซาเบธ มารีจะทรงอยู่ในราชสกุลฮับส์บูร์ก-ลอแรน สลับกันไปเป็นรุ่นๆ)
จักรพรรดิคาร์ล ทรงถูกขับออกจากราชสมบัติจากหลังจากพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในพ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) แต่พระองค์ยังดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแต่เพียงในนามจนกระทั่งสวรรคต หลังจากสิ้นรัชกาลของพระองค์ พระราชโอรสองค์โตของพระองค์ อาร์ชดยุกออทโท เป็นผู้สืบราชสมบัติเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมายุเพียง 10 พรรษาเท่านั้น จักรพรรดินีซีต้า พระบรมราชชนนี จึงทรงเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตั้งแต่พ.ศ. 2465 – พ.ศ. 2473[ต้องการอ้างอิง] ในปัจจุบันออสเตรียเป็นสาธารณรัฐ ดังนั้นจึงไม่มีการสืบราชสมบัติอีก แต่ ออทโท ฟอน ฮับส์บูร์ก ประมุขแห่งราชวงศ์ ยังคงอ้างสิทธิ์ในราชบัลลังก์ออสเตรียต่อไป
ตั้งแต่รัชสมัยของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ราชอาณาจักรฮังการี ก็ได้ถูกผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิออสเตรียตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ก่อนหน้านี้ โบฮีเมีย ไม่ได้รวมกับจักรวรรดิ ตั้งแต่รัชสมัยของจักรพรรดินีนาถมาเรีย เทเรซา โบฮีเมียดู้กผนวกรวมเข้ากับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ก่อนที่พระเจ้ารูดอล์ฟที่ 1 แห่งเยอรมนี จะทรงดำรงตำแหน่งเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ประมุขแห่งราชวงศ์ฮับส์บูร์ก ได้ทรงดำรงตำแหน่งเป็น เคานต์แห่งฮับส์บูร์ก (Count of Habsburg) ปกครองดินแดนฮับส์บูร์กทางตอนเหนือ (ปัจจุบันคือทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนี และประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
เมื่อแผ่นดินฮับส์บูร์กถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน แผ่นดินฮับส์บูร์กฝั่งตะวันออกได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองใหม่ จากเคานต์เป็นดยุก โดยเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ดัชชีออสเตรีย (Duchy of Austria) ซึ่งในปัจจุบันคือรัฐโลเวอร์ ออสเตรีย และ ตางตะวันออกของรัฐอัปเปอร์ ออสเตรีย ประเทศออสเตรีย นอกจากนี้ แคว้นออสเตรีย ยังได้ผนวกดัชชีสติเรีย และ คารินเธีย รวมทั้ง คานิโอล่า และทิโรล รวมเข้ากับออสเตรียในพ.ศ. 1906
ต่อมา องค์พระประมุขของแผ่นดินฮับส์บูร์กฝั่งตะวันตกสวรรคต และไม่มีองค์รัชทายาท ดยุกแห่งออสเตรียจึงเข้าไปปกครองแผ่นดินทางตะวันตกแทน ซึ่งได้แก่ อัลเซส ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเยอรมนี รวมทั้งโวราร์ลเบิร์ก แต่สูญเสียดินแดนลุ่มแม่น้ำไรน์ และทะเลสาบคอนสแตนส์ เพื่อขยายแผ่นดินไปถึงสมาพันธรัฐสวิสเก่า (Old Swiss Confederacy) แต่ในที่สุด ก็สามารถปกครองแผ่นดินดังกล่าวจนถึงพ.ศ. 1922 หลังจากนั้น ก็ถูกปกครองในตำแหน่งใหม่คือ เคานต์แห่งทิโรล (Princely Count of Tyrol) ดังพระนามที่จะกล่าวด้านล่างนี้
หลังจากที่ดยุกรูดอล์ฟที่ 4 เสด็จสวรรคต พระอนุชาของพระองค์ ดยุกรูดอล์ฟที่ 3 และ ดยุกเลโอโปลด์ที่ 3 แห่งออสเตรีย ได้ทรงปกครองแผ่นดินฮับส์บูร์กด้วยกันตั้งแต่พ.ศ. 1908 – พ.ศ. 1922 (1365 – 1379) , ขณะที่ทรงราชย์ ได้มีการแยกแผ่นดินออกเป็น 2 อาณาจักรตามสนธิสัญญานอยเบิร์ก (Treaty of Neuberg) โดยดยุกอัลเบรชท์ทรงปกครองแคว้นออสเตรีย (ทำให้มีการก่อตั้งฮับส์บูร์กสายอัลเบอร์ไทน์ (Albertine Line) ส่วนดยุกเลโอโปลด์ได้ทรงปกครองแคว้นสติเรีย, คานิโอล่า, คารินเธีย, วินดิช มาร์ช, ทิโรล, และเฟอร์เธอร์ ออสเตรีย (ต่อมามีการก่อตั้งฮับส์บูร์กสายเลโอโปลด์ Leopoldine Line) …
เนื่องจากดยุกซีจิสมันด์ทรงไม่มีพระราชบุตรเลย และทรงรับจักรพรรดิมักซีมีเลียนที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นพระราชโอรสในจักรพรรดิฟรีดริชที่ 3 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์เป็นพระราชบุตรบุญธรรม เมื่อสิ้นรัชกาลของดยุกซีจิสมันด์แล้ว พระราชโอรสบุญธรรมก็ทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระราชบิดาบุญธรรมเป็นดยุก และเมื่อสิ้นรัชกาลจักรพรรดิ พระราชบิดาแล้ว พระองค์ก็ทรงสืบราชสมบัติเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ต่อ และในการที่พระองค์ทรงครองราชย์เป็นองค์พระประมุข 2 ประเทศนี่เอง จึงทรงรวมแผ่นดินฮับส์บูร์ก 2 ส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้งหนึ่ง โดยพระองค์ทรงแต่งตั้งพระองค์เองเป็นดยุกแห่งออสเตรียตั้งแต่พ.ศ. 2028 – พ.ศ. 2033
จักรพรรดิฟรันซ์ ซึ่งทรงเป็นแกรนด์ดยุกแห่งทัสกานี ได้ทรงมอบราชบัลลังก์ทัสกานีให้กับพระราชโอรสองค์โต อาร์ชดยุกเลโอโปลด์ ตั้งแต่บัดนั้น ราชรัฐทัสกานีได้อยู่ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ฮับส์บูร์ก จนถึงการรวมชาติอิตาลี
พระราชอิสริยยศแห่งออสเตรีย-เอสต์ (Austria-Este) เป็นพระราชอิสริยยศที่เกิดจากการอภิเษกสมรสของอาร์ชดยุกแฟร์ดีนันด์ คาร์ล พระราชโอรสในจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และจักรพรรดินีมาเรีย เทเรซา ที่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงมาเรีย เบียทริซ ริคคิอาร์ด้าแห่งเอสต์ องค์รัชทายาทหญิงแห่งแคว้นโมเดน่าและเรจจิโอ้ โดยหลังจากการอภิเษกสมรส มีการรวมพระราชอิสริยยศออสเตรีย และเอสต์ รวมเข้าไว้ด้วยกัน จึงได้มีการก่อตั้งราชสกุล หรือพระราชอิสริยยศออสเตรีย-เอสต์ขึ้น และได้มีพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ทรงดำรงพระราชอิสริยยศนี้ตั้งแต่บัดนั้น เป็นต้นมา…
แคว้นโมเดน่า ได้ปกครองโดยราชวงศ์ฮับส์บูร์ก หลังจากการประชุมที่เวียนนา มีมติให้ยกดินแดนโมเดน่าให้กับราชวงศ์ฮับส์บูร์ก โดยได้ปกครองจนถึงการรวมชาติอิตาลี
จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 แห่งฝรั่งเศส ได้ทรงเชื้อเชิญ อาร์ชดยุกแฟร์ดีนันด์ มักซีมีเลียน พระโอรสองค์รองในอาร์ชดยุกฟรันซ์ คาร์ลแห่งออสเตรีย และเป็นพระราชอนุชาในจักรพรรดิฟรันซ์ โยเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ให้ไปครองราชย์บัลลังก์อิมพีเรียลแห่งเม็กซิโก โดยครองบัลลังก์นี้ นำไปสู่การก่อตั้งจักรวรรดิเม็กซิโกที่ 2 พระองค์และพระชายา เจ้าหญิงชาร์ลอตแห่งเบลเยียม ได้รับการสถาปนาเป็น จักรพรรดิ และ จักรพรรดินีแห่งเม็กซิโก แต่ในขณะที่ทรงราชย์นั้น ไม่ค่อยราบรื่นดีนัก เพราะเนื่องจากมีผู้ที่ต่อต้านพระองค์อยู่มากมาย จนในที่สุด ก็ทรงถูกโค่นราชบัลลังก์ โดยคณะปฏิวัติสาธารณรัฐนิยม พระองค์ทรงถูกประหารชีวิตเมื่อพ.ศ. 2410 โดยผู้นำปฏิวัติเบนิโต ยัวเรซ (ภายหลังได้เป็นประธานาธิบดีแห่งเม็กซิโก) ส่วนจักรพรรดินีมเหสี ก็เสด็จอพยพกลับมาตุภูมิ
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ถึงศตวรรษที่ 18 ออสเตรียได้ส่งอาร์ชดัชเชสหลายพระองค์ไปอภิเษกสมรสกับพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส เพื่อผลประโยชน์ทางการทูต และพันธมิตรระหว่าง 2 ประเทศ โดยเฉพาะในรัชสมัยของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 2 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้มีพระบรมราชโองการให้พระราชธิดาองค์โตของพระองค์ อาร์ชดัชเชสมารี หลุยส์ ให้ไปอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 แห่งฝรั่งเศส เพื่อรักษาสมดุลในจักรวรรดิ หลังจากที่นโปเลียนได้รุกรานออสเตรีย และได้ยุบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ลง
หลังจากนโปเลียนถูกขับออกจากราชบัลลังก์ พระองค์ก็เสด็จกลับกรุงเวียนนา และนอกจากพระองค์ทรงเป็นจักรพรรดินีมเหสีแห่งฝรั่งเศสแล้ว พระองค์ยังทรงเป็นดัชเชสแห่งปาร์มาด้วย (Duchess of Parma) โดยแคว้นปาร์มาได้ถูกโอนให้เป็นแผ่นดินของราชวงศ์ฮับส์บูร์กหลังจากการประชุมที่เวียนนา (Congress of Vienna) แต่อยู่ได้ไม่นานก็ถูกผนวกเข้ากับราชอาณาจักรอิตาลี
อ้างอิงผิดพลาด: มีป้ายระบุ <ref> สำหรับกลุ่มชื่อ "note" แต่ไม่พบป้ายระบุ <references group="note"/> ที่สอดคล้องกัน หรือไม่มีการปิด </ref>