รถบ้าน (อังกฤษ: Recreational vehicle: RV) เป็นรถที่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราวได้ และเวลาไปเที่ยวที่ไหนก็อาจขับรถบ้านไปได้โดยเราไม่จำเป็นต้องพักโรงแรมหรือกางเต็นท์ รถบ้านโดยส่วนมากจะเป็นรถตู้, รถบัส หรือรถกระบะดัดแปลง
ในอเมริกาเหนือและสหราชอาณาจักรรถบ้านโดยทั่วไปมักหมายถึงยานยนตร์ที่ประกอบด้วยบริเวณที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยที่มีอุปกรณ์ต่างๆ ที่คล้ายคลึงกับที่มีในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ที่มักจะรวมทั้งครัว, ห้องน้ำ, บริเวณที่ใช้หลับนอน และ บริเวณที่ใช้นั่งเล่น พักผ่อน และรับประทานอาหาร ในประเทศอื่นอาจจะใช้คำว่า “รถคาราวาน” หรือคำว่า “รถแคมพ์” (Campervan) มากกว่า และตัวรถที่เป็นรถบ้านก็แตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้วรถบ้านในประเทศอื่นๆ จะมีขนาดย่อมกว่าที่ใช้กันในสหรัฐอเมริกา
วัตถุประสงค์ของรถบ้านมีด้วยกันหลายประการ ตั้งแต่ใช้ในการท่องเที่ยวพักผ่อนระยะสั้น ไปจนถึงการเป็นที่อยู่อาศัยอย่างถาวร ในกรณีหลังนี้ก็มักจะจอดตามสถานที่เฉพาะกิจที่เรียกว่า “Trailer park” (ซึ่งต่างกับที่จอดรถบ้านประเภทอื่น) นอกจากการเป็นเจ้าของรถบ้านเองแล้ว รถบ้านก็มีบริการให้เช่าในประเทศต่างๆ ทั่วโลก นอกจากจะใช้สำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อนแล้ว รถบ้านก็ยอาจจะใช้สำหรับสำนักงานเคลื่อนที่สำหรับนักธุรกิจหรือผู้ประกอบการที่จำเป็นต้องเดินทางบ่อยครั้ง รถประเภทหลังนี้ผู้เป็นเจ้าของอาจจะสั่งสร้างพิเศษ เช่นมีห้องทำงาน, เพิ่มระบบไฟฟ้าให้มีพลังสำหรับการใช้สอยเพิ่มขึ้น, ติดตั้งระบบอินเทอร์เน็ตที่ใช้ดาวเทียมเป็นต้น
พจนานุกรมสมัยใหม่ให้ความหมายของคำว่า “คาราวาน” ว่าคือ “รถแคมพ์ที่มีอุปกรณ์สำหรับการใช้เป็นที่อยู่อาศัย” และให้ความหมายของคำว่า “รถแคมพ์” ว่าคือ “รถที่ใช้ในการบันเทิงที่ประกอบด้วยอุปกรณ์สำหรับการใช้เป็นแคมพ์ระหว่างการเดินทาง” รถบ้านเมื่อแรกเริ่มเป็นรถที่ออกแบบเพื่อใช้เฉพาะกิจ มิใช้เพื่อการบันเทิง เช่นใช้เป็นที่อยู่อาศัยสำหรับศิลปินที่ต้องเดินทางเพื่อหาผู้ชมงาน, สำหรับลูกจ้างผู้จำเป็นต้องเดินทางไปทำงานกับนายจ้างที่อยู่ห่างไกล หรือในการเดินทางไปยังที่อยู่อาศัยไหม่ที่ตั้งอยู่ไกลออกไป
ในยุโรป รถเกวียน (wagon) ที่สร้างสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยที่มิใช่เป็นแต่เพียงเพื่อการบรรทุกผู้โดยสารหรือสินค้า วิวัฒนาการขึ้นในฝรั่งเศสราวปี ค.ศ. 1810 รถประเภทนี้นำมาใช้ในอังกฤษสำหรับคณะละครสัตว์มาตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1820 แต่ยิบซีเพิ่งเริ่มมาใช้คาราวานเป็นที่อยู่อาศัยมาตั้งแต่ราวคริสต์ทศวรรษ 1850
รถเกวียนปิดประทุน (Covered wagon) ที่เป็นพาหนะที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกทางตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือโดยชนผิวขาวตั้งแต่ราวปี ค.ศ. 1745 ก็เป็นรถบ้านประเภทหนึ่ง รถเกวียนปิดประทุนที่พร้อมสรรพก็จะมีบริเวณสำหรับเป็นที่อยู่อาศัย ในขณะเดียวกันก็เป็นพาหนะสำหรับการโยกย้ายและขนสเบียงและเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ไปด้วยในตัว
ในแคนาดารถบ้านสมัยแรกสร้างจากโครงรถหรือรถบรรทุกราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1910 เมื่อมาถึงคริสต์ทศวรรษ 1920 อุตสาหกรรมการผลิตรถบ้านก็มั่นคงขึ้นในสหรัฐอเมริกา แม้ว่าถนนหนทางและที่จอดยังไม่ดีเท่าที่ควรก็ตาม
ในออสเตรเลียรถบ้านคันแรกที่สุดสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1929 ที่ในปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กูลวา รถคันนี้ได้รับการับรองจากทั้งพิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งออสเตรเลีย และพิพิธภัณฑ์ยานยนตร์แห่งชาติแห่งออสเตรเลียว่าเป็นรถบ้านคันแรกของออสเตรเลีย
ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 จนถึงต้นคริสต์ทศวรรษ 1960 กลุ่มผู้บำรุงรักษาและดูแลรถไฟในออสเตรเลียใต้ที่ทำงานห่างไกลออกไปและต้องพำนักอาศัย ณ ที่ปฏิบัติงานพำนักอาศัยในรถบ้านที่สร้างโดยบริษัทรถไปแทนที่จะอยู่ในเต็นท์เช่นที่เคยเป็นมา รถบ้านดังกล่าวสร้างจากตู้รถไฟขนาดสั้นที่ยาวราว 6.1 เมตร และมีล้อที่ทำด้วยไม้และยางที่ตันและและลูกลื่น
ในสหรัฐอเมริกาอุตสาหกรรมการสร้างรถบ้านสมัยใหม่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายคริสต์ทศวรรษ 1920 ถึง 1930 (ไม่นานหลังจากการเริ่มอุตสาหกรรมการสร้างรถยนต์) ที่เริ่มจากการสร้าง “บ้านเคลื่อนที่” (House trailer หรือ trailer coach) กิจการในสมัยแรกเป็นธุรกิจขนาดย่อมที่สร้างกันในโรงรถ หรือสนามหลังบ้าน เมื่อมาถึงคริสต์ทศวรรษ 1950 กิจการการสร้างบ้านเคลื่อนที่ก็เริ่มขยายตัวขึ้น บ้านเคลื่อนที่ที่สร้างขึ้นก็มีขนาดใหญ่ขึ้น และกลายมาเป็นกิจการที่แยกเป็นอิสระจากการสร้างรถบ้าน ระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1950 ผู้สร้างรถพ่วงก็เริ่มสร้างรถบ้านที่เป็นพาหนะที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้และสามารถเคลื่อนย้ายด้วยตนเองได้
อย่างน้อยที่สุดตัวรถบ้านก็จะประกอบด้วยเตียง, โต๊ะ, บริเวณสำหรับประกอบอาหาร และ บริเวณที่ใช้สำหรับเก็บของ รถบ้านที่มีขนาดใหญ่ก็อาจจะมีห้องน้ำเต็มตัว, ตู้เย็น, บริเวณสำหรับพักผ่อนและนั่งเล่น, ห้องนอนเอก และอื่นๆ รถบ้านบางคันก็อาจจะมีระบบอินเทอร์เน็ต และ/หรือโทรทัศน์ที่ใช้ดาวเทียม, ด้านข้างตัวรถที่เลื่อนให้กว้างออกไปได้เมื่อจอด, ผ้าใบที่กางออกมาจากข้างรถที่ใช้ในการหลบแดดหลบฝน, แกนที่ใช้สำหรับลากรถขนาดเล็ก และ ถ้าคันที่มีขนาดใหญ่จริงๆ ก็อาจจะบรรจุรถขนาดเล็กไว้ภายในได้ ราคารถบ้านก็อาจจะเริ่มตั้งแต่ 10,000 ไปจนถึงกว่า 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ เช่นรถเทอร์ราวินด์ที่มีราคาตั้งแต่ 800,000 ดอลลาร์สหรัฐ
นอกจากรถบ้านที่สร้างโดยโรงงานแล้ว ก็ยังมีนักนิยมรถบ้านที่ประกอบรถบ้านด้วยตนเองจากรถ, รถแวน, รถรับส่งนักเรียน, รถประจำทาง และรถบรรทุก
ผู้ใช้รถบ้านก็อาจจะจอดรถได้ตามแค็มพ์จอดรถบ้าน (RV par หรือ Campsite) ที่ส่วนใหญ่จะมีไฟฟ้า, น้ำ และ ระบบทิ้งของเสีย รวมทั้งโทรทัศน์เคเบิล และอินเทอร์เน็ตไร้สาย นอกจากนั้นที่จอดรถบ้านก็อาจจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกหรือสร้างความบันเทิงอื่นๆ เช่นสระว่ายน้ำ ห้องกีฬา ร้านขายอาหาร ภัตตาคาร
แค็มพ์จอดรถบ้านบางแห่งก็อาจจะเป็นเพียงที่จอดรถโดยไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นใด ในสหราชอาณาจักรและยุโรปนอกไปจากแค็มพ์จอดรถบ้านแล้วที่จอดรถบ้านก็อาจจะเป็นเพียงบริการส่วนบุคคลขนาดเล็ก ที่เจ้าของกิจการที่อาจจะเป็นเจ้าของบ้าน ฟาร์ม หรือภัตตาคารมีที่ให้รถบ้านจอดสองสามคันเพื่อหารายได้พิเศษ ที่จอดประเภทนี้จะมีราคาต่ำกว่าที่จอดรถบ้านที่เป็นทางการ และมักจะไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้
นอกไปจากแค็มพ์จอดรถบ้านอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ละประเทศก็มีกฎเกี่ยวกับการอนุญาตหรือการไม่อนุญาตให้จอดที่แตกต่างกันไป เช่นในสหรัฐอเมริการถบ้านอาจจะจอดตามอุทยานท้องถิ่น, อุทยานแห่งรัฐ และอุทยานแห่งชาติได้กรมป่าไม้แห่งสหรัฐอเมริกา และ กรมการบริหารที่ดินแห่งสหรัฐอเมริกาต่างก็มีบริการที่จอดรถบ้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
ในฝรั่งเศส, เยอรมนี และ อิตาลี (อังกฤษ: Stopover, ฝรั่งเศส: Aire de service, เยอรมัน: Stellplatz, อิตาลี: Aree di Sosta) มีระบบเครือข่ายของการบริการจอดรถบ้านที่นอกเหนือไปจากที่จอดรถบ้านที่เป็นแค็มพ์อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ ลานจอดรถบ้านสาธารณะนอกแค็มพ์นี้ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ติดกับหมู่บ้านหรือเมือง หรืออาจจะอยู่กลางเมือง ลานที่จอดอาจจะเป็นลานจอดรถทั่วไปของตัวเมือง ลานจอดรถของคริสต์ศาสนสถาน สถานีตำรวจ ตึกเทศบาลเมือง ซูเปอร์มาร์เก็ต และอื่นๆ ที่มีป้ายกำหนด จำนวนรถที่ให้จอดก็มีตั้งแต่สำหรับคันเดียวไปจนถึง สามถึงสี่สิบคันแล้วแต่ความนิยมของเมือง ราคาก็ตั้งแต่ไม่คิดไปจนถึงราว 3 ถึง 5 ยูโรโดยเฉลี่ย บริการก็จะมีตั้งแต่เป็นเพียงที่จอดรถเท่านั้น บางครั้งก็อาจจะมีไฟฟ้า, น้ำประปา และ ที่ทิ้งของเสียด้วย วัตถุประสงค์ของที่จอดรถประเภทนี้ก็เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กระจายกันไปในท้องถิ่น ดึงดูดลูกค้า และ เป็นการบริการสาธารณะโดยทั่วไป เช่นบริการลานจอดรถบ้านตามริมฝั่งทะเลทางตอนเหนือของฝรั่งเศส
การจอดรถประเภทที่นอกเหนือไปจากแบบต่างๆ ดังกล่าวก็ได้แก่ การจอดรถแบบ “ค่ำไหนนอนนั่น” ที่เรียกว่า “boondocking” ในสหรัฐอเมริกา หรือ “Wildcamping” ในสหราชอาณาจักร การจอดดังกล่าวก็มิใช่ว่าจะจอดกันพร่ำเพรื่อ แต่จะมี “แนวปฏิบัติ” ที่ใช้กันเช่นไม่จอดหน้าบ้านใคร รักษาความสะอาด ไม่ทำเกลื่อนกลาด หรือ จอดเพียงคืนเดียวเป็นต้น
การใช้รถบ้านมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือความสามารถในการนำความสะดวกสบายของบ้านตามไปกับการท่องเที่ยว, ความเป็นอิสระในการท่องเที่ยว จากการสามารถที่จะเดินทางไปยังสถานที่ไกลออกไปจากการบริการขนส่งสาธารณะ, การหยุดพักระหว่างทางเพื่อรับประทานอาหาร ยืดแข้งยืดขา เข้าห้องน้ำเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายโดยเฉพาะในบริเวณที่ห่างไกลผู้คนและขาดการบริการ, ความมีอิสระจากการผูกพันกับการจองโรงแรม การจัดกระเป๋าและการย้ายโรงแรมทุกวันสองวัน และ การเข้าการออกตามกฎของโรงแรมโดยเฉพาะเมื่องเดินทางในฝรั่งเศส, เยอรมนี และ อิตาลี, การลดค่าใช้จ่ายจากการทำอาหารเอง และจากค่าที่พัก
ข้อเสียคือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำมัน สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับความเป็นอยู่ในบ้านกว้างๆ อาจจะพบว่าการอาศัยอยู่ในรถบ้านมีความรู้สึกเหมือนถูกบีบ และขนาดของรถถ้าใหญ่นักก็ไม่อาจจะเดินทางซอกแซกได้โดยเฉพาะในยุโรป แต่รถบ้านขนาดสั้นกว่า 7 เมตร และ น้ำหนักต่ำกว่า 3,500 กิโลกรัมจะท่องเที่ยวได้โดยทั่วไปในยุโรปโดยไม่มีปัญหา
โดยทั่วไปแล้วสามัญทัศน์ของบุคคลภายนอกที่มีต่อผู้ใช้ชีวิตในรถบ้านเต็มเวลาจะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีฐานะยากจนและไม่มีรายได้พอที่จะมีบ้านเป็นของตนเอง แต่อันที่จริงแล้วก็มีผู้คนมากขึ้นทุกทีที่ตัดสินใจขายบ้าน และหันมาเลือกการใช้ชีวิตพำนักอาศัยในรถบ้านอย่างถาวร ทั้งที่ค่าใช้จ่ายก็มิได้ถูกกว่าการมีบ้านเรือนเป็นของตนเอง บ้างก็มีทั้งบ้านและรถบ้าน ส่วนใหญ่แล้วการตัดสินใจที่จะพำนักอาศัยในรถบ้านอย่างถาวรนั้นเป็นการตัดสินใจที่มีสาเหตุมาจากการเลือกวิถีชีวิตที่ต้องการ มากกว่าที่จะมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ
นอกจากการเลือกใช้ชีวิตดังกล่าวแล้ว รถบ้านแบบพ่วงก็ยังใช้เป็นที่พำนักชั่วคราวของผู้ที่ต้องทำงานห่างไกลจากบ้านเรือนของตนเองเป็นระยะยาว, ผู้ที่เดินทางทำธุรกิจ หรือผู้ไม่มีที่อยู่อาศัยเนื่องมาจากภัยธรรมชาติ
ผู้ใช้รถบ้านอย่างถาวรหรือเกือบถาวรประกอบด้วยผู้ที่มีความสนใจในการท่องเที่ยวหรือเดินทาง แทนที่จะอยู่เป็นที่เป็นทาง บ้างก็อาจจะเดินทางลงไปยังบริเวณที่มีอากาศร้อนระหว่างฤดูหนาวและเดินทางกลับถิ่นฐานเมื่ออากาศอุ่นขึ้น ในสหรัฐอเมริกาผู้ที่ใช้ชีวิตประเภทนี้เรียกกันว่า “Snowbird” ในออสเตรเลียนักเดินทางผู้สูงอายุผู้ปลดเกษียณแล้วเรียกกันว่า “grey nomad” (ชนร่อนเร่หัวขาว)
ในปัจจุบันนอกไปจากผู้สูงอายุแล้วหนุ่มสาวหรือคนวัยกลางคนก็เริ่มหันมาสนใจในการดำรงชีวิตแบบเร่ร่อนโดยใช้รถบ้านกันมากขึ้นที่เรียกกันว่า “fulltimer” หรือ “H.O.W.” (Houses On Wheels-บ้านบนล้อ) ความก้าวหน้าในด้านการโทรคมนาคม และ การติดต่อสื่อสารทางไกลกับสำนักงานผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องที่ทำกันได้อย่างง่ายดาย ก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความจำเป็นในการอยู่เป็นที่เป็นทางลดถอยลง ซึ่งทำให้การใช้ชีวิตอย่างเร่ร่อนทำได้ง่ายขึ้น