นักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ (ฝรั่งเศส: Martin de Tours; อังกฤษ: Martin of Tours; ละติน: Martinus) เกิดราวปี ค.ศ. 316 หรือ 317 ที่เมืองโซมบอตเฮในประเทศฮังการีปัจจุบัน และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนปี ค.ศ. 397 ที่เมืองก็องเด-แซ็ง-มาร์แต็ง เป็นอดีตบิชอปแห่งตูร์ ซึ่งเป็นเมืองที่นักแสวงบุญที่เดินทางไปซานเตียโกเดกอมโปสเตลา ประเทศสเปนนิยมหยุดพัก ตำนานเกี่ยวกับนักบุญมาร์แต็งมึด้วยกันหลายเรื่องจนเป็นนักบุญองค์หนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีในนิกายโรมันคาทอลิก ตำนานบางอย่างก็ถูกบันทึกลงใน “vita” หรือชีวประวัติของนักบุญเพื่อเพิ่มความน่าเลื่อมใสในลัทธิบูชานักบุญมาร์แต็ง ชีวประวัติของท่านถูกบันทึกโดยซุลพิเชียส เซเวรุส (Sulpicius Severus) ผู้เป็นนักเขียนชีวประวัตินักบุญ มาร์แต็งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ประเทศฝรั่งเศสและทหาร
ชื่อของนักบุญมาร์แต็งตั้งตาม “Mars” คือเทพเจ้าแห่งสงครามซึ่งเป็นเทพเจ้าโรมัน ซึ่งซุลพิเชียส เซเวรุสตีความหมายว่า “ผู้กล้าหาญ” นักบุญมาร์แต็งเกิดที่เมืองซาวาเรีย บริเวณแพนโนเนีย ในประเทศฮังการีในปัจจุบัน พ่อของมาร์แต็งเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นสูงทหารม้ารักษาพระองค์ซึ่งเป็นหน่วยหนึ่งของกองทัพจักรวรรดิโรมัน ซึ่งต่อมาถูกส่งตัวไปประจำการที่ทิซินุม (Ticinum) ในปัจจุบันคือบริเวณปาเวีย (Pavia) ในประเทศอิตาลีซึ่งเป็นที่ที่มาร์ตินเติบโต
พออายุได้ 10 ขวบมาร์ตินก็ไปโบสถ์ทั้ง ๆ ที่ขัดกับความประสงค์ของพ่อแม่ เมื่อปี ค.ศ. 316 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจักรวรรดิโรมันแล้ว แต่ยังไม่เป็นศาสนาที่เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายเท่าทางจักรวรรดิไบแซนไทน์ การเผยแพร่ศาสนาทางจักรวรรดิโรมันตะวันตกก็มากับชาวยิวและชาวกรีกที่เข้ารึตที่มาทำการค้าขาย แต่ศาสนาคริสต์ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันในหมู่ชาวโรมันชั้นสูงและในบรรดาทหาร ซึ่งจะนิยมบูชา “ไมทรัส” มากกว่า ถึงแม้ว่าจักรพรรดิคอนแสตนตินที่ 1 เองจะทรงเปลี่ยนมานับถือคริสต์ศาสนาและทรงสนับสนุนการสร้างโบสถ์โดยทั่วไปเพื่อเผยแพร่ศาสนา แต่คริสต์ศาสนาในขณะนั้นก็ยังเป็นศาสนาที่นับถือกันในกลุ่มของชนส่วนน้อย เมื่ออายุได้สิบห้าปีมาร์แต็งก็ต้องเข้าเป็นทหารม้าเพราะพ่อเคยรับราชการมาก่อนและถูกส่งตัวไป “Ambianensium civitas” ซึ่งในปัจจุบันคือเมืองอาเมียงในประเทศฝรั่งเศส
ขณะที่มาร์แต็งยังเป็นทหารอยู่ที่เมืองอาเมียงท่านเห็นนิมิตชีวิตของตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ภาพที่เห็นคือท่านจะยืนอยู่หน้าประตูเมืองอาเมียงกับทหารเมื่อท่านเห็นขอทาน ท่านก็ตัดสินใจทันทีโดยตัดเสื้อคลุมทหารที่ท่านใส่อยู่เป็นครึ่งแล้วยกครึ่งหนึ่งให้กับขอทาน พอตกกลางคืนท่านก็ฝันเห็นพระเยซูใส่เสื้อคลุมครึ่งตัวที่ท่านตัดให้ขอทาน และได้ยินพระเยซูกล่าวกับทูตสวรรค์ว่า “นี่คือมาร์แต็ง ทหารโรมันผู้ที่ยังมิได้รับบัพติศมา เขาให้เสื้อฉันใส่” อีกเรื่องหนึ่งกล่าวว่าเมื่อมาร์แต็งตื่นขึ้นมาเสื้อที่ตัดไปกลับมาเป็นเสื้อคลุมเต็มตัวตามเดิม เสื้อคลุมศักดิ์สิทธิ์ตัวนี้ก็เก็บรักษาไว้เป็นส่วนหนึ่งของสมบัตืเรลิกของพระเจ้าแผ่นดินราชวงศ์เมรอแว็งเฌียงซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ของชาวแฟรงก์ต่อมา
ความฝันทำให้มาร์แต็งรู้ตัวว่าตนเองเป็นผู้มีความมีศรัทธาแก่กล้าต่อคริสต์ศาสนา จึงเข้าพิธีบัพติศมาเมื่ออายุได้ 18 ปี มาร์ตินเป็นทหารต่อมาอีกสองปีจนกระทั่งเกิดสงครามกับพวกกอล ที่เมืองเวิร์มส์ในประเทศเยอรมนีเมื่อ ค.ศ. 336 มาร์ตินก็ไม่ยอมต่อสู้เพราะมีความเชื่อว่าความเชื่อในคริสต์ศาสนาเป็นการยับยังไม่ให้ต่อสู้ มา มาร์ตินกล่าวว่า “ข้าเป็นทหารของพระเยซู ข้าไม่สามารถทำการต่อสู้ได้” มาร์ตินจึงถูกกล่าวหาว่าขึ้ขลาดและถูกจำคุกแต่เพี่อเป็นการแสดงว่าท่านมืได้มีความขี้ขลาดอย่างที่ถูกกล่าวหา ท่านก็ทรงอาสาออกไปปรากฏตัวต่อหน้าศัตรูโดยไม่พกอาวุธ นายทหารก็เกือบจะให้นักบุญมาร์แต็งทำอย่างที่อาสา แต่ข้าศึกก็มาขอสงบศึกเสียก่อนที่มาร์ตินจะได้แสดงความกล้าหาญอย่างที่กล่าว หลังจากนั้นมาร์ตินก็ถูกปลดประจำการ
หลังจากนั้นมาร์แต็งก็ประกาศตนเป็นคริสต์ศาสนิกชนและเดินทางไปเมืองตูร์เพื่อไปเป็นสาวกของนักบุญอีแลร์แห่งปัวตีเยผู้เป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีตรีเอกภาพ (Trinitarian) และเป็นปฏิปักษ์ต่อปรัชญาทวิเอกภาพนิยมหรือลัทธิเอเรียสของขุนนางชาววิซิกอท เมื่อนักบุญอีแลร์ถูกขับออกจากเมืองปัวตีเย มาร์แต็งก็กลับไปอิตาลี ระหว่างทางนักบุญมาร์แต็งก็ชักชวนคนเข้ารีตไปด้วยตามคำของซุลพิเชียส เซเวรุส ขณะเดียวกันก็ผจญปีศาจ เมื่อกลับมาจากอิลลิเรีย (Illyria) ซึ่งอยู่ในบริเวณคาบสมุทรบัลคานในปัจจุบันนักบุญมาร์แต็งก็ต้องเผชิญหน้ากับอ็อกเซ็นเทียส (Auxentius) อาร์ชบิชอปแห่งมิลาน ผู้นับถือลัทธิเอเรียสไล่มาร์แต็งออกจากเมือง ตามตำนานก็ว่ามาร์แต็งไปหาที่หลบภัยที่เกาะกาลลินาเรีย (Gallinaria) ซึ่งปัจจุบันคือเกาะอัลเบนยา (Isola d'Albenga) ในทะเลติร์เรเนียน ที่ที่มาร์แต็งใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
เมื่อนักบุญอีแลร์แห่งปัวตีเยกลับมาเมื่อ ค.ศ. 361 ก็ร่วมกับมาร์ตินสร้างอารามลิกูเฌของคณะเบเนดิกติน ซึ่งกลายมาเป็นสถานที่สำคัญในการสอนศาสนาของบริเวณนั้น นักบุญมาร์ตินก็เดินทางไปทั้งด้านตะวันตกของกอลเพื่อเผยแพร่ศาสนา “รายละเอียดของการเดินทางเผยแพร่ศาสนายังเหลือให้เราทราบตามตำนานที่มาร์ตินเป็นผู้มีบทบาทซึ่งทำให้เราเห็นแผนการเดินทางอย่างคร่าว ๆ ” (Catholic Encyclopedia)
เมื่อปี ค.ศ. 371 มาร์แต็งก็เป็นบิชอปของตูร์ ผู้ซึ่งมีบทบาทในการสั่งให้ทำลายและเผาวิหารของต่างศาสนา การกระทำเช่นนี้ทำให้เราเห็นภาพว่าวัฒนธรรมดรูอิดยังมีรากฐานลึกกว่าวัฒนธรรมของโรมันที่มีเพียงผิวเผิน เช่นเมื่อนักบุญมาร์แต็งสั่งให้ทำลายวิหารโบราณของดรูอิดซึ่งอยู่กลางดงสน เมื่อทำลายโบสถ์ชาวบ้านก็มิได้ต่อต้านมากเท่าใด แต่เมื่อนักบุญมาร์แต็นสั่งให้ตัดต้นไม้ชาวบ้านก็ประท้วงกัน (ซุลพิเชียส, “Vita” บทที่ xiii) ซุลพิเชียสกล่าวว่าหลังจากนั้นมาร์ตินก็ไปเมืองมาร์มูเตียร์ ซึ่งเป็นอารามที่มาร์ตินตั้งขึ้นอยู่บนฝั่งตรงข้ามกับเมืองตูร์ จากที่นี่มาร์ตินก็เริ่มระบบโบสถ์ประจำท้องถิ่นอย่างคร่าว ๆ