มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (อังกฤษ: University of Cambridge)[note 1] เป็นสถาบันอุดมศึกษาขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ในสหราชอาณาจักร มีความเก่าแก่เป็นอันดับที่สองของสหราชอาณาจักร ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 1752 โดยมหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งก่อนหน้านั้นคือ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด นอกจากนี้ยังเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของโลกและยังเปิดดำเนินการอยู่อีกด้วย มหาวิทยาลัยก่อกำเนิดจากคณาจารย์และนักวิจัยของมหาวิทยาลัยซึ่งขัดแย้งกับชาวบ้านที่เมืองอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดมักได้รับการจัดลำดับแรก ๆ ของการจัดอันดับโดยสำนักต่าง ๆ จนมีการเรียกรวมกันว่า อ๊อกซบริดจ์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นมหาวิทยาลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุด ในบรรดามหาวิทยาลัยทั้งหลายในโลก กล่าวคือ 81 รางวัล
นักศึกษาและคณาจารย์ของมหาวิทยาลัย จะถูกจัดให้สังกัดแต่ละคณะอาศัย (College)[note 2] จำนวนทั้งสิ้น 31 แห่ง โดยคละกันมาจากคณะวิชา 6 คณะ โดยคณะอาศัยแต่ละแห่งอาศัยบริหารงานอย่างเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ลักษณะการบริหารเช่นนี้มีให้เห็นในมหาวิทยาลัยเคนต์ และมหาวิทยาลัยเดอแรม อาคารต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัยเป็นอาคารแทรกตัวตามร้านรวงในเมือง แทนที่จะเป็นกลุ่มอาคารในพื้นที่ของตนเองเช่นมหาวิทยาลัยยุคใหม่ อาคารเหล่านั้นบางหลังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างมาก มหาวิทยาลัยจัดให้มีสำนักพิมพ์เป็นของตนเอง ซึ่งถือเป็นสำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองของโลกที่สังกัดมหาวิทยาลัย นอกจากนี้มหาวิทยาลัยยังมีห้องสมุดขนาดใหญ่อีกด้วย
ในปี ค.ศ. 1209 ผู้ก่อตั้งเป็นกลุ่มคณาจารย์และนักศึกษาที่ย้ายมาจาก มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ตำนานกล่าวว่าเดิมทีอาจารย์ในมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดเกิดข้อพิพาทกับเมืองอ๊อกซฟอร์ดอย่างรุนแรง ด้วยสาเหตุที่มีโสเภณีนางหนึ่งถูกฆาตกรรม เมืองอ๊อกซฟอร์ดตัดสินแขวนคออาจารย์ซึ่งเป็นสมาชิกของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ด้วยเหตุที่สมัยก่อนมหาวิทยาลัยกับเมืองนั้นค่อนข้างมีอิสระต่อกัน ดังนั้นคณาจารย์ของอ๊อกซฟอร์ดจึงไม่พอใจการตัดสินของเมืองอย่างมากเพราะถือว่าการกระทำของอาจารย์ควรจะอยู่ภายใต้การตัดสินของมหาวิทยาลัย คณาจารย์กลุ่มหนึ่งจึงประท้วงโดยแยกตัวออกไปจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดบ้างก็ไปที่เมืองเรดดิ้ง บ้างก็ไปที่ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งริมฝั่ง แม่น้ำแคม แล้วรวมตัวกันสอนจนเกิดเป็นมหาวิทยาลัยขึ้นมา มหาวิทยาลัยมีคอลเลจซึ่งเรียกได้ว่าเป็นบ้านซึ่งไม่เหมือนวิทยาลัยในความเข้าใจโดยทั่วไป คอลเลจแห่งแรกของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ซึ่งให้ความสะดวกด้านที่พักและกิจกรรมปฏิสัมพันธ์ในหมู่นักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยสถานเรียกว่า Peterhouse ซึ่ง ระบบการเรียนการสอนของเคมบริดจ์คล้ายกับของมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด นักศึกษาและครูอาจารย์ของสองมหาวิทยาลัยนี้เรียกรวมๆ ว่า อ๊อกซบริดจ์
ต่อมา เคมบริดจ์ได้ขยายตัวและรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นจึงมีการจัดตั้งคอลเลจเพิ่มขึ้น จนปัจจุบัน มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ประกอบด้วย 31 คอลเลจ ระบบคอลเลจนี้มีลักษณะคล้ายบ้านของนักเรียนในหนังสือ แฮรี่ พอตเตอร์ คือ พอเข้าอาศัยที่ไหนแล้วก็ไม่เปลี่ยนและเป็นสมาชิกตลอดชีพ (ยกเว้นตอนเปลี่ยนระดับการศึกษา อาจขอเปลี่ยนได้) แม้นักเรียนจากแต่ละคอลเลจจะไปเรียนร่วมกันในคณะ/สาขาต่างๆ แต่จะมีระบบติว (supervision) แยกจากกันซึ่งจัดการโดยคอลเลจ นักเรียนแต่ละคอลเลจจะแข่งขันกัน ทั้งด้านการเรียน และกิจกรรม, ทุกคอลเลจจะมีประเพณีของตัวเอง มีประวัติศาสตร์เก่าแก่ของตัวเอง มีสีและสัญลักษณ์ของตัวเอง และ มีทรัพย์สินอาคารบ้านเรือนของตัวเอง (เช่น สระว่ายน้ำ สนามสควอช ที่ให้เช่าริมฝั่งแม่น้ำ Thame หอศิลป์ โบสถ์ อาคารธุรกิจ หุ้นในประเทศต่าง ๆ ฯลฯ) ดังนั้น คอลเลจของเคมบริดจ์หลาย ๆ แห่ง จึงมีฐานะร่ำรวย และชอบที่จะแข่งขันกันว่าใครจะให้ความสะดวกแก่เด็กตัวเองได้มากกว่ากัน หรือจ้างอาจารย์หรือ Fellow ที่มีชื่อเสียงมาเป็นที่ปรึกษาด้านวิชาการให้คอลเลจของตน อาจารย์มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ส่วนใหญ่ก็จะมีคอลเลจสังกัด แต่เวลาสอน ก็สอนเด็กทุกวิทยาลัย ฐานะทางการเงินของคอลเลจนี้จะตรงข้ามกับตัวมหาวิทยาลัย ที่ยังต้องพึ่งพิงรายได้จากรัฐ และค่าเล่าเรียนจากนักเรียน
มหาวิทยาลัยแบ่งส่วนงานทางวิชาการออกเป็นทั้งสิ้น 6 คณะ (school) แต่ละคณะมีมีภาควิชา (faculty) และแขนงวิชา (department หรือ division) ทั้งหมดนี้ให้บริการในด้านการเรียนการสอนและวิจัย คณะวิชาของมหาวิทยาลัยมีดังนี้[note 3]
มหาวิทยาลัยแบ่งออกเป็น 31 คณะอาศัย หรือคอลเลจ (college) แต่ละคณะอาศัยมีหน้าที่จัดหาที่พักให้นักศึกษาทุกระดับ รวมทั้งจัดการเรียนการสอนซ่อมเสริมกับรับนักศึกษาปริญญาตรีด้วย นักศึกษาทุกคนและอาจารย์ส่วนใหญ่จะมีคณะอาศัยสังกัด ภายในคณะจะเป็นเขตที่พักอาศัยและพื้นที่เรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษา โดยคละกันมาจากแต่ละคณะวิชา ทั้งนี้บางคณะอาจจะเลือกนักศึกษาอย่างกว้าง ๆ กระจายไปในแต่ละสาขา เช่น คณะเซนต์แคเทอรีน บางคณะก็เลือกให้มีสาขาเอนเอียงไปในทางใดทางหนึ่ง เช่น คณะเชอร์ชิลล์ จะเลือกนักศึกษาเน้นสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์
ในจำนวน 31 คณะอาศัย มีคณะเมอร์เรย์ เอ็ดเวิร์ด (Murray Edward College) คณะนิวแนม (Newnham College) คณะลูซี คาเวนดิช (Lucy Cavendish College) เป็นคณะหญิงล้วน ส่วนคณะที่เหลือเป็นคณะแบบสหศึกษา (รับทั้งนักศึกษาชายและหญิง) บางคณะในจำนวนนี้เคยมีแต่เฉพาะนักศึกษาชาย ได้แก่ คณะเชอร์ชิลล์ (Churchill College) คณะแคลร์ และคณะคิงส์ ทั้งสามคณะดังกล่าวเริ่มรับนักศึกษาหญิงในปี พ.ศ. 2515 ซึ่งจากการนี้เอง 16 ปีต่อมา คณะมอดลิน (Magdalene College)[note 4] จึงได้เป็นคณะชายล้วนคณะสุดท้ายของมหาวิทยาลัย คณะอาศัยนอกจากเป็นที่อาศัยศึกษาของนักศึกษาแล้ว ยังแสดงถึงทัศนะทางการเมืองและสังคมของนักศึกษาในคณะนั้นด้วย อาทิ คณะคิงส์ นักศึกษามักมีแนวคิดหัวก้าวหน้า (ตรงข้ามกับแนวคิดอนุรักษนิยม) คณะโรบินสันและคณะเชอร์ชิลล์ มีงานด้านการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
คณะแคลร์ฮอลล์ (Clare Hall) คณะดาร์วิน (Darwin College) เป็นสองคณะที่รับเฉพาะนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา นอกจากนี้ คณะฮิวก์ฮอลล์ (Hugh Hall) คณะลูซี คาเวนดิช คณะเซนต์เอดมุนด์ (St Edmunds College) และคณะวูล์ฟสัน จะรับเฉพาะนักศึกษาผู้ใหญ่ซึ่งมีอายุ 21 ปีขึ้นไปในวันทำพิธีรับเข้าศึกษา (matriculation) ไม่ว่านักศึกษาผู้นั้นจะเป็นนักศึกษาปริญญาตรีหรือนักศึกษาบัณฑิตศึกษา ทั้งนี้คณะที่เหลือมีนโยบายรับนักศึกษาทุกคณะวิชา ทุกเพศ ทุกวัย
คณะอาศัยแต่ละคณะกำหนดค่าที่พัก ค่าอาหารแตกต่างกันไป โดยไม่ขึ้นกับทางมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีเงินลงทุนเพื่อการศึกษาที่แตกต่างมากน้อยไปด้วย การจัดการต่าง ๆ ในคณะอาศัยมีความคล้ายคลึงกับ "เวียง" ของมหาวิทยาลัยพะเยา มาก
ในจำนวนวิทยาลัยทั้งหมดนี้ มี 3 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนักศึกษาหญิงเท่านั้น (นิวแน่ม คอลเลจ, ลูซี่ คาเวนดิช คอลเลจ, และ นิว ฮอลล์) และ 4 วิทยาลัยที่รับเฉพาะนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา (แคลร์ ฮอลล์, ดาร์วิน คอลเลจ, วูลฟ์สัน คอลเลจ, และ เซนท์ เอดมันด์ส คอลเลจ)
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นหนึ่งในหลายๆ สถาบันการศึกษาในโลกที่ได้รับการจับตามอง ระหว่างที่ประเทศโลกเสรีพยายามพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อป้องกันประเทศ เมื่อเกิดภัยคุกคามจากเยอรมนี ซึ่งมี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นผู้นำ ระหว่างนี้ มหาวิทยาลัยหลายแห่ง มีการเคลื่อนไหวทางวิชาการอย่างคึกคัก เพราะรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยเป็นจำนวนมหาศาล อาทิเช่น มหาวิทยาลัยปารีส มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด มหาวิทยาลัยมอสโกสเตท มหาวิทยาลัยเบอร์ลิน มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล สถาบันเอ็มไอที ฯลฯ มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงแข่งขันกันอยู่ในที บางทีก็มีการดึงเอาคณาจารย์จากกันไปโดยเพิ่มเงินเดือนให้สูงกว่าก็มี
เมื่อเทียบกับหลายมหาวิทยาลัยในโลก เคมบริดจ์ได้เปรียบทางวิทยาศาสตร์อยู่มาก เพราะรากฐานทางวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยนี้เข้มแข็งมาช้านาน ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจวบจนยุคปัจจุบัน นอกจากจะได้รับการยกย่องว่าเป็นมหาวิทยาลัยชั้นเยี่ยมในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของอังกฤษแล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยลัยที่มีผู้ได้รางวัลโนเบลสูงที่สุดในโลก กล่าวคือมีถึง 81 รางวัล เพราะความมีชื่อเสียงในด้านการวิจัยนี้เอง ในระยะหลัง เคมบริดจ์ได้รับการช่วยเหลือสนับสนุนด้านเงินทุนจากหลายหน่วยงาน เช่น EPSRC และ Gates Foundation ทำให้เคมบริดจ์มีสถานะการเงินที่ดีกว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษอื่นๆ หลายแห่ง
ที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่จัดตั้งสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย แต่บังเอิญว่างานวิจัยส่วนใหญ่เป็นงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสมัยก่อนนั้น ยังไม่มีการนำไปใช้เชิงพาณิชย์เท่าใดนัก จึงขยายตัวสู้สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดซึ่งเกิดทีหลัง แต่มีปริมาณงานวิจัยทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มากกว่าไม่ได้ แต่ระยะหลัง สำนักพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็เริ่มพัฒนาขึ้นอย่างมาก เห็นได้จากปริมาณงานทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ซึ่งมีเพิ่มขึ้น
ในปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ. 2005) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยแบ่งเป็น: อันดับ 1 ของยุโรปในคะแนนรวม, เป็นอันดับ 1 ของโลกด้านวิทยาศาสตร์, เป็นอันดับ 6 ของโลกทางด้านเทคโนโลยี, อันดับ 2 ของโลกทางด้านชีวเวช, อันดับ 8 ของโลกด้านสังคมศาสตร์ และ อันดับ 3 ของโลกด้านศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ในปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) และปี พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) วารสาร The Times Higher Education Supplement ได้อันดับมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ให้มีคะแนนรวมเป็นอันดับ 2 ของโลกสองปีซ้อนรองจาก มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ได้ผลิตนักวิจัย ได้รางวัลโนเบล 81 รางวัล มากกว่ามหาวิทยาลัยทุกแห่งในโลก ส่วนมากเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะมหาวิทยาลัยเน้นทางนี้มากกว่าสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ศิษย์เก่าชาวต่างประเทศที่มีชื่อเสียงก็มีจำนวนมาก
Aarhus ? Barcelona ? Bergen ? โบโลญญา ? Bristol ? Budapest ? เคมบริดจ์ ? Coimbra ? Dublin ? เอดินบะระ ? Galway ? Geneva ? G?ttingen ? Granada ? Graz ? Groningen ? Heidelberg ? Ia?i ? Jena ? Krak?w ? Leiden ? Leuven ? Louvain-la-Neuve ? Lyon ? Montpellier ? อ๊อกซฟอร์ด ? Padua ? Pavia ? Poitiers ? Prague ? Salamanca ? Siena ? Tartu ? Thessaloniki ? Turku I ? Turku II ? Uppsala ? W?rzburg