มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (อังกฤษ: Suan Dusit University) จาก โรงเรียนการเรือนแห่งแรกของประเทศไทย สู่การเป็น มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยในกลุ่มมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ เป็นสถาบันที่มีชื่อเสียงทางด้าน การศึกษาปฐมวัย คหกรรมศาสตร์ ธุรกิจบริการ ธุรกิจการโรงแรม ธุรกิจการบิน และ " โรงเรียนกฎหมายและการเมือง "
โรงเรียนอนุบาลแห่งแรกของรัฐ เปิดทำการสอนครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2483 โดยมีนางจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา (คุณหญิงจิตรา ทองแถม ณ อยุธยา) เป็นครูใหญ่คนแรก โดยบริจาคทุนทรัพย์จำนวน 80,000 บาทจาก คุณยายละออ หลิมเซ่งไถ่ จุดมุ่งหมายในการจัดตั้งโรงเรียนอนุบาละอออุทิศขึ้นมาเพื่อทดลองและทดสอบว่าประชาชนมีความสนใจ และเข้าใจเรื่องการอนุบาลศึกษาอันเป็นรากฐานการเรียนรู้ของเด็กมากน้อยเพียงใด โดยปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ระดับก่อนอนุบาล ถึง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปัจจุบันโรงเรียนสาธิตละอออุทิศมีสาขาดังนี้
หลังการการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475 หรือเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง พ.ศ. 2475 มีการเปลี่ยนแปลงการศึกษาเข้าสู่ยุคการศึกษาสมัยปกครองตามระบอบรัฐธรรมนูญ ในช่วงนั้นรัฐบาลมีการจัดตั้งโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัยเฉพาะทางขึ้นมามากมายให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตามสิทธิของตนในระบอบรัฐธรรมนูญ นำความรู้นั้นพัฒนาชาติต่อไป โดยมีการนำวัง พระราชวัง ที่พัก และพื้นที่ที่รัฐบาลยึดจากเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญบางแห่งใช้มาเป็นสถานที่ราชการและสถานศึกษาจำนวนมาก เช่น วังหน้า ใช้เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, บ้านนรสิงห์ ใช้เป็นทำเนียบรัฐบาลไทย เป็นต้น ภายหลังทรัพย์สินเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พุทธศักราช 2479 และนี่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของโรงเรียนการเรือน-มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
การจัดการศึกษาเพื่อจะให้พลเมืองได้มีการศึกษาโดยแพร่หลาย ก็จะต้องอนุโลมตามระเบียบการปกครองที่ให้เข้าลักษณะเกี่ยวกับแผนเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักสูตรของโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจะต้องขยายให้สูงขึ้นเท่าเทียมอารยประเทศ ในการนี้จะต้องเทียบหลักสูตรของนานาประเทศ หลักสูตรใดสูงถือตามหลักสูตรนั้น
โรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือน สังกัดกองอาชีวศึกษา กรมวิชาการ กระทรวงธรรมการ(กระทรวงศึกษาธิการ) โดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๕–พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นผู้วางโครงการก่อตั้งโรงเรียนการเรือน และ พระสารสาสน์ประพันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๗๗ - พ.ศ. ๒๔๗๘ ผู้ดำเนินการก่อตั้งโรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือน โดยโรงเรียนฯ เปิดดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2477 ที่วังกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร พณิชยการพระนคร) โดยมี คุณหญิงเพชรดา ณ ป้อมเพชร์ (นามเดิม ม.ล.จิตรจุล กุญชร) เป็นครูใหญ่คนแรก โรงเรียนนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมการบ้านการเรือนสำหรับสตรี หลักสูตร 4 ปี และได้เริ่มเปิดสอนหลักสูตรอบรมครูการเรือนขึ้นเป็นครั้งแรกมีความมุ่งหมายเพื่อเตรียมผู้ที่จะออกไปมีอาชีพครูในสาขานี้
พ.ศ. 2480 ได้ย้ายโรงเรียนมาอยู่ที่วังจันทรเกษม (กระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน) และเปลี่ยนชื่อจากโรงเรียนมัธยมวิสามัญการเรือนมาเป็น “โรงเรียนการเรือน” (จากเอกสารพบว่าใช้ชื่อโรงเรียนการเรือนเท่านั้น ส่วนวังจันทรเกษมนักเรียนและผู้ปกครองมีการใช้เรียกต่อท้ายเอง) สังกัดกองและกรมเดิม โดยเปิดสอนหลักสูตรมัธยมการเรือน (หลักสูตร 3 ปี) และหลักสูตรการเรือนชั้นสูง (หลักสูตร 3 ปี) โดยโรงเรียนการเรือนนี้เป็นโรงเรียนแบบ Finishing school เหมือนทางยุโรป คือ มีสอนงานบ้าน งานเรือนสำหรับกุลสตรี การจัดดอกไม้สด ดอกไม้แห้ง งานศิลปะ การประกอบอาหาร มารยาท และการเข้าสังคม เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนการช่างสตรีอื่นในยุคสมัยเดียวกัน นักเรียนเสียค่าเล่าเรียนภาคการศึกษาละ 150 บาทซึ่งถือว่าเป็นค่าเล่าเรียนที่สูงพอสมควรในยุคสมัยนั้น
พ.ศ. 2484 โรงเรียนได้ย้ายจากวังจันทรเกษม (ที่ตั้งกระทรวงศึกษาธิการปัจจุบัน) มาตั้งอยู่ในบริเวณวังสวนสุนันทา บนพื้นที่ประมาณ 37 ไร่ (รวมพื้นที่โรงเรียนอนุบาลละอออุทิศ) บนกรรมสิทธิ์ที่ดินของ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัยในปัจจุบันและเปลี่ยนชื่อเป็น “โรงเรียนการเรือนพระนคร” ย้ายสังกัดจากกองอาชีวศึกษาไปสังกัดกองฝึกหัดครู กรมสามัญศึกษา เปิดสอนหลักสูตร ป.กศ., ป.กศ. ชั้นสูง
ในสวนสุนันทานี้มีตำหนักรวมทั้งสิ้นจำนวน 32 ตำหนัก (อยู่ในฝั่งโรงเรียนการเรือนพระนคร 15 ตำหนัก) พระตำหนักที่สำคัญในพื้นที่โรงเรียนการเรือนพระนคร เช่น พระตำหนักพระราชชายา เจ้าดารารัศมี(ปัจจุบันรื้อถอนไปแล้วตั้งอยู่บริเวณทางเชื่อมอาคาร 2 และ 3), พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า(แต่ไม่ได้เสด็จมาประทับ) ปัจจุบันคืออาคารศิลปวัฒนธรรม, สมเด็จพระราชปิตุจฉา เจ้าฟ้าวไลยอลงกรณ์(ปัจจุบันรื้อถอนไปแล้วตั้งอยู่บริเวณสระว่ายน้ำสวนดุสิต) เป็นต้น และรัชกาลที่ 6 โปรดฯ ให้สร้างท้องพระโรง (พระที่นั่งนงคราญสโมสร) ในปี พ.ศ. 2465
ยกฐานะโรงเรียนฝึกหัดครู (โรงเรียนการเรือนคือโรงเรียนฝึกหัดครูด้านการเรือน) เป็นวิทยาลัยครูในนาม “วิทยาลัยครูสวนดุสิต” นับเป็นครั้งแรกที่ใช้นาม “สวนดุสิต” ซึ่งเป็นชื่อของสถานที่ตั้งของวิทยาลัยฯ เป็นชื่อสถานศึกษานับแต่นั้น
ก่อนปีพ.ศ. 2518 วิทยาลัยครูหลายแห่งยังเปิดเปิดสอนได้เพียงระดับ ป.กศ. และ ป.กศ.(ชั้นสูง) เรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2518 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิทยาลัยครูขึ้นเพื่อให้วิทยาลัยครูทั้งหมดสามารถเปิดสอนระดับปริญญาได้ โดยให้สังกัดกองการฝึกหัดครู กรมการฝึกหัดครู โดยให้มี 3 คณะวิชาได้แก่ คณะวิชาครุศาสตร์ คณะวิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิชามนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ปี พ.ศ. 2535 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสถาบันราชภัฏ เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในภาคธุรกิจต่างๆ ของประเทศ ภารกิจของสถาบันราชภัฏที่เพิ่มขึ้นในขณะนั้นก็เพื่อการสร้างบุคลากรให้เพียงพอและตรงกับความต้องการด้านแรงงานของประเทศ ส่งผลให้วิทยาลัยครูสวนดุสิตเปลี่ยนสถานะและชื่อ เป็น “สถาบันราชภัฏสวนดุสิต” และสังกัดสำนักงานสภาสถาบันราชภัฏ กระทรวงศึกษาธิการ
ปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนศูนย์การศึกษาเพื่อบริการท้องถิ่นและชุมชนคงเหลือเพียง 5 แห่งบนพื้นที่ของตนเอง ได้แก่ ศูนย์นครนายก ศูนย์ตรัง ศูนย์ลำปาง ศูนย์หัวหิน วิทยาเขตสุพรรณบุรี และเปลี่ยนเป็นศูนย์การเรียนรู้ 2 แห่ง ได้แก่ ศูนย์รางน้ำ ศูนย์ระนอง2
สถาบันราชภัฎสวนดุสิตได้ปรับเปลี่ยนสถานภาพจาก “สถาบันราชภัฏ” เป็น “มหาวิทยาลัยราชภัฏ” ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2547 โดยใช้ชื่อว่า “มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต” สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ. 2547 เปลี่ยนสถานะเป็นมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสวนดุสิต พ.ศ. 2558 ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558 มีฐานะเป็นมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ภายในการกำกับดูแลของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยไม่สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
สวนดุสิตดั่งดุสิตแดนสวรรค์
สถาบันการศึกษายุคฟ้าใหม่
นามระบือลือเกียรติก้องผ่องอำไพ
มุ่งให้ไกลไปให้ต่างทางสากล
เหล่าเพื่อนพ้องน้องพี่มีความสุข
นิราศทุกข์สามัคคีมีกุศล
สร้างความดีมีความเด่นเป็นมงคล
ปลื้มกมลมโนธรรมนำชีวี
(*) ถึงคราวเรียนเราก็เรียนอย่างตั้งจิต
ทุ่มชีวิตมุ่งก้าวล้ำนำวิถี
ถึงคราเล่นเราสนุกทุกนาที
ณ ถิ่นนี้ถิ่นดุสิตติดตรึงใจ
(**) เมื่อคราวจากเราจากไปใจยังรัก
ถิ่นพำนักรักดุสิตพิสมัย
เลือดชาวฟ้าถิ่นเฟื่องฟ้าขจรไกล
แม้นตัวไปใจรักมั่นนิรันดร
(***) (สวนดุสิต เลือดชาวฟ้า สวนดุสิต ถิ่นเฟื่องฟ้า สวนดุสิต ขจรไกล สวนดุสิต ใจรักมั่นนิรันดร)
ปี พ.ศ. 2558 มีการประกาศใช้ พรบ.มหาวิทยาลัยสวนดุสิต มหาวิทยาลัยจึงมีแนวคิดการจัดทำตราสัญลักษณ์ขึ้นใหม่เพื่อใช้สื่อสารในองค์กรและสาธารณะ ทางมหาวิทยาลัยจึงได้มีการติดต่อไปยังสำนักพระราชวังเพื่อทูลเกล้าฯ ขอพระบรมราชานุญาตแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ใช้ตราพระโพธิสัตว์สวนดุสิต ซึ่งเป็นตราประจำพระราชวังดุสิตสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือช่วงปี พ.ศ. 2442 เพื่อนำใช้ใน เอกสารราชการ งานพิธีสำคัญ และอื่นๆ ของมหาวิทยาลัย
ปี พ.ศ. 2547 โครงการสวนดุสิตกราฟิกไซท์ ได้รับหน้าที่เป็นผู้ออกแบบสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขึ้นมาใหม่ โดยเน้นเป้าหมายเพื่อความง่ายสื่อสาร ความโดดเด่น สะดุดตา ง่ายจดจำ และสื่อความหมายในภาพลักษณ์ใหม่ของมหาวิทยาลัยในขณะนั้นได้ อีกทั้งเพื่อองค์กรจะได้มีตราประจำมหาวิทยาลัยสำหรับใช้เพื่อการสื่อสารเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่ง นอกเหนือจากตราพระราชลัญจกรซึ่งมีประจำอยู่ในทุกมหาวิทยาลัยราชภัฏ
สัญลักษณ์ใหม่ชิ้นนี้ได้ถูกออกแบบขึ้นโดยใช้ภาพตัวอักษร (Letter mark) เพื่อสื่อถึงความเป็นเอกภาพ ความคล่องตัว และความเป็นเลิศในการบริหารจัดการ ภายใต้แนวคิดการทำงานเป็นทีม โดยนำอักษรย่อจากคำเต็มในภาษาไทยและภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยมาใช้ โดยยึดตัวอักษรหลักของแต่ละชื่อในแต่ละภาษามาใช้คือ มสด. และ SDU ตามลำดับ อีกทั้งคำย่อดังกล่าวยังได้แสดงถึงอัตลักษณ์ของมหาวิทยาลัยขึ้นมาใหม่ท่ามกลางความโดดเด่นต่างจากมหาวิทยาลัยราชภัฏด้วยกัน ซึ่งความโดดเด่นแห่งอัตลักษณ์นี้ถือเป็นอิทธิพลหนึ่งจากแบบตัวอักษรที่เคยปรากฏเป็นสัญลักษณ์จากพระราชลัญจกร และพระนามแบบต่างๆ ที่เคยปรากฏอยู่ในราชสำนักนับตั้งแต่ยุคสมัยการปฏิรูปประเทศตามแนวทางตะวันตก นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา
ปี พ.ศ. 2559 มีการประกาศใช้ตราสัญลักษณ์ใหม่เพิ่มเติม โดยมีรูปแบบสัญลักษณ์เป็นวงรีรูปไข่ ๒ วงซ้อนกัน วงรีด้านนอกใช้สีทอง ด้านบนมีข้อความเป็นภาษาไทยว่า “มหาวิทยาลัยสวนดุสิต” สีขาว ส่วนด้านล่างมีข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า “SUAN DUSIT UNIVERSITY” สีขาว ใช้รูปแบบอักษร (font) SP Suan Dusit คั่นด้วยดอกเฟื่องฟ้าและดอกขจร ในวงรีด้านในใช้สีฟ้าน้ำทะเลเป็นพื้น มีเครื่องหมายของมหาวิทยาลัยสวนดุสิต เป็นพยัญชนะภาษาไทย อักษรย่อ“มสด”สีขาว สำหรับภาษาอังกฤษใช้ อักษรย่อ“SDU”สีขาวอยู่ตรงกลาง
สวนดุสิตโพล เป็นหน่วยงานหนึ่งในมหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้เริ่มดำเนินโครงการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 โดยทำหน้าที่สำรวจประชามติ วิเคราะห์ และประเมินผลสถานการณ์ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสาธารณชนทุกด้าน ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา การเมือง กีฬา ฯลฯ ซึ่งนักศึกษาวิชาเอก สารนิเทศศาสตร์ ระดับปริญญาตรี มีส่วนร่วมในการสำรวจประชามติ ปัจจุบันมีผลงาน 775 เรื่อง อีกทั้งในปี พ.ศ. 2539 สวนดุสิตโพลได้รับเชิญจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อดูงานการเลือกตั้งประธานาธิบดี
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต