ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

มนุษยศาสตร์

มนุษยศาสตร์ (อังกฤษ: humanities) เป็นกลุ่มของสาขาวิชาที่เกี่ยวกับการศึกษาสภาวะแห่งมนุษย์โดยส่วนใหญ่ใช้กรรมวิธีเชิงวิเคราะห์, วิจารณญาณ หรือการคาดการณ์ซึ่งแตกต่างจากการเข้าสู่ปัญหาด้วยกรรมวิธีเชิงประจักษ์ด้วยธรรมชาติ, สังคมศาสตร์ โดยธรรมเนียมทั่วไปมนุษยศาสตร์รวมถึงสาขาวิชาภาษาศาสตร์โบราณและภาษาศาสตร์สมัยใหม่, วรรณคดี ประวัติศาสตร์ ปรัชญา ศาสนา ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง และดนตรี บางครั้งมีการรวมเอาสาขาวิชาอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย ได้แก่ มานุษยวิทยา ภูมิภาคศึกษา การสื่อสารและวัฒนธรรมศึกษา แม้ว่าสาขาวิชาเหล่านี้มักถูกจัดไว้ในสาขาสังคมศาสตร์ นักวิชาการที่อยู่ในสายของสาขาวิชานี้ บางครั้งอาจเรียกตนเองว่าเป็น "นักมนุษยนิยม" อย่างไรก็ตามคำดังกล่าวก็ได้ใช้เรียกนักปรัชญาสาขามนุษยนิยมแต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับ

ในประเพณีนิยมด้านวิชาการตะวันตก คลาสสิกหมายถึงวัฒนธรรมแห่งคลาสสิกโบราณ ได้แก่วัฒนธรรมกรีกโบราณและวัฒนธรรมโรมันโบราณ แต่เดิมวิชาคลาสสิกศึกษาถือเป็นรากฐานของสาขาวิชามนุษยศาสตร์ แต่คลาสสิกศึกษาได้ลดความสำคัญลงในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 (พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2443) แต่ถึงกระนั้นอิทธิพลของแนวคิดคลาสสิกก็ยังคงปรากฏในมนุษยศาสตร์ เช่นสาขาวิชาปรัชญาและวรรณคดีซึ่งยังคงอยู่อย่างมั่นคง

หากพิจารณาอย่างกว้างๆ ถือได้ว่า "คลาสสิก" ยังคงเป็นงานเขียนพื้นฐานดั้งเดิมในวัฒนธรรมยุคเริ่มแรกในหลายวัฒนธรรมสำคัญของโลก และในประเพณีสำคัญอื่นๆ คลาสสิกมักอ้างไปถึง "คัมภีร์" และ "คัมภีร์อุปนิษัท" ในอินเดีย "เล่าจื๊อ" และ "จวงจื่อ" (ZhuangZi) ในจีน และงานเขียนอื่นเช่น "ประมวลกฎหมายฮัมมูราบี" และ "มหากาพย์กิลลาเมช" ในเมโสโปเตเมีย รวมทั้ง "ตำราแห่งการตายของอีจิปต์" (Egyptian Book of the Dead.)

ประวัติศาสตร์คือศาสตร์ว่าด้วยการบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับอดีตอย่างเป็นระบบ เมื่อใช้เรียกสายหรือกลุ่มสาขาวิชา ประวัติศาสตร์หมายรวมถึงการศึกษาและการแปลความหมายการบันทึกของมวลมนุษย์ ครอบครัวและสังคม มักมีการกล่าวความรู้ประวัติศาสตร์ว่าเป็นการรวมความรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตและการสะสมทักษะการคิดเชิงประวัติศาสตร์

โดยประเพณีนิยม ถือว่าการศึกษาประวัติศาสตร์ถือเป็นส่วนของมนุษยศาสตร์ แต่อย่างไรก็ดี ในวงการวิชาการสมัยใหม่ เริ่มมีการจำแนกประวัติศาสตร์ไว้เป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อเน้นในด้าน "ลำดับเวลาวิทยา" (chronology)

การศึกษาภาษาสมัยใหม่และภาษาคลาสสิกถือเป็นโครงหลักใหญ่ของมนุษยศาสตร์ ในขณะที่การศึกษาภาษาเชิงวิทยาศาสตร์ซึ่งเรียกว่าสาขาวิชาภาษาศาสตร์ซึ่งถูกจัดอยู่ในกลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์ โดยที่หลายส่วนของมนุษยศาสตร์ เช่น วรรณคดี ประวัติศาสตร์และปรัชญาเหล่านี้ ตั้งบนพื้นฐานของภาษา การเปลี่ยนแปลงของภาษาจึงมีผลกระทบอย่างมากต่อมนุษยศาสตร์กลุ่มอื่นๆ วรรณคดีครอบคลุมถึงการใช้ภาษาที่หลากหลายรวมทั้งในรูปร้อยแก้ว (เช่น นวนิยาย) กวีนิพนธ์และบทละคร ซึ่งขึ้นอยู่กับหัวใจของหลักสูตรมนุษยศาสตร์สมัยใหม่ หลักสูตรภาษาต่างประเทศระดับมหาวิทยาลัยมักรวมการศึกษาวรรณกรรมที่เป็นงานชิ้นสำคัญในภาษานั้นๆ รวมทั้งในภาษาของตนเอง (ไวยากรณ์ คำศัพท์ ฯลฯ)

เราอาจเทียบวรรณคดีกับการรวบรวมเรื่องนิทาน บทกวีและบทละครที่เกี่ยวพันกับเรื่องเฉพาะบางเรื่อง ในกรณีเช่นนี้ นิทาน บทกวีและบทละครอาจมีหรือไม่มีนัยที่บ่งชี้ในความเป็นชาตินิยมก็ได้ "กฎหมายศาสนาตะวันตก" (Western Canon) ก็มีรูปแบบเช่นนั้น คำว่า "วรรณคดี" จึงมีความหมายต่างกันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดเป็นผู้ใช้และใช้ในบริบทใด อาจนำไปใช้ได้อย่างกว้างๆ เพื่อหมายถึงการเก็บหรือบันทึกสัญลักษณ์ใดๆ ที่ครอบคลุมถึงทุกอย่างจากภาพและประติมากรรมไปถึงวรรณกรรมจดหมาย คนทั่วไปอาจรับรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง "วรรณคดี" และงานเขียนที่เป็นที่นิยมในบางรูปแบบ คำว่า "บันเทิงคดีวรรณคดี" (en:Literary fiction) และ "คุณธรรมวรรณคดี" (en:Literary merit) มักใช้ได้เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างงานเขียนแต่ละงาน

โดยภาษาเฉพาะ กฎหมาย หมายถึงกฎ (ต่างจากกฎทางจรรยาบรรณ) ที่สามารถนำไปใช้บังคับได้โดยผ่านสถาบัน การศึกษากฎหมายจะครอบเกี่ยวพันขอบข่ายกับสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ได้จากการศึกษาของผู้มองที่มองที่วัตถุประสงค์และผลกระทบที่จะตามมา กฎหมายอาจใช้บังคับไม่ได้เสมอไป โดยเฉพาะในบริบทของนานาชาติ ได้มีการนิยามกฎหมายว่าเป็น "ระบบของกฎ" ในเชิงของแนวคิดการตีความเพื่อให้บรรลุถึงความยุติธรรม ในฐานะเป็น "ผู้มีอำนาจ" ที่จะทำการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งของประชาชน หรือในฐานะของ "พระมหากษัตริย์หรือองค์อธิปัตย์ที่มีอำนาจบังคับ" อย่างไรก็ดี บางคนอาจคิดว่ากฎหมายคือสถาบันสังคมทั้งสิ้นของส่วนกลาง นโยบายกฎหมายรวมการแสดงเจตนารมณ์ด้านความคิดเชิงปฏิบัติมาจากทุกอย่างในสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

กฎหมายคือการเมือง เนื่องจากนักการเมืองเป็นผู้สร้างกฎหมาย กฎหมายคือปรัชญาเนื่องจากศีลธรรมและจริยธรรมเป็นตัวหล่อหลอมความคิดของพวกเขา กฎหมายบอกเรื่องราวมากมายทางประวัติศาสตร์ เพราะตัวบทกฎหมาย คดีและการจัดทำประมวลกฎหมายเกิดขึ้นต่อเนื่องตามกาลเวลามายาวนาน และกฎหมายคือเศรษฐศาสตร์ เพราะกฎใดๆ ที่ว่าด้วยสัญญา การละเมิด กฎหมายทรัพย์สิน กฎหมายแรงงาน กฎหมายบริษัทและกฎหมายอื่นๆ อีกมากมีผลในระยะยาวกระจายรายได้และความมั่งคั่งของสังคม

คำนามว่า "law" มาจากคำในภาษาอังกฤษเก่า "lagu" ซึ่งหมายถึงการวางหรือการกำหนดให้ตายตัว และคำคุณศัพท์ "legal" มาจากภาษาละติน "lex"

ศิลปะการแสดงแตกต่างจาก "ศิลปะปรับแต่งได้" (plastic arts) ตราบเท่าที่ศิลปะการแสดงใช้ตัว ใบหน้าของศิลปิน เองเป็นมัชชิม และศิลปะปรับแต่งได้ใช้วัสดุ เช่นดินเหนียว โลหะ หรือสีซึ่งสามารถหล่อ ปั้นหรือเปลี่ยนรูปเพื่อสร้างสรรค์ให้เป็นศิลปวัตถุ ศิลปะการแสดงรวมถึง กายกรรม การแสดงสดในที่สาธารณะ (busking) การรายรำ มายากล ดนตรี อุปรากร ภาพยนตร์ การโยนอุปกรณ์ (juggling) โยธวาทิตและละครเวที

ศิลปินที่แสดงในศิลปะเหล่านี้ต่อหน้าผู้ชมเรียกว่า "นักแสดง" ซึ่งรวมถึงนักแสดงละคร นักแสดงตลกหรือสุขนาฏกรรม (comedy) นักฟ้อนรำ นักดนตรีและนักร้อง ศิลปะการแสดงได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมงานอื่นเช่น นักแต่งเพลงและนักจัดฉาก นักแสดงมักปรับหรือแต่งโฉมของตนเองอยู่เสมอด้วยเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าบนเวที ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีรูปแบบที่เฉพาะพิเศษในรูปของวิจิตรศิลป์ ซึ่งศิลปินแสดงงานศิลปะของตนสดๆ ต่อหน้าผู้ชม ศิลปะต่างๆ ดังกล่าวนี้เรียกรวมว่าศิลปะการแสดง ศิลปะการแสดงส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับ "ศิลปะปรับแต่งได้" ในรูปใดรูปหนึ่งซึ่งอาจได้การสร้างฉาก การฟ้อนรำในบางครั้งมักหมายรวมให้เป็น ศิลปะปรับแต่งได้ โดยเฉพาะในช่วงของยุค "นวนาฏกรรม" (Modern dance)

การดนตรี หมายถึงสาขาวิชาที่เน้นสายอาชีพสองสายได้แก่ สายการแสดงดนตรี (เน้นวงดุริยางค์และคอนเสิร์ต) และสายดนตรีศึกษา (การผลิตครูดนตรี) นักศึกษาเรียนด้านการเล่นเครื่องดนตรีต่างๆ และยังศึกษาทฤษฎีดนตรี และดนตรีวิทยา (musicology) ประวัติศาสตร์ดนตรีและการประพันธ์เพลง ในประเพณีของ "ศิลปศาสตร์" (วิชา 7 อย่างของผู้ดี: ไวยากรณ์ ตรรกวิทยา การพูด เลขคณิต เรขาคณิต ดนตรีและดาราศาสตร์) ดนตรีเป็นวิชาที่ใช้เพิ่มทักษะของผู้ที่มิใช่นักดนตรีเพื่อใช้ในการเน้นความจดจ่อในดนตรีและการฟังดนตรี

ละครเวที (Theatre หรือ theater - กรีก "theatron", ???????) เป็นแขนงหนึ่งของสาขาวิชาศิลปะการแสดงที่เกี่ยวกับ "การแสดง" (acting) มาจากเรื่องราวหรือบทประพันธ์ต่อหน้าผู้ชม โดยใช้การพูด การแสดงท่า ดนตรี การฟ้อนรำ เสียงและภาพที่น่าตื่นเต้น นั่นคือการใช้ศิลปะการแสดงแขนงอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วย นอกจากการการพูดตามการบอกบททั่วๆ ไปแล้ว ละครเวทียังรวมรูปแบบการแสดงบนเวทีในรูปอื่นๆ อีกด้วย เช่น อุปรากร บัลเล่ต์ ละครใบ้ (mime) คาบูกิ รำไทย งิ้ว ระบำอินเดีย ละครมัมเมอร์ (ละครปลอมตัวเล่นตลกในหมู่คน) ละครแพนโทไมม์ (ละครเล่นตามเรื่องนิทานในช่วงคริสต์มาสของชาวตะวันตก)

นาฏศิลป์ หรือการฟ้อนรำ (Dance จากภาษาฝรั่งเศสเก่า dancier) หมายถึงการเคลื่อนไหวร่างกายของมนุษย์ อาจทำโดยใช้รูปการแสดงออกที่มีท้องเรื่องทางสังคม จิตวิญญาณ หรือทางการแสดง นาฏศิลป์ยังอาจนำมาใช้สำหรับพรรณาถึงกรรมวิธีสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด ระหว่างมนุษย์หรือสัตว์ (ระบำผึ้ง ระบำเกี้ยวพาราสี) การเคลื่อนไหวของวัตถุไร้ชีวิต (เช่นใบไม้เต้นรำกับลม) และกับรูปแบบของดนตรีเฉพาะบางชนิดหรือบางประเภท "นาฏกรรมวิธี" (Choreography) หมายถึงศิลปะในการออก"นักนาฏกรรมวิธี" (choreographer)

นิยามที่กำกับความหมายของนาฏศิลป์ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางสังคม วัฒนธรรม สุนทรียภาพ ศิลปะและศีลธรรม และขอบข่ายของการเคลื่อนไหว (เช่นการฟ้อนรำพื้นบ้าน) ที่เป็นตัวประมวลเทคนิคชั้นครู เช่นบัลเล่ต์ ในกีฬา ยิมนาสติก การร่ายรำสเกต (Figure skating และการว่ายน้ำร่ายรำ (synchronized swimming) ถือว่าอยู่ในแขนงนาฏศิลป์ แต่ท่ารำในศิลปะการต่อสู้ต่างๆ เป็นเพียงการเรียกชื่อเป็นศิลปะเท่านั้น

ปรัชญามาจากคำกรีกโบราณที่แปลว่า "ความรักในความรอบรู้" (The love of wisdom) เป็นการตั้งคำถามเกี่ยวกับชีวิต การเป็นตัวตนและการมีเหตุผลของมนุษย์ ปรัชญาเป็นวิชาที่มีการศึกษามาเก่าแก่ที่สุดในโลก และได้แตกสาขาและวิวัฒนาการแตกออกเป็นวิชาฟิสิกส์ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 (พ.ศ. 2044 - พ.ศ. 2143) และวิชาจิตวิทยาในคริสต์ศตวรรษที่ 19 (พ.ศ. 2344 - พ.ศ. 2443)

ในสังคมปัจจุบัน ได้มีสายวิชา เช่น ปริชานศาสตร์ (Cognitive Science เกิดขึ้นจากความพยายามของผู้เชี่ยวชาญที่จะคลายปมเกี่ยวกับธรรมชาติของระบบสติปัญญาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความคิด การพูดและการมีเหตุผล

นักประวัติศาสตร์เกือบทั้งหมดได้สืบย้อนความเชื่อทางศาสนาไปได้ถึงยุคหินใหม่ ความเชื่อทางศาสนาในยุคนี้ประกอบด้วยการบูชาเจ้าแม่และเจ้าพ่อแห่งท้องฟ้า รวมทั้งการบูชาพระอาทิตย์และพระจันทร์เป็นเทพเจ้า

ปรัชญาและศาสนาใหม่ๆ ได้เกิดขึ้นทั้งในซีกตะวันออกและตะวันตกของโลก โดยเฉพาะเมื่อประมาณศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล (ประมาณสมัยพุทธกาล) เมื่อเวลาผ่านไปการแตกแขนงได้เกิดขึ้นอย่างหลากหลาย มีศาสนาฮินดูและศาสนาพุทธในอินเดีย นิกายโซโรแอสเตรียนิสม์ (Zoroastrianism) ในเปอร์เซีย เหล่านี้นับเป็นความเชื่อหลักๆ ในยุคแรกๆ

ในโลกตะวันออกมีแนวความคิด 3 สำนักคิดที่มีอทธิพลต่อความคิดของจีนจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ลัทธิเต๋า ลัทธิถือกฎหมาย? (Legalism) และลัทธิขงจื๊อ ธรรมเนียมของลัทธิขงจื๊อซึ่งยังคงแพร่หลักเป็นส่วนใหญ่อยู่นั้น ไม่เพียงมองที่พลังของกฎหมายแต่ยังมองไปถึงกำลังและตัวอย่างของประเพณีเพื่อศีลธรรมทางการเมืองอีกด้วย

ในซีกโลกตะวันตก ประเพณีของปรัชญากรีกซึ่งมีพื้นฐานจากงานของเพลโตและอริสโตเติลได้ซึมซาบและแพร่กระจายไปทั่วยุโรปและตะวันออกกลางด้วยการพิชิตของอเล็กซานเดอร์แห่งมาเซดอนในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาล (ประมาณระหว่าง พ.ศ. 144 - พ.ศ. 244)

กลุ่มศาสนาอับราฮัม (Abrahamic religions) ได้แก่ศาสนาที่มาจากประเพณีเซมิติก (Semitic) โบราณอันเดียวกันซึ่งสืบย้อนไปถึง "อับราฮัม" (ประมาณ 1900 ปีก่อน ค.ศ. หรือ 1350 ปีก่อน พ.ศ.) ซึ่งผู้เฒ่าผู้ปกครองกลุ่มชน (patriarch) ที่มีการกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิลฮีบรูภาคพันธสัญญาเดิม และในฐานะผู้ตั้งศาสนาในพระคัมภีร์อัลกุรอาน และยังถูกเรียกเป็นผู้ตั้งศาสนาที่ปรากฏในเจเนซิส 20:7 ด้วยเช่นกัน ความเชื่อเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดกลุ่มศาสนาขนาดใหญ่ที่สัมพันธ์กันโดย "ถือพระเจ้าองค์เดียวกัน" ซึ่งรวมถึงลัทธิศาสนาจูดาอิสม์ ศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามซึ่งมีผู้นับถือรวมกันประมาณครึ่งโลก

ธรรมเนียมประเพณีสำคัญทางศิลปะมีรากฐานมาจากศิลปะในอารยธรรมโบราณแห่งใดแห่งหนึ่ง ได้แก่ อียิปต์โบราณ กรีกและโรมัน จีน อินเดีย เมโสโปเตเมียและเมโสอเมริกา

ศิลปะกรีกโบราณแสดงให้เห็นการเคารพรูปกายของมนุษย์และการพัฒนาทักษะของการเขียนที่แสดงกล้ามเนื้อ ท่า ความงามและสัดส่วนที่ถูกต้องทางสรีระ ศิลปะโรมันโบราณแสดงให้เห็นเทพเจ้าในฐานะของมนุษย์ที่เป็นอุดมคติอันสูงส่ง แสดงถึงลักษณะรูปโฉมที่แตกต่างกัน (เช่น สายฟ้าของเซอุส)

ในสมัยไบแซนไทน์และกอธิคซึ่งเป็นศิลปะยุคกลาง การมีอำนาจมากของศาสนจักรบีบให้มีการแสดงออกไปในทางคัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่การแสดงออกทางวัตถุที่เป็นสัจจะ ในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา จะเห็นการกลับไปสู่การประเมินโลกทางวัตถุ การเปลี่ยนในครั้งนี้แสดงให้เห็นได้ในรูปของศิลปะ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการแสดงร่างกายของมนุษย์และความเป็นจริงที่เป็น 3 มิติของภูมิทัศน์

งานศิลปะตะวันออกมีลักษณะคล้ายคลึงกับศิลปะตะวันตกยุคกลางโดยเฉพาะการเน้นลวดลายผิวพื้นและการใช้สีท้องถิ่น (หมายถึงการใช้สีกับวัตถุที่เรียบๆ เช่นการใช้สีแดงพื้นฐานสำหรับเสื้อคลุมแทนที่จะใช้ใช้สีแดงในลักษณะเหลือบแก่อ่อนตามสภาพของแสงและเงา) ลักษณะเฉพาะของกระบวนแบบนี้ สีที่ลงจะถูกกำหนดโดยเส้นขอบรอบ (เทียบเท่ากับการลงสีภาพการ์ตูนในปัจจุบัน) ตัวอย่างที่อาจแสดงให้เห็นได้ชัดเจนได้แก่ศิลปะอินเดีย ธิเบตและญี่ปุ่น

ศิลปะศาสนาอิสลามห้ามใช้รูปเคารพแต่ใช้การแสดงออกของแนวความคิดทางศาสนาด้วยลวดลายเรขาคณิตแทน ความแน่ชัดทางกายภาพและความสมเหตุผลที่แสดงให้เห็นในยุคสว่างในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ไม่เพียงถูกลบล้างโดยไอน์สไตน์และจิตวิทยาที่ไม่เคยมีมาก่อนของฟรอยด์แต่ยังยังถูกลบล้างด้วยการพัฒนาทางเทคโนโลยีใหม่อีกด้วย ปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของโลกยุคใหม่ในช่วงนี้ยิ่งทำให้เห็นอิทธิพลของวัฒนธรรมอื่นๆ ที่มีต่อวัฒนธรรมตะวันตกพพอกับอิทธิพลตะวันตกที่มีต่อวัฒนธรรมเหล่านั้นได้มากขึ้น

การวาดแส้นคือตัวกลางหรือมัชฌิมที่ช่วยในการเขียนภาพโดยใช้เครื่องมือและเทคนิคที่หลากหลายใดๆ ก็ได้ โดยทั่วไปจะวาดลงบนพื้นผิวด้วยดินสอกราไฟท์ หมึกและปากกา หมึกและพู่กัน ดินสอเทียน ถ่านแท่ง ถ่าน สีแท่งปาสเตลและปากกาปากสักหลาด เครื่องมือทางดิจิทัลสามารถนำมาใช้สร้างบรรยากาศที่ซับซ้อนแก่ภาพ เทคนิคหลักทั่วไปที่ใช้ในการวาดภาพ เทคนิคหลักที่ใช้ในการวาดภาพได้แก่ การวาดเส้น การแรเส้นเงา (hatching) การแรเส้นเงาขวาง การแรเส้นเงาแบบสุ่ม ลายเส้นหวัด ลายสักจุด (stippling) และลายเส้นกลืนกัน ศิลปินผู้ชำนาญในการวาดลายเส้นเรียกว่า "ช่างวาดลายเส้น" (draftsman หรือ draughtsman)

จิตรกรรม (Painting ในความหมายทั่วไปหมายถึงการประยุกต์สารสี (pigment) ที่แขวนลอยในตัวกลางและยึดเหนี่ยวติดกับผิวพื้น เช่น กระดาษ ผ้าใบหรือผนังด้วยวัสดุกาว หากใช้ในความหมายทางศิลปะจะหมายถึงการผสมผสานวิธีดังกล่าวด้วยการวาดเส้น การจัดองค์ประกอบและข้อพิจารณาเชิงศิลปะอื่นๆ เพื่อแสดงออกถึงความตั้งใจในแนวคิดของผู้เขียนนั้นๆ นอกจากนี้ จิตรกรรมยังเป็นที่แสดงแรงดลใจสำคัญทางจิตวิญญาณและความคิด ภาพเขียนประเภทนี้จะเห็นได้ในงานศิลปะหลายรูปแบบ ตั้งแต่ภาพเขียนรูปในเรื่องปรัมปราต่างๆ บนเครื่องปั้นดินเผา ไปจนถึงภาพตัวคนในจิตรกรรมฝาผนังในชาเปลซิสติน

สีคือหัวใจสำคัญของงานจิตรกรรมเช่นเดียวกับเสียงที่เป็นหัวในหลักของดนตรี สีมีความเป็นอัตวิสัยสูงแต่ก็สามารถสังเกตถึงผลทางจิตวิทยาได้ไม่ยาก แม้จะมีความแตกต่างไปตามแต่ละวัฒนธรรมบ้างก็จริง สีดำเกี่ยวพันกับความโศรกเศร้าในโลกตะวันตก แต่ในซีกโลกอื่นความโศรกเศร้าอาจเป็นสีขาวได้ จิตรกร นักทฤษฎี นักเขียนและนักวิทยาศาสตร์บางคน รวมทั้งเกอเท แคนดินสกี ไอแซก นิวตันต่างได้เขียนทฤษฎีสีของตนขึ้น นอกจากนี้ การใช้ภาษาในสียังเป็นเพียงการเอ่ยหรือการบ่งบอกสีโดยทั่วๆ ไปเท่านั้น เช่น คำว่า "สีแดง" เป็นเพียงคำที่ใช้แทนพิสัยการแปรที่กว้างขวางทั้งหมดของสเปกตรัมของสีแดงบริสุทธิ์ ไม่มีการกำหนดตายตัวในความแตกต่างของสีอย่างเช่นเสียง ที่สามารถกำหนดความสูงต่ำหรือบันไดเสียงที่ชัดเจนแน่นอนเป็นที่ยอมรับกันได้ เช่นบันไดเสียง C หรือ C# แม้จะมีการใช้ระบบ "แพนโทน" (Pantone) อย่างกว้างขวางในอุตสาหกรรมการพิมพ์และงานออกแบบแล้วก็ตาม

ศิลปินสมัยใหม่ได้ก้าวไปข้างหน้ามากในด้านงานเขียนภาพ เช่น ภาพปะติด (collage) ซึ่งเริ่มด้วยภาพเขียนบาศกนิยม (cubism) ตามด้วยคติที่ว่าจิตรกรรมไม่จำเป็นต้องเหมือนรูปแบบเดิมๆ จิตรกรสมัยใหม่หลายคนได้รวมเอาวัสดุหลากหลายชนิด เช่น ทราย ซิเมนต์ ฟางหรือไม้มาสร้างลายผิว ตัวอย่างงานเช่นว่านี้ได้แก่งานของชอง ดูบูเฟต์ (Jean Dubuffet) หรือ แอนเซลม์ คีเฟอร์ (Anselm Kiefer) หรือกมล ทัศนาญชลี นวศิลป์ หรือศิลปะสมัยใหม่ และศิลปะร่วมสมัยได้ก้าวไกลออกไปจากการเน้นคุณค่าประวัติศาสตร์หรือด้านฝีมือมาเน้นด้านมโนทัศน์มากขึ้น ทำให้มีผู้กล่าวว่าจิตรกรรมในฐานะของศิลปะแท้ได้ตายไปแล้ว แต่แนวโน้มก็หาได้ทำให้ศิลปินส่วนใหญ่หยุดการค้นหาจิตรกรรมแนวใหม่ๆ ต่อไปได้

ในโลกตะวันตก การศึกษามนุษยศาสตร์สามารถสืบย้อนไปได้ถึงกรีกโบราณซึ่งถือเป็นพื้นฐานการศึกษาเชิงกว้างสำหรับประชาชน ในยุคโรมัน แนวคิดศิลปศาสตร์ (liberal arts) 7 อย่างได้เกิดขึ้นได้แก่ ไวยากรณ์ วาทศาสตร์ (rhetoric) และตรรกศาสตร์ (logic) รวมทั้งเลขคณิต เรขาคณิต ดาราศาสตร์ (astronomia) ดนตรี (ที่เรียกรวมว่าจตุรศิลปศาสตร์ quadrivium) วิชาต่างๆ เหล่านี้ได้เป็นตัวก่อร่างสร้างฐานการศึกษาในยุคกลาง โดยเน้นให้มนุษยศาสตร์ให้เป็นทักษะหรือ "วิธีทำการทั้งปวง" ในชีวิต

การเลื่อนเปลี่ยนแนวได้เกิดขึ้นในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา เมื่อมนุษยศาสตร์เริ่มถูกมองว่าเป็นวิชา เพื่อการศึกษา มากกว่าวิชา เพื่อการปฏิบัติ ซึ่งเปลี่ยนจากแนวประเพณีดั้งเดิมเข้าหาสายวิชาเช่น วรรณคดีและประวัติศาสตร์ ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 (พ.ศ. 2493 - พ.ศ. 2542) มุมมองในแนวนี้ถูกท้าทายโดยขบวนการ "นักหลังสมัยใหม่นิยม" (postmodernist) ซึ่งมุ่งค้นหามนุษยศาสตร์ในเชิงของ "นักสมภาพนิยม" (egalitarian) เพื่อให้เหมาะกับสังคมประชาธิปไตยมากขึ้น

มหาวิทยาลัยจำนวนมากในสหรัฐฯ เชื่อว่าแนวทาง "การศึกษาศิลปศาสตร์" ที่กว้างซึ่งเป็นภาคบังคับสำหรับนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยทุกสาขานั้น มีความจำเป็น ผู้บุกเบิกในด้านนี้ที่มีชื่อเสียงได้แก่ มอร์ติเมอร์ เจ แอดเลอร์ และ อี ดี เฮิร์ช

เมื่อปี พ.ศ. 2533 คณะกรรมาธิการว่าด้วยมนุษยศาสตร์แห่งสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ในรายงาน "มนุษยศาสตร์ในชีวิตชาวอเมริกัน" ไว้ดังนี้:

มีการวิพากษ์วิจารณ์หลักสูตรมนุษยศาสตร์/ศิลปศาสตร์ตามแนวประเพณีเดิมว่าสิ้นเปลือง ไม่มีประโยชน์ในตลาดงานสมัยใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งต้องการการศึกษาเฉพาะทางในทุกสาขาที่จะต้องใช้เวลานานหลายปี แนวดังกล่าวนี้ตรงข้ามกับช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งมีผู้มีปริญญาระดับมหาวิทยาลัยเพียง 3%-6% ผู้มีปริญญาเพียงใบเดียวก็สามารถไต่เต้าสู่ชีวิตในสายงานวิขาชีพได้ไม่ยาก

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารผ่านศึกหลายล้านคนถือโอกาสเอาประโยชน์จาก "กฎหมาย จีไอ" (GI Bill) ซึ่งขยายการศึกษาของรัฐบาลกลางโดยให้ทุนการศึกษาจำนวนมหาศาลแก่ทหารผ่านศึกให้เข้าศึกษาระดับมหาวิทยาลัย จนถึงเมื่อ พ.ศ. 2546 ประมาณ 53% ของประชากรสหรัฐฯ จะได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยในรูปใดรูปหนึ่งและมีผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (Bachelors degree) หรือสูงกว่า 27.2% และจำนวน 8% เป็นผู้จบปริญญาโทและเอก

ก่อตั้งครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. 2507 โดยมีผู้ก่อตั้งคือ ศาสตราจารย์ ดร.หม่อมหลวงตุ้ย ชุมสาย เดิมทีมิได้เรียกว่า คณะ มนุษยศาสตร์ แต่มีชื่อเรียกว่า “คณะมนุษยธรรมศึกษา” เริ่มแรกเปิดสอน 4 สาขาวิชา คือ ภาษาไทย ประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และภาษาฝรั่งเศส

ภาษาและวรรณคดีถือว่าเป็นเนื้อหากลางในมนุษยศาสตร์ที่ต้องพิจารณา ดังนั้นผลกระทบของการสื่อสารอีเล็กทรอนิกส์จึงเป็นที่น่าห่วงใย เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่กำลังมาแรงและและอินเทอร์เน็ตเป็นตัวเร่งอัตราความเร็วในการสื่อสารให้สูงขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งอาจทำให้รูปแบบการสื่อสารที่ดีมาแต่เดิมเช่นวรรณคดีให้เสียรูปและทำภาษาให้ "ตกต่ำ" ห้องสมุดก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ชั้นวางหนังสือถูกทดแทนด้วยสายต่อคอมพิวเตอร์ แม้โดยข้อเท็จที่ว่ามนุษยศาสตร์จะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ได้ แต่ก็คาดว่าเชิงของอักษรศาสตร์ในรูปแบบประเพณีจะไม่หายไปโดยสิ้นเชิง


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301