ภาษาอิดอ (Ido) เป็นภาษาประดิษฐ์ สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นภาษาสากลในการช่วยสื่อสารระหว่างผู้คนเชื้อชาติต่าง ๆ โดยได้สร้างให้มีรูปแบบไวยากรณ์ที่ง่ายและเป็นไปตามกฎโดยไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งแตกต่างจากภาษาอื่น ๆ และไม่ให้คล้ายกับภาษาธรรมชาติภาษาใดมากเกินไปเพื่อไม่ให้เกิดความได้เปรียบในการเรียนรู้ภาษาอิดอ
ภาษาอิดอได้เริ่มมีการพัฒนาในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1900 ดัดแปลงมาจากภาษาเอสเปรันโต โดยมีการปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของภาษาเอสเปรันโตให้ดีขึ้น และได้นำออกมาใช้งานใน พ.ศ. 2450 โดยองค์การภาษาช่วยสื่อสารนานาชาติ และได้รับการสนับสนุนจากผู้พูดภาษาเอสเปรันโตราว 20%
แนวคิดในการสร้างภาษาประดิษฐ์มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 12 โดยฮิลเดการ์ดแห่งบินเกน ได้สร้างภาษาอิกนอตาขึ้นมา แต่ไม่ได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่ จนกระทั่งในคริสต์ศตวรรษที่ 19 ได้มีการสร้างภาษาโวลาปุกขึ้น โดย โจฮานน์ มาร์ติน สเกลเยอร์
ภาษาอิดอมีสระ 5 ตัว ได้แก่ a, e, i, o และ u เช่นเดียวกับภาษาเอสเปรันโต และมีพยัญชนะส่วนใหญ่เหมือนกับภาษาเอสเปรันโต โดยมีเสียงพยัญชนะต่าง ๆ ดังนี้
คำศัพท์ในภาษาอิดอส่วนมากสร้างขึ้นจากรากศัพท์ และไวยากรณ์ก็ได้ดัดแปลงมาจากภาษาเอสเปรันโต ไวยากรณ์ในภาษาอิดอไม่มีข้อยกเว้น ซึ่งแตกต่างจากภาษาธรรมชาติ
ลำดับโครงสร้างประโยคในภาษาอิดอเป็นเช่นเดียวกับในภาษาอังกฤษ เช่น ในประโยค "ฉันมีหนังสือสีน้ำเงิน" ใช้คำว่า "Me havas la blua libro" ซึ่งมีความหมายตรงกับในภาษาอังกฤษว่า "I have the blue book" ตามลำดับคำต่อคำ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างประโยคในภาษาอิดอมีข้อแตกต่างจากในภาษาอังกฤษดังนี้
การสร้างประโยคปฏิเสธสามารถสร้างได้โดยเติมคำว่า ne ไว้ข้างหน้ากริยา เช่น "Me ne havas libro" แปลว่า "ฉันไม่มีหนังสือ"
การสร้างประโยคคำถามสามารถสร้างได้โดยเติมคำว่า ka ไว้ข้างหน้าประโยค เช่น "Ka me havas libro?" แปลว่า "ฉันมีหนังสือหรือไม่?" และยังสามารถเติมคำว่า ka ไว้หน้าคำนามเพื่อสร้างเป็นประโยคคำถามได้ เช่น "Ka Mark?" อาจหมายความว่า "คุณคือมาร์กใช่ไหม?" หรือ "นั่นคือมาร์กใช้ไหม?" หรือ "หมายความว่ามาร์กใช่ไหม?" ก็ได้
คำศัพท์ในภาษาอิดอได้ดัดแปลงมาจากรากศัพท์ซึ่งเป็นคำศัพท์ในภาษาต่าง ๆ โดยได้เลือกนำรากศัพท์มาจากภาษาที่ให้ความสะดวกต่อผู้พูดมากที่สุด จากการสำรวจพบว่า คำศัพท์พื้นฐานในภาษาอิดอจำนวน 5,371 คำ ได้นำมาจากคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส สเปน เยอรมัน รัสเซีย และอิตาลี ดังนี้