ภาษาตุรกี (T?rk?e ตืร์กเช หรือ T?rk dili ตืร์ก ดิลิ) เป็นภาษากลุ่มเตอร์กิก เป็นภาษาที่มีผู้พูด 65 – 73 ล้านคนทั่วโลกซึ่งถือเป็นภาษากลุ่มเตอร์กิกที่มีผู้พูดมากที่สุด ผู้พูดส่วนใหญ่อยู่ในตุรกี และมีกระจายอยู่ในไซปรัส บัลแกเรีย กรีซ และยุโรปตะวันออก และมีผู้พูดอีกหลายสิบล้านคนที่อพยพไปอยู่ในยุโรปตะวันตกโดยเฉพาะเยอรมัน ต้นกำเนิดของภาษาพบในเอเชียกลางซึ่งมีการเขียนครั้งแรกเมื่อประมาณ 1,200 ปีมาแล้ว ภาษาตุรกีออตโตมันได้แพร่ขยายไปทางตะวันตกซึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของจักรวรรดิออตโตมัน พ.ศ. 2471 หลังการปฏิรูปของอตาเตริ์กซึ่งเป็นปีแรกๆของยุคสาธารณรัฐใหม่ มีการปรับปรุงภาษาโดยแทนที่อักษรอาหรับในยุคออตโตมันด้วยอักษรละตินที่เพิ่มเครื่องหมายการออกเสียง มีการตั้งสมาคมภาษาตุรกีเพื่อลดการใช้คำยืมจากภาษาเปอร์เซียกับภาษาอาหรับ หันมาใช้คำดั้งเดิมของภาษากลุ่มเตอร์กิกแทน
ลักษณะเด่นของภาษาตุรกีคือมีการเปลี่ยนเสียงสระและการเชื่อมคำแบบรูปคำติดต่อ การเรียงคำโดยทั่วไปเป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา ไม่มีการแบ่งเพศของคำนาม
ภาษาตุรกีอยู่ในกลุ่มตะวันตกของภาษากลุ่มโอคุซซึ่งรวมภาษากากาอุซและภาษาอาเซอรีอยู่ด้วย ภาษากลุ่มโอคุซนี้อยู่ในกลุ่มย่อยตะวันตกเฉียงใต้ของภาษากลุ่มเตอร์กิกซึ่งเป็นกลุ่มของภาษาที่ยังใช้พูดในปัจจุบันราว 30 ภาษา กระจายอยู่ในบริเวณจากยุโรปตะวันออก เอเชียกลางและไซบีเรีย นักภาษาศาสตร์บางกลุ่มจัดให้ภาษานี้อยู่ในตระกูลอัลไตอิก ผู้พูดภาษาตุรกีคิดเป็น 40% ของผู้พูดภาษากลุ่มเตอร์กิกทั้งหมด ลักษณะเด่นของภาษาตุรกี เช่น การเปลี่ยนเสียงสระและการเชื่อมคำแบบรูปคำติดต่อ และไม่มีเพศทางไวยากรณ์เป็นลักษณะทั่วไปของภาษากลุ่มเตอร์กิกและภาษากลุ่มอัลไตอิก ผู้พูดภาษาตุรกีและผู้พูดภาษากลุ่มโอคุซซอื่นๆ เช่น ภาษาอาเซอรี ภาษาเติร์กเมน ภาษาควาซไคว และภาษากากาอุซจะเข้าใจกันได้ดี
จารึกของภาษากลุ่มเตอร์กิกเก่าสุดพบในบริเวณที่เป็นประเทศมองโกเลียปัจจุบัน จารึกบูคุตเขียนด้วยอักษรซอกเดียมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 11 .จารึกอักษรออร์คอนมีอายุย้อนหลังไปได้ราว พ.ศ. 1275 – 1278 จารึกที่พบบริเวณหุบเขาออร์คอนจำนวนมากจัดเป็นภาษาเตอร์กิกโบราณเขียนด้วยอักษรออร์คอนที่มีลักษณะคล้ายอักษรรูนส์ในยุโรป
ผู้คนที่พูดภาษากลุ่มเตอร์กิกได้แพร่กระจายออกจากเอเชียกลางในยุคกลางตอนต้น (ราวพุทธศตวรรษที่ 11-16) โดยกระจายอยู่ตั้งแต่ยุโรปตะวันออก ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนไปจนถึงไซบีเรีย กลุ่มโอคุซเติร์กได้นำภาษาของตนคือภาษาเตอร์กิกแบบโอคุซเข้าสู่อนาโตเลียเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 16 . ในช่วงนี้ได้มีนักภาษาศาสตร์ Ka?qarli Mahmud เขียนพจนานุกรมของภาษาเตอร์กิก
เมื่อศาสนาอิสลามแพร่มาถึงบริเวณนี้ เมื่อราว พ.ศ. 1393 ชาวเซลจุกเติร์กซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอารยธรรมออตโตมันได้ปรับการใช้ภาษาโดยมีคำยืมจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซียเข้ามามาก วรรณคดีในยุคนี้ได้รับอิทธิพลจากภาษาเปอร์เซียมาก ภาษาในการเขียนและภาษาราชการในยุคจักรวรรดิออตโตมันเป็นภาษาผสมระหว่างภาษาตุรกี ภาษาอาหรับ และภาษาเปอร์เซีย ซึ่งต่างจากภาษาตุรกีที่ใช้ในประเทศตุรกีปัจจุบันและมักเรียกว่าภาษาตุรกีออตโตมัน
อัตราการรู้หนังสือก่อนการปรับรูปแบบภาษาในตุรกี (พ.ศ. 2470) ในผู้ชายคิดเป็น 48.4% และผู้หญิงเป็น 20.7% หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกีและเปลี่ยนระบบการเขียน มีการตั้งสมาคมภาษาตุรกีเมื่อ พ.ศ. 2475 สมาคมได้ปรับรูปแบบของภาษาโดยแทนที่คำยืมจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซียด้วยคำดั้งเดิมของภาษาตุรกี มีการสร้างคำใหม่โดยใช้รากศัพท์จากภาษาตุรกีโบราณที่เลิกใช้ไปนาน
ผลจากการเปลี่ยนแปลงภาษาโดยกะทันหันนี้ทำให้คนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ในตุรกีใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกัน คนรุ่นที่กิดก่อน พ.ศ. 2483 ใช้ศัพท์ที่มาจากภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซีย ส่วนคนที่เกิดหลังจากนั้นใช้คำศัพท์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ การปราศัยของอตาเติร์กในการเปิดประชุมสภาครั้งใหม่เมื่อ พ.ศ. 2470 ใช้ภาษาแบบออตโตมันซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกไปจากภาษาในปัจจุบันจนต้องมีการแปลเป็นภาษาตุรกีสมัยใหม่ถึงสามครั้งคือเมื่อ พ.ศ. 2506, 2529 และ 2538
นอกจากนี้ สมาคมภาษาตุรกียังมีการเพิ่มศัพท์เทคนิคทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งโดยมากมาจากภาษาอังกฤษ แต่ก็มีคำศัพท์ที่ถูกบัญญัติขึ้นมาแล้วแต่ไม่เป็นที่นิยม เช่น b?lem (พรรคการเมือง) ถูกกำหนดให้ใช้แทนคำเดิมคือ firka แต่คำที่ใช้โดยทั่วไปเป็น parti จากภาษาฝรั่งเศส หรือบางคำใช้ในความหมายที่ต่างไปจากที่กำหนด เช่น betik (หนังสือ) ปัจจุบันใช้ในความหมายของระบบการเขียนในคอมพิวเตอร์ คำบางคำที่ถูกบัญญัติขึ้นใหม่ยังใช้ควบคู่กับศัพท์เดิมโดยคำศัพท์เดิมเปลี่ยนความหมายไปเล็กน้อย เช่น dert (มาจากภาษาเปอร์เซีย dard หมายถึงเจ็บปวด) ใช้หมายถึงปัญหาหรือความยุ่งยาก ส่วนความเจ็บปวดทางร่างการยใช้ a?r? ที่มาจากภาษาตุรกี ในบางกรณี คำยืมมีความหมายต่างไปจากคำในภาษาตุรกีเล็กน้อยแบบเดียวกับคำยืมจากภาษากลุ่มเยอรมันและภาษากลุ่มโรมานซ์ในภาษาอังกฤษ
นอกจากในประเทศตุรกีแล้วยังมีผู้พูดภาษาตุรกีแพร่กระจายอยู่ในประเทศอื่นอีกกว่า 30 ประเทศ โดยมากเคยอยู่ภายใต้การแกครองของจักรวรรดิออตโตมัน เช่น บัลแกเรีย ไซปรัส กรีซ มาซิโดเนีย โรมาเนีย และเซอร์เบีย </ref> มีผู้พูดภาษาตุรกีมากกว่า 2 ล้านคนในเยอรมัน และมีชุมชนชาวตุรกีในฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ออสเตรีย เบลเยียม สวิตเซอร์แลนด์และสหราชอาณาจักร
จำนวนผู้พูดภาษาตุรกีเป็นภาษาแม่ในตุรกีมีประมาณ 60 -67 ล้านคน คิดเป็น 90 – 93% ของประชากรทั้งหมด และมีผู้พูดเป็นภาษาแม่ทั่วโลกราว 65 – 73 ล้านคน .
ภาษาตุรกีเป็นภาษาราชการของประเทศตุรกีและเป็นภาษาราชการร่วมในไซปรัสและมีสถานะเป็นภาษาราชการในตำบลปริซเรนในคอซอวอและในหลายบริเวณของมาซีโดเนียขึ้นกับจำนวนผู้พูดภาษาตุรกีในบริเวณนั้น ในตุรกีสมาคมภาษาตุรกีเป็นอง์กรควบคุมภาษาก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2475 ซึ่งมีอิทธิพลในการแทนที่คำยืมภาษาอื่นด้วยศัพท์ดั้งเดิมของภาษาตุรกีและพัฒนาระบบการเขียนปัจจุบันของภาษาตุรกี (พ.ศ. 2471) สมาคมเป็นองค์กรอิสระตั้งแต่ พ.ศ. 2494 – 2526 จากนั้นจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาล
สำเนียงที่ใช้ในอิสตันบูลเป็นสำเนียงมาตรฐานของประเทศตุรกี สำเนียงอื่นๆมีหลายสำเนียง เช่น สำเนียง Rumelice ใช้ในหมู่ผู้อพยพจากรูเมเลียซึ่งได้รับอิทธิพลจากภาษาในแหลมบอลข่าน ภาษาตุรกีในไซปรัสเรียกว่าสำเนียง Kibris สำเนียง Karadeniz ใช้พูดทางตะวันออกของทะเลดำ ได้รับอิทธิพลทางสัทวิทยาและการเรียงประโยคจากภาษากรีก เป็นต้น
ภาษาตุรกีมีแต่สระเดี่ยว ไม่มีสระผสม เมื่อสระสองตัวอยู่ใกล้กันซึ่งมักพบในคำยืมจะออกเสียงแยกกัน การเปลี่ยนเสียงสระเป็นเอกลักษณ์ของภาษาตุรกีโดยเสียงสระของปัจจัยจะเปลี่ยนไปตามสระของคำหลักเช่นปัจจัย –dir4 (มันเป็น, อยู่, คือ) เมื่อนำมาต่อท้ายศัพท์จะเป็น t?kiyedir (มันเป็นไก่งวง) kapid?r (มันเป็นประตู) g?nd?r (มันเป็นวัน) paltodur (มันเป็นเสื้อคลุม) เป็นต้น
ภาษาตุรกีปัจจุบันใช้อักษรละตินที่ดัดแปลงเป็นแบบของตนเอง โดยอักษรรูปแบบดังกล่าวได้เริ่มใช้เป็นครั้งแรกในปีพ.ศ. 2471 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปวัฒนธรรมของอตาเติร์ก เดิมภาษาตุรกีเขียนด้วยอักษรอาหรับแบบตุรกี แต่อักษรแบบดังกล่าวมีรูปเขียนสำหรับเสียงสระยาวเพียงแค่สามรูป ทั้ง ๆ ที่ภาษาตุรกีมีเสียงสระถึงแปดเสียง และยังมีอักษรบางตัวที่แทนเสียงที่ซ้ำกันในภาษาตุรกี (แต่ไม่ซ้ำกันในภาษาอาหรับ คล้ายกับอักษรไทยที่มีทั้ง ศ ษ และ ส ซึ่งมาจากอักษรที่แทนเสียงที่แตกต่างกันในภาษาสันสกฤต) การปฏิรูปดังกล่าวจึงทำให้ได้ตัวเขียนที่เหมาะสมกับภาษาตุรกีมากกว่าอักษรแบบเดิม
การปฏิรูประบบเขียนจึงเป็นก้าวสำคัญในช่วงการปฏิรูปวัฒนธรรม การจัดเตรียมตัวอักษรแบบใหม่รวมทั้งการเลือกอักษรที่พิ่มเติมจากอักษรละตินแบบมาตรฐานนั้นเป็นหน้าที่ของคณะกรรมาธิการภาษา ซึ่งประกอบด้วยนักภาษาศาสตร์ นักวิชาการ และนักเขียน ระบบการเขียนแบบใหม่ได้รับการสนับสนุนจากศูนย์การศึกษาของรัฐตามภูมิภาคต่าง ๆ และยังได้รับความร่วมมือจากสำนักพิมพ์ต่าง ๆ รวมทั้งความพยายามของอตาเติร์กเอง ที่ได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ เพื่อสอนระบบการเขียนแบบใหม่นี้ ซึ่งทำให้อตราการรู้หนังสือของตุรกีเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
อักษรละตินสำหรับภาษาตุรกีประกอบด้วยอักษรทั้งหมด 29 ตัว โดยอักษรที่เพิ่มขึ้นมาได้แก่ ? ? I ? ? ? และ ? และไม่มี Q W และ X โดยอักษร I จะมีสองแบบ คือแบบมีจุด (?,i) และแบบไม่มีจุด (I,?) ซึ่งต่างจากอักษรละตินมาตรฐาน ที่ตัวพิมพ์เล็กจะมีจุด แต่ตัวพิมพ์ใหญ่จะไม่มีจุด
ภาษาตุรกีเป็นภาษารูปคำติดต่อ นิยมใช้การเติมปัจจัยข้างท้ายคำ คำคำหนึ่งอาจเติมปัจจัยได้เป็นจำนวนมากเพื่อสร้างคำใหม่ เช่นการสร้างคำกริยาจากคำนาม การสร้างคำนามจากรากศัพท์คำกริยาเป็นต้น ปัจจัยส่วนใหญ่จะบอกหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำนั้นๆ สามารถสร้างคำที่มีความยาวมากๆจนมีความหมายเท่ากับประโยคในภาษาอื่นๆได้
คำนามไม่มีคำนำหน้าชี้เฉพาะ แต่มีการชี้เฉพาะวัตถุในคำลงท้ายแบบกรรมตรง ภาษาตุรกีมีคำนาม 6 การก คือ ประธาน ความเป็นเจ้าของ กรรมรอง กรรมตรง มาจาก ตำแหน่ง ซึ่งเปลี่ยนการลงท้ายด้วยการเปลี่ยนเสียงสระ คำคุณศัพท์มาก่อนคำนามที่ขยายคำคุณศัพท์ส่วนใหญ่เป็นคำนามได้ด้วย
คำกริยาในภาษาตุรกีจะแสดงบุคคลและสามารถแสดงความปฏิเสธ ความสามารถหรือไม่สามารถและแสดงกาล มาลา แลละความคาดหวังด้วย การปฏิเสธแสดงด้วยปัจจัย –me2 ที่มาก่อนปัจจัยอื่นๆของคำกริยา คำกริยาในภาษาตุรกีอาจรวมเป็นคำประกอบได้เพื่อให้ประโยคสั้นเข้า
การเรียงลำดับคำในภาษาตุรกีเป็นแบบประธาน-กรรม-กริยาแบบเดียวกับภาษาญี่ปุ่นและภาษาละติน คำขยายมาก่อนคำที่ถูกขยาย สิ่งที่เน้นมาก่อนสิ่งที่ไม่เน้นคำที่มาก่อนกริยาต้องออกเสียงเน้นหนักในประโยคโดยไม่มีข้อยกเว้น
คำศัพท์ส่วนใหญ่เป็นศัพท์ดั้งเดิมของภาษาตุรกี มีคำยืมเพียง 14% ส่วนใหญ่มาจากภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเปอร์เซีย ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ และภาษากรีก การสร้างคำใหม่ใช้การสร้างคำแบบรูปคำติดต่อโดยเติมปัจจัยเข้ากับรากศัพท์ของนามหรือกริยา คำส่วนใหญ่ในภาษาตุรกีมาจากการสร้างคำด้วยวิธีนี้