ภาษาคาเรีย เป็นภาษาของชาวคาเรีย จัดอยู่ในภาษากลุ่มอนาโตเลีย ใกล้เคียงกับภาษาไลเดียมากกว่าภาษาไลเซีย หลักฐานที่เหลืออยู่ส่วนมากเป็นชื่อเฉพาะ เช่น Sangodos, Kaphenos, Truoles, Nastes, Nomion, Mausolos และจารึกขนาดสั้นๆ เขียนด้วยอักษรคาเรีย ภาษานี้ถอดความได้โดย John D. Ray การรับวัฒนธรรมกรีกของชาวคาเรียทำให้ภาษานี้กลายเป็นภาษาตายเมื่อ ประมาณ พ.ศ. 643
อักษรคาเรียประกอบด้วยอักษร 45 ตัว มีผู้พยายามถอดความหมายอักษรนี้มาก ใน พ.ศ. 2503 นักวิจัยชาวรัสเซีย Vitaly V. Shevoroshkin เป็นผู้สันนิษฐานเป็นคนแรกว่า การเขียนนี้เป็นการเขียนแบบอักษรแทนพยางค์หรือกึ่งพยางค์ แต่ความพยายามถอดความหมายด้วยระบบนี้ล้มเหลว เพราะเขาพยายามแทนคำแต่ละพยางค์โดยอิงอักษรกรีก นักวิจัยชาวรัสเซียอีกคนหนึ่งคือ Yurity Otkupschikou ใน พ.ศ. 2531 ชี้ให้เห็นว่า มีความแตกต่างในการถอดความระหว่างอักษรคาเรียกับภาษาโบราณในแหลมบอลข่าน
ชาวกรีกฮาเดียนจำนวนเล็กน้อยเข้ามาถึงชายฝั่งของคาบสมุทรอนาโตเลียในช่วงปลายยุคสำริด และอยู่ภายใต้ชนพื้นเมืองที่ไม่ได้พูดภาษากรีก ซึ่งมีความสัมพันธ์กับจักรวรรดิฮิตไตต์ จนกระทั่งถึงยุคที่ชาวกรีกเผ่าไอโอเนียนและดอเรียน เข้ามาตั้งหลักแหล่งและสร้างเมืองใหญ่ๆ ขึ้น นักเขียนที่เกิดในเมืองนี้ได้เขียนไว้ว่า กลุ่มคนในเมืองใหม่มีการแต่งงานระหว่างเผ่า ซึ่งเรียกคนกลุ่มนี้ว่าคาเรีย และพูดภาษาที่ต่างออกไปการเขียนหายไปในช่วงยุคมืดของกรีก แต่การเขียนภาษาคาเรียก่อนหน้านั้นก็ไม่เหลืออยู่ จารึก 2 ภาษาเริ่มปรากฏใน 257 ปีก่อนพุทธศักราช
ถ้าภาษาคาเรียและภาษาไลเซียเป็นภาษาที่ใกล้ชิดกัน ภาษาที่น่าจะเป็นบรรพบุรุษของทั้งสองภาษานี้คือ ภาษาลูเวีย ซึ่งเป็นภาษาที่ใช้พูดในช่วงปลายยุคสำริด ในอนาโตเลียตะวันออก แล้วจึงแผ่ขยายไปทางตะวันตกและทางใต้ การสูญหายไปของภาษาลูเวีย อยู่ในช่วงไล่เลี่ยกับการเกิดขึ้นของภาษาที่คาดว่าเป็นภาษาลูกหลาน
ภาษาคาเรียกลายเป็นภาษาตาย ในช่วงที่อารยธรรมกรีกกำลังรุ่งเรือง และเกิดการทำให้เป็นกรีกในอนาโตเลีย แม้ว่าการได้รับอิทธิพลจากจักรวรรดิเปอร์เซียจะทำให้กระบวนการนี้ช้าลงบ้าง แต่ภาษาคาเรียก็กลายเป็นภาษาตายในที่สุด ในช่วงพ.ศ. 443 -453 หรือในช่วงคริสตกาล