ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (อังกฤษ: European Football Championship) หรือที่นิยมเรียกทั่วไปว่า ฟุตบอลยูโร
เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่จัดโดยสหภาพสมาคมฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) เป็นการแข่งขันของทีมชาติชายชุดใหญ่ของสมาชิกยูฟ่าเพื่อหาทีมผู้ชนะเลิศแห่งทวีปยุโรป เป็นการแข่งขันฟุตบอลที่มีผู้ชมมากเป็นอันดับสองของโลก รองจากฟุตบอลโลก ซึ่งยูโร 2016 รอบชิงชนะเลิศ มีผู้ชมทั่วโลกประมาณ 600 ล้านคน การแข่งขันจัดขึ้นทุก ๆ สี่ปี นับตั้งแต่ปี 1960 ยกเว้นครั้งปี 2020 ที่ถูกเลื่อนไปจัดในปี 2021 สืบเนื่องจากการระบาดทั่วของโควิด-19 ในทวีปยุโรปแต่ยังคงใช้ชื่อว่า ยูโร 2020 มีกำหนดการแข่งขันเป็นในปีเลขคู่สลับระหว่างการแข่งขันฟุตบอลโลก เดิมเรียกว่า ยูโรเปียนเนชันส์คัพ (อังกฤษ: European Nations' Cup) ก่อนเปลี่ยนเป็น ยูโรเปียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ ดังที่ใช้อยู่ในปัจจุบันตั้งแต่ครั้งปี 1968
ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน ทุกทีมนอกเหนือจากทีมเจ้าภาพ (เจ้าภาพผ่านการคัดเลือกโดยอัตโนมัติ) จะแข่งขันกันในรอบคัดเลือก จนถึงปี 2016 ผู้ชนะการแข่งขันสามารถแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพในปีถัดไปได้ แต่ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ตั้งแต่ครั้งปี 2020 เป็นต้นไป ผู้ชนะจะได้แข่งขันในคอนเมบอล–ยูฟ่าคัพออฟแชมเปียนส์
การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 17 ครั้ง ชนะโดยทีมชาติ 10 ทีม ได้แก่ สเปน 4 สมัย เยอรมนี 3 สมัย อิตาลีและฝรั่งเศส 2 สมัย และสหภาพโซเวียต เชโกสโลวะเกีย เนเธอร์แลนด์ เดนมาร์ก กรีซ และโปรตุเกส ชนะอย่างละหนึ่งสมัย จนถึงครั้งปัจจุบัน ทีมชาติสเปนเป็นทีมเดียวที่คว้าแชมป์ติดต่อกันได้ โดยทำได้ในปี 2008 และ 2012
ยูโร 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่เยอรมนี ทีมชนะเลิศตกเป็นของทีมชาติสเปนซึ่งคว้าแชมป์ยุโรปสมัยที่ 4 เป็นประวัติการณ์หลังจากเอาชนะทีมชาติอังกฤษ 2–1 ในรอบชิงชนะเลิศที่สนามโอลึมพีอาชตาดีอ็อนที่เบอร์ลิน
เริ่มมีการแข่งขันครั้งแรกขึ้นมาในปี 1960 ในชื่อว่า ฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ โดยเริ่มต้นรูปแบบการแข่งขันยังเป็นระบบการเล่นเหย้า-เยือนในรอบต้นๆ ก่อนที่จะเล่นแบบน็อกเอาต์ในรอบรองชนะเลิศ บุคคลที่ผลักดันให้มีการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป ในชาติเป็นกลางขึ้นมาคือ อองรี เดอลาเน่ย์ จากสหพันธ์ฟุตบอลฝรั่งเศส และ ทำให้การแข่งขันรอบสุดท้ายครั้งแรกมีขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส ในปี 1960 โดยเป็นการพบกันระหว่าง สหภาพโซเวียต กับ ยูโกสลาเวีย ซึ่งผลลงเอยด้วยชัยชนะของทีมจากแดนหลังม่านเหล็กในช่วงต่อเวลาพิเศษ 2-1
ในปี 1964 ได้มีปัญหาขัดแย้งทางการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในเกมกีฬา เมื่อ กรีซ ปฏิเสธที่จะเล่นกับ แอลเบเนีย หลังมีสงครามระหว่างประเทศ โดยเล่นรอบชิงชนะเลิศ จัดที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน และแชมป์ก็ตกเป็นของเจ้าภาพที่เอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-1
จากนั้นในปี 1968 ได้เปลี่ยนชื่อการแข่งขันจากฟุตบอลยูโรเปี้ยน เนชั่นส์ คัพ มาเป็น ยูฟ่า ยูโรเปี้ยน แชมเปี้ยนชิพ พร้อมกับเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่มโดยมี 8 สาย และแชมป์ของแต่ละกลุ่มจะเข้ามาเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศ ที่ต้องแข่ง 2 นัด ก่อนเข้ารอบตัดเชือก โดยแชมป์ครั้งนี้เป็นของเจ้าภาพ อิตาลี ที่เอาชนะ ยูโกสลาเวีย 2-0 ในนัดรีเพลย์ หลังเกมแรกเสมอกัน 0-0 ฟุตบอลยูโร 1972 รอบสุดท้าย ที่ประเทศเบลเยียม ยังคงใช้รูปแบบการแข่งขันเหมือนที่ผ่านมา โดยแชมป์ตกเป็นของ เยอรมัน ตะวันตก ที่ถล่ม สหภาพโซเวียต ไปอย่างขาดลอย 3-0 จากการทำประตูของ แกร์ด มุลเลอร์ คนเดียว 2 ลูก จากนั้นอีก 4 ปีต่อมา รอบชิงชนะเลิศมีขึ้นที่ยูโกสลาเวีย โดยที่ เชโกสโลวะเกีย เสมอ เยอรมัน 2-2 ก่อนที่จะมีการดวลจุดโทษครั้งแรก และแชมป์ก็ตกเป็นของ ขุนพลเช็กในที่สุด
มาถึงศึกยูโร 1980 ได้เริ่มใช้ระบบการแข่งแบบใหม่ โดย 8 ทีมจะต้องมาเล่นรอบสุดท้าย ที่ประเทศอิตาลี และแบ่งการเล่นออกเป็น 2 กลุ่ม นำแชมป์ของแต่ละกลุ่มมาเล่นรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งปรากฏว่า เยอรมันตะวันตก คว้าแชมป์ไปครองหลังเฉือนชนะ เบลเยียม 2-1
จนกระทั่งในศึกยูโร 1984 ที่ฝรั่งเศส ได้มีการเปลี่ยนระบบการแข่งขันให้ 2 ทีมที่มีคะแนนดีที่สุดของทั้ง 2 กลุ่ม เข้ามาเล่นในรอบ ตัดเชือก และในที่สุดเจ้าบ้านซึ่งนำทีมโดย มิเชล พลาตินี่ ก็ชนะ สเปน 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ พร้อมกับคว้าแชมป์ได้อย่างงดงาม จาก
นั้นในปี 1988 เยอรมันตะวันตก ได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันบ้างโดยใช้รูปแบบเหมือนครั้งที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม แฟนบอลเมืองเบียร์ต้องอกหัก ปล่อยให้ ฮอลแลนด์ ที่มีนักเตะชั้นเยี่ยมอย่าง มาร์โก แวน บาสเท่น, แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด และ รุด กุลลิท คว้าแชมป์ไปครอง หลังเอาชนะ สหภาพโซเวียต 2-0 ในรอบชิงชนะเลิศ มาถึงปี 1992 ที่สวีเดน ได้เกิดตำนานเทพนิยายเดนส์ขึ้นมา หลังจากทีมชาติเดนมาร์ก ได้เข้าร่วมการแข่งขันกะทันหัน เนื่องจาก ยูโกสลาเวีย ถูกตัดสิทธิ์ โดยขุนพลเมือง "โคนม" สร้างผลงานยอดเยี่ยมคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างเหลือเชื่อทั้งที่มีเวลา เตรียมตัวไม่นานนัก
ถึงศึกยูโร 1996 ที่อังกฤษ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแข่งขันอีกครั้ง โดยมี 16 ทีมเข้ามาเล่นในรอบสุดท้าย ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มๆ ละ 4 ทีม และ 2 อันดับแรกของแต่ละสายจะได้เข้ามาเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย นอกจากนั้น ยังมีการนำกฎ โกลเด้นโกล์มาใช้ครั้งแรกอีกด้วย และกฎนี้ก็ได้ใช้ตัดสินในรอบชิงชนะเลิศทันที โดยที่ โอลิเวอร์ เบียร์โฮฟ หัวหอกเยอรมัน ซัดดับชีพ สาธารณรัฐเช็ก 2-1
จากนั้นในปี 2000 ก็เป็นครั้งแรกที่มีเจ้าภาพร่วมโดย เบลเยียม และ ฮอลแลนด์ รับหน้าเสื่อคู่กัน จุดไคลแมกซ์ของการแข่งขัน ครั้งนี้อยู่ที่การทำประตูโกลเด้นโกล์ของ ดาวิด เทรเซเก้ต์ ที่พาฝรั่งเศส เอาชนะ อิตาลี พร้อมกับคว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม การชิงชัย 11 สมัยที่ผ่านมา ทำให้ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป กลายเป็นทัวร์นาเมนต์ที่แฟนบอลพูดกันว่าเพียงเติมบราซิล และอาร์เจนตินาลงไปในบรรดาทีมที่เข้ารอบสุดท้ายของศึกยูโรแต่ละครั้ง เราก็จะพบกับฟุตบอลโลกอีกเวอร์ชันดีๆ นี่เอง
ในครั้งที่ 15 ซึ่งจะจัดขึ้นปี พ.ศ. 2559 (ค.ศ. 2016) ทีมชาติในรอบสุดท้ายจะเพิ่มขึ้นเป็น 24 ทีมชาติ จัดการแข่งขันที่สาธารณรัฐโปแลนด์และประเทศยูเครน การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีทีมลงแข่งขันในรอบสุดท้าย 24 ทีม เปลี่ยนจากการแข่งขันเดิมที่มี 16 ทีม ซึ่งเริ่มใช้ครั้งแรกเมื่อ 1996 ภายใต้การจัดการแข่งขันแบบใหม่นั้น จะแบ่งเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม รอบแพ้คัดออกจะมี 3 รอบ และนัดชิงชนะเลิศ โดย 24 ทีมแบ่งเป็น 19 ทีม (แชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่มของรอบคัดเลือก 9 กลุ่ม รวมไปถึงทีมอันดับที่ 3 ทีมีคะแนนดีที่สุด)
ฝรั่งเศส 1960
สเปน 1964
อิตาลี 1968
เบลเยียม 1972
ยูโกสลาเวีย 1976
อิตาลี 1980
ฝรั่งเศส 1984
เยอรมนีตะวันตก 1988
สวีเดน 1992
อังกฤษ 1996
เบลเยียม/เนเธอร์แลนด์ 2000
โปรตุเกส 2004
ออสเตรีย/สวิตเซอร์แลนด์ 2008
โปแลนด์/ยูเครน 2012
ฝรั่งเศส 2016
ทั่วยุโรป 2020
เยอรมนี 2024
สหราชอาณาจักร/ไอร์แลนด์ 2028
อิตาลี/ตุรกี 2032