ฟุตบอลทีมชาติไทย เป็นตัวแทนของประเทศไทยในการแข่งขันฟุตบอลระหว่างประเทศ และอยู่ภายใต้การบริหารของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยทีมมีประวัติของความสำเร็จในการแข่งขันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือชนะเลิศอาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 4 สมัย และชนะเลิศซีเกมส์ 9 สมัย โดยทีมชาติไทยยังสามารถคว้าอันดับ 3 ในเอเชียนคัพ 1972 และเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน 2 ครั้ง และในเอเชียนเกมส์ 4 ครั้ง โดยอันดับโลกฟีฟ่าที่ทีมชาติไทยทำอันดับได้ดีที่สุด คือ อันดับที่ 42 ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2541 ปัจจุบันทีมชาติไทยอยู่อันดับที่ 119 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 2 ของอาเซียน จากการจัดอันดับโดยฟีฟ่า (เมษายน พ.ศ. 2559)
ทีมฟุตบอลทีมชาติไทยก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2458 ในนามคณะฟุตบอลสำหรับชาติสยาม และเล่นการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการครั้งแรก (พบกับทีมฝ่ายยุโรป) ที่สนามราชกรีฑาสโมสร ในวันที่ 20 ธันวาคม ในปีนั้น จนวันที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงก่อตั้งสมาคมฟุตบอลแห่งสยามฯ โดยลงเล่นในการแข่งขันระหว่างประเทศครั้งแรกใน พ.ศ. 2473 พบกับทีมชาติอินโดจีน ซึ่งประกอบไปด้วยผู้เล่นเวียดนามใต้ และ ฝรั่งเศส เพื่อต้อนรับการเสด็จประพาสอินโดจีนของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยชื่อของทีมชาติและชื่อของสมาคมได้ถูกเปลี่ยนชื่อในปี พ.ศ. 2482 เมื่อสยามกลายเป็นประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2499 พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร ซึ่งเป็นนายกสมาคม ได้มีการหาผู้เล่นจากหลายสโมสรเพื่อจัดตั้งทีมที่จะลงแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1956ที่เมลเบิร์น โดยเป็นครั้งแรกของทางทีมที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมในกีฬาโอลิมปิก ในการแข่งขันนั้นเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออก ทีมไทยจับฉลากพบกับสหราชอาณาจักร ในวันที่ 26 พฤศจิกายน โดยทีมไทยพ่ายแพ้ไป 0-9 (ความพ่ายแพ้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์) ตกรอบทันที โดยในรอบที่สอง ทีมสหราชอาณาจักรก็พ่ายแพ้ให้กับทีมชาติบัลแกเรีย 6 ประตูต่อ 1 โดยทีมชาติบัลแกเรียได้เหรียญทองแดง ทีมชาติยูโกสลาเวีย ได้เหรียญเงิน และสหภาพโซเวียตได้เหรียญทองไปครอง ภายหลังจากการแข่งขัน หนังสือพิมพ์สยามนิกร ฉบับวันที่ 28 พฤศจิกายน ได้พาดหัวข่าวหน้ากีฬาว่า "ทีมชาติอังกฤษเฆี่ยนทีมชาติไทย 9 - 0" ซึ่งภายหลังจบการแข่งขัน พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีรับสั่งถึงสมาคมฟุตบอลฯ ให้ส่ง พล.ต.ดร.สำเริง ไชยยงค์ หนึ่งในนักฟุตบอลชุดโอลิมปิกไปศึกษาพื้นฐานการเล่นฟุตบอลจากประเทศเยอรมนี เพื่อให้กลับมาสอนการเล่นฟุตบอลให้แก่ทีมไทย จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2508 ฟุตบอลทีมชาติไทยก็คว้าเหรียญทองในกีฬาแหลมทอง (ปัจจุบันเรียกว่าซีเกมส์) ครั้งที่ 3 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย จนถึง พ.ศ. 2552 ประเทศไทยชนะเลิศการแข่งขันทุก ๆ สองปีรวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง
ทีมไทยได้เข้าร่วมโอลิมปิกฤดูร้อนอีกครั้งในปีพ.ศ. 2511 โดยแพ้ต่อทีมชาติบัลแกเรีย 0-7, ทีมชาติกัวเตมาลา 1-4 และทีมชาติเช็กโกสโลวาเกีย 0-8 ตกรอบแรกในการแข่งขัน ซึ่งผู้ชนะในคราวนี้ คือทีมชาติฮังการี ได้เหรียญทองไปครอง ซึ่งเป็นการเข้าร่วมการแข่งขันในโอลิมปิกเป็นครั้งสุดท้ายจนถึงปัจจุบัน
ในปี พ.ศ. 2515 ประเทศไทยได้มีโอกาสเป็นเจ้าภาพการแข่งขันฟุตบอล เอเชียนคัพ 1972 ซึ่งเป็นการจัดการแข่งขันเอเชียนคัพครั้งที่ 5 โดยในการแข่งขันนี้ ทีมชาติไทยได้อันดับที่ 3 โดยยิงลูกโทษชนะทีมชาติกัมพูชา 5 ประตูต่อ 3 ภายหลังจากเสมอกัน 2 ต่อ 2 ซึ่งในการแข่งขันนี้ ทีมชาติอิหร่าน ชนะเลิศ และทีมชาติเกาหลีใต้ ได้รางวัลรองชนะเลิศตามลำดับ
ในปี พ.ศ. 2519 ประเทศไทยได้แชมป์คิงส์คัพครั้งแรก โดยเป็นแชมป์ร่วมกับทีมชาติมาเลเซีย ภายหลังจากที่มีการเริ่มมีการจัดคิงส์คัพในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 โดยต่อมาทีมชาติไทยได้เป็นแชมป์คิงส์คัพอีกหลายครั้งรวมทั้งสิ้น 11 ครั้งด้วยกัน
สำหรับการแข่งขันในเอเชียนเกมส์ ทีมชาติไทยยังไม่สามารถที่จะชนะเลิศได้ โดยความสำเร็จสูงสุดคือเข้ารอบรองชนะเลิศ ในการแข่งขันเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 11 ที่จัดขึ้นที่ กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ในปี พ.ศ. 2533 เช่นเดียวกับ เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่จัดขึ้นที่ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2541 และ เอเชียนเกมส์ครั้งที่ 14 ที่จัดขึ้นที่ ปูซาน ประเทศเกาหลีใต้ ในปี พ.ศ. 2545และครั้งล่าสุดเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 15 ที่จัดขึ้นที่ โดฮา ในปี พ.ศ. 2549 ทีมชาติไทยก็เป็นทีมเดียวในอาเซียนที่ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ (8 ทีมสุดท้าย) ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเข้ารอบโดยเป็นที่ 1 ของกลุ่มซี
ในปี พ.ศ. 2537 ไทยได้ร่วมก่อตั้งสหพันธ์ฟุตบอลอาเซียน (เอเอฟเอฟ) กับอีก 9 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน และนอกจากนี้ ประเทศไทยได้มีการเชิญสโมสรชั้นนำจากทั่วโลก มาแข่งขันกับในประเทศไทยหลายครั้ง ได้แก่ เอฟซีปอร์โต (2540) อินเตอร์มิลาน (2540) โบคาจูเนียร์ (2540) ลิเวอร์พูล (2544) นิวคาสเซิลยูไนเต็ด (2547) เอฟเวอร์ตัน (2548) โบลตันวันเดอร์เรอร์ (2548) แมนเชสเตอร์ซิตี (2548 ที่ไทย และ 2550 ที่อังกฤษ) และสโมสรชั้นนำอื่น ๆ และในปี 2551 ไทยตกรอบฟุตบอลรอบคัดเลือก รอบ 20 ทีมสุดท้าย โดยได้อยู่สายเดียวกับทีมอย่าง ญี่ปุ่น โอมาน บาห์เรน โดยไทยแข่ง 6 นัด ไม่ชนะใครเลย แพ้ 5 เสมอ 1 ทำให้ชาญวิทย์ ผลชีวิน ลาออกจากตำแหน่ง หลังจากนั้นไม่นาน ปีเตอร์ รีด อดีตนักเตะเอฟเวอร์ตันและทีมชาติอังกฤษก็เข้ามารับตำแหน่งแทนแต่ไทย ก็พลาดแชมป์ อาเซียนฟุตบอลแชมเปียนชิพ 2007 โดยแพ้ทีมชาติเวียดนามรวมผลสองนัด 3-2 และยังพลาดคิงส์คัพอีกรายการหนึ่ง โดยดวลจุดโทษแพ้ ทีมชาติเดนมาร์ก จากเหตุการณ์ดังกล่าว ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2552 ปีเตอร์ รีด จึงถูกปลดออกจากตำแหน่งรวมทั้งอนาคตที่ไม่แน่นอนในการคุมทีมชาติเพราะรีดมีข่าวว่าจะไปทำงานที่สโมสรฟุตบอลสโตกซิตี โดยเป็นผู้ช่วยของ โทนี พูลิส ผู้จัดการทีมสโตกซิตี
ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552, ไบรอัน ร็อบสัน ได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทยซึ่งเซ็นสัญญากับทีมชาติไทยไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014.. ต่อมาในวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552, ร็อบสันสามารถนำทีมชาติไทยชนะนัดแรกในการคุมทีมของในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2011 รอบคัดเลือก ที่พบกับ ทีมชาตสิงคโปร์ ด้วยสกอร์ 3-1. แต่ในวันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552, ร็อบสันนำทีมชาติไทยแพ้นัดแรกต่อทีมชาตสิงคโปร์ เช่นกันด้วยสกอร์ 1-0 ด้วยการแพ้ในบ้านที่ประเทศไทย. ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ทีมชาติไทยสามารถยันเสมอกับจอร์แดน และ ทีมชาตอิหร่าน ด้วยสกอร์ 0-0 ทั้งสองนัดในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมชาติไทยได้เข้ารอบสุดท้ายในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2011 ที่ประเทศกาตาร์ได้ ในวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ร็อบสันสามารถนำทีมชาติไทยชนะทีมชาติสิงคโปร์ด้วยสกอร์ 1-0 ที่ประเทศไทย ในการแข่งขันกระชับมิตร ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยเอาชนะทีมชาติอินเดีย ได้ด้วยสกอร์ 2-1 ในการแข่งขันกระชับมิตรเช่นกัน แต่ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2553 ร็อบสันนำทีมชาติไทยตกรอบ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2010 ตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม หลังจากการเสมอ 2 นัดกับ ทีมชาติลาว และ ทีมชาติมาเลเซีย และแพ้ให้กับ ทีมชาติอินโดนีเซีย ซึ่งช่วงนั้นถือเป็นยุคมืดของทีมชาติไทยอย่างแท้จริง ทำให้ร็อบสันยกเลิกสัญญาจากการเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554.
ต่อมา วินฟรีด เชเฟอร์ อดีตผู้จัดการทีมเฟาเอฟเบชตุทท์การ์ท กับอดีตแมวมองสโมสรโบรุสเซียเมินเชนกลัดบัคสโมสรฟุตบอลชื่อดังในบุนเดสลีกาและอดีตผู้จัดการทีมทีมชาติแคเมอรูนวัย 61 ปีได้เข้ามาเป็นผู้จัดการทีมชาติไทยแทนไบรอัน ร็อบสัน ที่มีปัญหาในเรื่องสุขภาพ โดยงานแรกของเชเฟอร์คือการนำทีมชาติไทยไปแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2014 ในรอบคัดเลือกโซนเอเชีย ซึ่งแฟนบอลทุกคนได้สนับสนุนการทำงานของเชเฟอร์มาตลอดไม่ว่าการแข่งขันในบ้านหรือนอกบ้านจะมีแฟนบอลคอยติดตามอยู่ทุกเมื่อ
โดยนัดแรกทีมชาติไทยได้บุกไปแพ้ให้แก่ฟุตบอลทีมชาติออสเตรเลีย ด้วยสกอร์ 1-2 ซึ่งออกนำไปก่อนจากประตูของธีรศิลป์ แดงดา. แล้วในการแข่งขันต่อมาทีมชาติไทยสามารถเอาชนะฟุตบอลทีมชาติโอมานได้ 3-0 จากประตูของสมปอง สอเหลบ, ธีรศิลป์ แดงดา และการทำเข้าประตูตัวเองของราชิค จูมา อัล-ฟาร์ซี โดยเป็นชัยชนะนัดที่สองของทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ซึ่งนัดแรกคือนัดที่เอาชนะทีมชาติปาเสลสไตน์ได้ 3-2 ในรอบคัดเลือกรอบที่ 2. และสามารถยันเสมอทีมชาติซาอุดีอาระเบียได้ 0-0 ในนัดถัดมาแต่หลังจากนั้นทีมชาติไทยได้แพ้อีกทั้ง 3 นัดในการไปเยือน 2 นัดและเล่นในบ้าน 1 นัดจึงทำให้หยุดการแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ไว้ที่รอบแบ่งกลุ่ม (คัดเลือกรอบที่ 3 โซนเอเชีย) และในการแข่งขัน เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ทีมชาติไทยสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ซึ่งต้องไปพบกับทีมชาตสิงคโปร์ด้วยการเอาชนะทีมชาติมาเลเซีย ด้วยสกอร์ 3-1 ในรอบก่อนรอบชิงชนะเลิศ ในรอบชิงชนะเลิศนัดแรกทีมชาติไทยบุกไปแพ้ทีมชาติสิงคโปร์แต่ก็ได้ประตูทีมเยือน (อเวย์โกล์) จากอดุลย์ หละโสะและในนัดที่สองแข่งกันที่กรีฑาสถานแห่งชาติทีมชาติไทยสามารถเอาชนะทีมชาติสิงคโปร์ด้วยสกอร์ 1-0 จากประตูของกีรติ เขียวสมบัติแต่รวมผลสกอร์ทีมชาติไทยแพ้ 3-2 ต่อมาเชเฟอร์ได้นำทีมชาติไทยไปแข่งในการแข่งขันเอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก (แบ่งกลุ่ม) ซึ่งเขานำทีมชาติไทยแพ้ทั้ง 2 นัดและทำให้เขายกเลิกสัญญาระหว่างเขากับทีมชาติไทยในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 โดยทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้ง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตนักฟุตบอลทีมชาติไทยชื่อดังเป็นผู้จัดการทีมชาติคนใหม่ ซึ่งนัดแรกของเกียรติศักดิ์ในการคุมทีมชาติไทยคือในการแข่งขันกระชับมิตรกับทีมชาติจีน โดยเกียรติศักดิ์สามารถนำทีมชาติไทยบุกไปชนะทีมชาติจีนถึงถิ่นด้วยสกอร์ 5-1
ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 ทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้แต่งตั้งให้ สุรชัย จตุรภัทรพงษ์ อดีตนักฟุตบอลชื่อดังชาวไทย เป็นผู้ฝึกสอนและเตรียมทีมชาติไทยไปแข่งกับทีมชาติอิหร่าน ในการแข่งขัน เอเชียนคัพ 2015 รอบคัดเลือก (แบ่งกลุ่ม) ก่อนที่เกียรติศักดิ์จะมาคุมทีมต่อและสร้างประวัติศาสตร์สามารถคว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี และรองแชมป์คิงส์คัพในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 รวมทั้งในปี พ.ศ. 2559 ก็สามารถพาทีมชาติไทยเป็นแชมป์กลุ่มเอฟในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 2 ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และสามารถผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพ 2019 ทันที ซึ่งเป็นการผ่านเข้าไปเล่นเอเชียนคัพได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีอีกด้วย
ราชมังคลากีฬาสถาน เป็นสนามกีฬาขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก่อสร้างแล้วเสร็จ เมื่อปี พ.ศ. 2541 สำหรับใช้ในการแข่งขันกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 13 ปัจจุบันมีความจุทั้งสิ้น 65,000 ที่นั่ง ตั้งอยู่ที่สนามกีฬาหัวหมาก ภายในที่ทำการของการกีฬาแห่งประเทศไทย แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร ซึ่งใช้เป็นสนามเหย้าของฟุตบอลทีมชาติไทย ตั้งแต่เริ่มเปิดใช้จนถึงปัจจุบัน
แต่เดิมชุดแข่งขันของฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดที่หนึ่งประกอบด้วย เสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดง ส่วนชุดที่สองประกอบด้วย เสื้อสีน้ำเงิน กางเกงสีน้ำเงิน และ ถุงเท้าสีน้ำเงิน ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2550 สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่ง ไปยังสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) เป็นเสื้อสีเหลือง กางเกงสีเหลือง และถุงเท้าสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อเทิดพระเกียรติเนื่องในวโรกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2554 ที่ประชุมกรรมการสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ มีมติให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนชุดที่หนึ่งไปยังฟีฟ่า กลับมาเป็นเสื้อสีแดง กางเกงสีแดง และถุงเท้าสีแดงอีกครั้ง
จากการจับฉลากสำหรับรอบที่ 1 และ รอบที่ 2 ในการแข่งขันรอบคัดเลือก โซนเอเชีย เพื่อหาตัวแทนไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ โดยในรอบที่ 1 ทีมชาติไทยสามารถเอาชนะมาเก๊า ด้วยผลประตูรวม 13-2 และต้องพบกับเยเมนในรอบที่ 2 โดยทีมชาติไทยสามารถเอาชนะด้วยผลประตูรวม 2-1 โดยทีมชาติไทยถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับญี่ปุ่น, บาห์เรน, และ โอมาน ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก
จากการจับฉลากสำหรับรอบที่ 2 ในการแข่งขันรอบคัดเลือกโซนเอเชีย เพื่อหาตัวแทนไปแข่งขันฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล โดยในรอบที่ 2 ทีมชาติไทยลงเล่นนัดแรกที่นิว ไอ-โมบาย สเตเดี้ยมชนะไป 1-0 และบุกไปเยือนด้วยผลเสมอ 2-2 สามารถเอาชนะปาเลสไตน์ ด้วยผลประตูรวม 3-2 โดยทีมชาติไทยถูกจับสลากให้อยู่ในกลุ่มเดียวกับออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย, และ โอมาน ในรอบแบ่งกลุ่มรอบแรก
โดยทีมชาติไทยชุดนี้ วินฟรีด เชเฟอร์ หัวหน้าผู้ฝึกสอนบอกว่ามีลุ้นกว่าทุกชุดของทีมชาติไทยที่จะผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่รอบคัดเลือกฟุตบอลโลก 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น โดยเชเฟอร์ทำสิ่งที่โค้ชทีมชาติคนก่อนๆไม่เคยทำ เช่น ความขยันไปดูฟุตบอลลีกในประเทศทุกคู่ ความอดทน วางรากฐานให้ทีมชาติไทย และอีกมากมาย
ซึ่งผลของการเข้มงวดกับการฝึกซ้อมเตรียมตัวลงแข่งขัน ทำให้ผลงานในการลงเล่นรอบคัดเลือกนัดแรก ที่บุกไปแพ้ออสเตรเลีย 1-2 ชนิดที่น่าจะเก็บคะแนนกลับบ้านได้ ก่อนที่ในเกมนัดต่อมาจะเอาชนะโอมาน 3-0 เรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับคืนมา และในเกมนัดที่สาม ซึ่งทีมชาติไทยสามารถเปิดราชมังคลากีฬาสถาน ยันเสมอซาอุดิอาระเบียได้สำเร็จด้วยสกอร์ 0-0 แม้แฟนบอลจะผิดหวังกับสกอร์ที่ออกมา เนื่องจากกระแส ณ ขณะนั้นที่มองว่าซาอุดิอาระเบียกำลังฟอร์มตก แต่หากไปดูสถิติการพบกันก่อนหน้านั้นที่ไทยแพ้ซาอุดิอาระเบีย 10 จาก 11 นัด ย่อมแสดงให้เห็นว่าเกมนี้ ทีมชาติไทยทำผลงานได้ตามเป้าหมายแล้ว
การเก็บคะแนนได้ถึง 4 คะแนน จาก 3 นัด ในกลุ่มที่มีแต่ทีมเต็งเข้ารอบทั้งสิ้นนั้น ทำให้ทีมชาติไทยได้รับการจับตามองว่าจะสามารถสอดแทรกขึ้นมาแย่งตั๋วเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ในเกมนัดที่สี่ ซึ่งถือว่าเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญผ่านเข้ารอบคัดเลือกต่อไป ไทยบุกไปแพ้ซาอุดิอาระเบีย 0-3 โดยในช่วงท้ายเกมส์ นักฟุตบอลทั้งสองทีมมีเหตุกระทบกระทั่งกันด้วย ทำให้เกมนัดที่ห้า ซึ่งไทยกลับมาเปิดสนามศุภชลาศัย พบออสเตรเลีย จึงถือว่ามีความหมายอย่างมาก โดยเกมการแข่งขัน ทีมชาติไทยเล่นได้เหนือกว่าออสเตรเลียเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำประตูออสเตรเลียได้ จนกระทั่งมาถูกทีมเยือนทำประตูในครึ่งหลัง เป็นผลให้ทีมชาติไทยแพ้ไปในที่สุด 0-1 โอกาสผ่านเข้าไปคัดเลือก 10 ทีมสุดท้ายเลือนลางเต็มที แต่หลังจบเกมนัดนั้น เพียงไม่กี่ขั้วโมง ทีมชาติไทยก็มีข่าวดีเมื่อโอมานสามารถบุกไปเสมอซาอุดิอาระเบีย 0-0 ทำให้ตารางคะแนนที่ออกมาหลังจบเกมนัดที่ห้า ออสเตรเลียผ่านเข้ารอบไปแล้ว แต่อีกสามทีมที่เหลือยังมีคะแนนเบียดกัน และยังมีโอกาสเข้ารอบ ด้วยกันทั้งหมด
ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555 ทีมชาติไทยแพ้ทีมชาติโอมาน ไป 2 – 0 ขณะที่ออสเตรเลียชนะซาอุดิอาระเบียไป 4 – 2 ทีมชาติไทยตกรอบคัดเลือกโดยเป็นที่ 4 ของกลุ่ม
การแข่งขันครั้งนี้เป็นการแข่งขันที่แฟนบอลทีมชาติไทยคาดหวังมากที่สุด เนื่องจากชุดนี้หัวหน้าผู้ฝึกสอนตกเป็นของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ซึ่งสามารถพาทีมชุดนี้คว้าแชมป์ในการแข่งขันฟุตบอลระดับอาเซียนกลับประเทศได้หมดแล้ว ทั้งซีเกมส์ 2013 และ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 รวมทั้งการจับสลากแบ่งกลุ่มในการแข่งขันในรอบที่ 2 เมื่อวันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2558 ซึ่งไทยอยู่ในกลุ่มเอฟร่วมกับอิรัก ซึ่งมีอันดับโลกฟีฟ่าต่ำสุดในโถที่ 1 ซึ่งเป็นหัวแถวของเอเชีย, เวียดนาม, อินโดนีเซีย ซึ่ง 2 ประเทศนี้อยู่ในเขตอาเซียน และไต้หวัน ซึ่งมีอันดับโลกฟีฟ่าต่ำสุดในเอเชีย จึงนับว่าเป็นเรื่องง่ายของไทยที่จะผ่านไปเล่นในรอบที่ 3
และนัดแรกก็ไม่ทำให้แฟนบอลผิดหวัง เพราะการแข่งขันระหว่างไทยกับเวียดนามที่ราชมังคลากีฬาสถานเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม ซึ่ง วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ในขณะนั้นส่งเรื่องไปยังฟีฟ่า และได้รับอนุมัติให้เลื่อนออกมาหลังไปทับกับโปรแกรมการแข่งขันฟุตบอลซีเกมส์ 2015 ที่ประเทศสิงคโปร์ ไทยสามารถเอาชนะเวียดนามได้ 1-0 จากปกเกล้า อนันต์ ในนาทีที่ 81 แต่แล้วในวันที่ 30 พฤษภาคม ก็เกิดเหตุการณ์โชคร้ายของทีมไทย เมื่ออินโดนีเซียถูกฟีฟ่าสั่งแบนจากการนำการเมืองเข้ามาแทรกแทรงวงการฟุตบอล หมดสิทธิ์ลงแข่งฟุตบอลโลก แต่เกียรติศักดิ์ กุนซือ ช้างศึก เห็นว่าเป็นเรื่องดี เพราะการแข่งขันจะลดลงถึง 2 นัด ทำให้มีเวลาเตรียมทีมและฝึกซ้อมมากกว่าเดิม แล้วก็เป็นผล เพราะเมื่อ 16 มิถุนายน ไทยสามารถบุกไปชนะไต้หวันได้ถึงถิ่น 2-0 จาก ธีรศิลป์ แดงดา ในนาทีที่ 21 และ 39 และเปิดบ้านยันเสมอกับอิรักเมื่อ 8 กันยายน ไป 2-2 จากจุดโทษของ ธีราทร บุญมาทัน ในนาทีที่ 80 และ มงคล ทศไกร ในนาทีที่ 83 ต่อมาในวันที่ 13 ตุลาคม ไทยก็บุกไปชนะเวียดนามได้ถึง 3-0 จาก เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ในนาทีที่ 28, การสกัดเข้าประตูตัวเองของ ดิน เทียน ทันห์ ในนาทีที่ 56 และการต่อบอลอันสวยงาม 16 ครั้ง ก่อนปิดกล่องที่ ธีราทร บุญมาทัน ในนาทีที่ 70 และในวันที่ 12 พฤศจิกายน ไทยก็เปิดบ้านเอาชนะไต้หวันไป 4-2 จาก ธีรศิลป์ แดงดา ในนาทีที่ 41, ปกเกล้า อนันต์ ในนาทีที่ 52, อดิศักดิ์ ไกรษร ในนาทีที่ 72 และ ธนา ชะนะบุตร ในนาทีที่ 74
และนัดสุดท้ายในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559 ที่สนามกลางในประเทศอิหร่าน ซึ่งอิรักใช้แข่งเนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองอันไม่สงบภายในประเทศอิรัก ไทยสามารถยันเสมออิรักได้ 2-2 จาก มงคล ทศไกร ในนาทีที่ 40 และ อดิศักดิ์ ไกรษร ในนาทีที่ 86 ทำให้ไทยเข้ารอบที่ 3 ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี และสามารถเข้ารอบสุดท้ายของศึก เอเชียนคัพ ได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีอีกด้วย
ฟุตบอลทีมชาติไทยมีผู้สนับสนุนหลักประกอบด้วย กลุ่มบริษัท ปตท., เบียร์ช้าง, แอลจี, แมคโดนัลด์, แกรนด์สปอร์ต, โรงพยาบาลกรุงเทพ
ในวัฒนธรรมสมัยนิยม ทีมชาติไทยได้มีการถูกอ้างถึงในหลายสื่อ เช่น ภาพยนตร์หมากเตะรีเทิร์นส, ในการ์ตูนญี่ปุ่นกัปตันซึบาสะ และการ์ตูนไทย มหาสนุก รวมไปถึงยังมีการดัดแปลงเป็นตัวละครในวิดีโอเกมชื่อดังหลาย ๆ เกม เช่น เกมชุดแชมเปียนชิพเมเนเจอร์ เกมชุดฟุตบอลเมเนเจอร์ เกมชุดฟีฟ่า และเกมวินนิงอีเลฟเวนภาค 2000 ยู-23 และล่าสุดกับเกมโปร อีโวลูชั่น ซ็อคเกอร์ 2009 นอกจากนั้นแล้ว โปรแกรมเมอร์ชาวไทยบางคนยังได้นำเกมบางเกมเหล่านี้ เช่น วินนิงอีเลฟเวน หรือแชมเปียนชิพเมเนเจอร์ มาดัดแปลงเพื่อเพิ่มทีมชาติไทย นักฟุตบอลไทย และรายการการแข่งขันที่เกี่ยวข้องกับทีมชาติไทยลงไปอีกด้วย
ในภาพยนตร์หมากเตะรีเทิร์นส เรื่องราวของพงศ์นรินทร์ผู้ฝึกสอนฟุตบอลชาวไทยที่มีฝีมือควบคุมทีมระดับสูงกับน้าสาวเจ๊มิ่งที่ถูกหวยรางวัลที่ 1 โดยทั้งสองคนต้องการพาทีมฟุตบอลไทยไปแข่งฟุตบอลโลกโดยพร้อมที่จะใช้ค่าใช้จ่าย 192 ล้านบาทที่ได้มาจากรางวัล แต่ปรากฏว่าหลังจากคุยกับทาง "สมาพันธ์ฟุตบอลไทย" ทางสมาพันธ์ไม่เห็นด้วยไม่ยอมให้พงศ์นรินทร์มาเป็นผู้ฝึกสอน โดยได้แต่งตั้งให้ผู้ฝึกสอนชาวบราซิลมาควบคุมทีมแทน เจ๊มิ่งกับหลานชายเลยโมโหและเดินทางไป "ราชรัฐอาวี" ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทน และสนับสนุนทีมฟุตบอลราชรัฐอาวีจนในที่สุดทีมฟุตบอลอาวีได้ชนะผ่านเข้ารอบจนถึงรอบสุดท้าย และต้องตัดสินกับทีมชาติไทยที่นำโดยผู้ฝึกสอนชาวบราซิล เพื่อจะชิงสิทธิที่จะไปร่วมแข่งขันในฟุตบอลโลก
ในการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องกัปตันซึบาสะ ทีมเยาวชนไทยได้แข่งขันกับทีมเยาวชนญี่ปุ่นในการแข่งขันฟุตบอลเอเชียเยาวชน โดยทีมไทยมีผู้เล่นหลัก สามพี่น้องนักตะกร้อ ฟ้าลั่น สกุล ชนะ กรสวัสดิ์ เล่นในตำแหน่งกองหน้า และมี บุนนาค สิงห์ประเสริฐ อดีตแชมป์มวยไทย ที่เล่นให้กับสโมสรอัตเลตีโกมาดริดในสเปน ในตำแหน่งกองหลัง โดยเป็นกัปตันทีม และเป็นตัวกดดันซึบาสะจนเล่นไม่ออก ในครึ่งแรกนั้นทีมไทยนำทีมญี่ปุ่นถึง 4 ประตูต่อ 1 แต่ในช่วงครึ่งหลัง วากาบายาชิ และ อาโออิ ได้ลงเล่น ทำให้ญี่ปุ่นพลิกล็อกชนะไป 5 ประตูต่อ 4 (วากาบายาชิ ในขณะนั้น ถือว่าเป็นผู้รักษาประตูที่เหนียวมาก)
โดยนิตยสารอะเดย์ฉบับที่ 70 ได้มีการกล่าวถึงการ์ตูนกัปตันซึบาสะ ที่ทีมชาติญี่ปุ่นได้แข่งกับทีมชาติไทยนี้
ในหนังสือการ์ตูนไทยมหาสนุก ได้เคยมีเรื่องราวเกี่ยวกับฟุตบอลทีมชาติไทย โดยเขียนเป็นเรื่องสั้นมีภาพประกอบโดย เฟน สตูดิโอ พิมพ์ลงในมหาสนุก ฉบับกระเป๋า เล่มที่ 25 เดือน กรกฎาคม 2533 ปักษ์แรก เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ หนุ่มไทย 3 คน ที่ชอบเล่นฟุตบอลเป็นชีวิตจิตใจ แต่เนื่องจากไม่มีเงินซื้อลูกฟุตบอล จึงได้ฝึกเล่นฟุตบอลกับลูกมะพร้าวอยู่เป็นเวลานาน จนมาวันหนึ่ง ผู้จัดการทีมชาติไทยได้ขับรถเที่ยวต่างจังหวัด และได้เห็นฝึมือของทั้งสามคนนี้ จึงซื้อลูกฟุตบอลมาให้ พร้อมกับชวนไปเล่นเป็นตัวแทนทีมชาติไทย จนในที่สุด ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมแข่งขันฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทย โดยในระหว่างการแข่งได้เจอกับคู่แข่งที่เก่งกาจไม่ว่านักเตะชื่อดังอย่างรืด คึลลิต, มาร์โก ฟัน บัสเติน และแกรี ลินิเกอร์ ผลการแข่งขันปรากฏว่าทีมไทยชนะ และผ่านไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ซึ่งในตอนจบนั้น ทีมชาติไทยกำลังจะทำประตูชนะการแข่งขัน แต่เกิดแผ่นดินไหวขึ้น และโลกระเบิด ทำให้ทีมไทยไม่ได้แชมป์บอลโลกในครั้งนั้น
ในอะนิเมะและเกม อินาสึมะอิเลฟเวน GO กาแลคซี่ ทีมชาติไทยมีชื่อว่า มัคไทเกอร์ ซึ่งเป็นทีมชาติที่ร่วมการแข่งขันฟุตบอลฟรอนเทียร์อินเตอร์เนชันแนล วิชั่นทู โซนเอเชีย ซึ่งเป็นผู้ผ่านเข้ารอบการแข่งขันระหว่างทีมเดเซิร์ทไลออนของประเทศกาตาร์ โดยมี นภา ลาดำ เป็นกัปตันทีมและเป็นผู้เล่นตำแหน่งกองหลังของทีม
ทีมชาติไทยเคยสร้างความอัปยศโดยพยายามแข่งกันแพ้กับทีมอินโดนีเซียในการแข่งขันไทเกอร์คัพ 1998 ที่นครโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2541 เนื่องจากทั้งสองทีมเข้ารอบรองชนะเลิศแน่นอนแล้ว แต่ผู้ชนะซึ่งจะเป็นที่หนึ่งของกลุ่มเอจะต้องเดินทางไปแข่งในรอบรองชนะเลิศกับทีมชาติเวียดนามที่ฮานอยในวันชาติเวียดนาม ครึ่งแรกต่างฝ่ายต่างพยายามไม่ยิงประตู แต่หลังจากมีการพูดคุยกันระหว่างกรรมการและผู้ฝึกสอน ครึ่งหลังจึงทำประตูได้ทีมละสองประตู จนกระทั่งใกล้หมดเวลา นักเตะของอินโดนีเซียยิงเข้าประตูตัวเอง ทีมชาติไทยจึงชนะไป 3 ต่อ 2 ประตู การแข่งขันนัดนี้ทำให้ทั้งสองทีมถูกปรับเป็นเงิน 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,400,000 บาท