ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (อังกฤษ: People's Alliance for Democracy, PAD) หรือเรียกว่า กลุ่มพันธมิตรกู้ชาติ หรือ กลุ่มคนเสื้อเหลือง เป็นกลุ่มการเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศไทยที่มีบทบาทสำคัญในช่วง พ.ศ. 2548-2552 โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากหลายฝ่าย ภายใต้จุดประสงค์ในการขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และแสดงความต้องการให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนอย่างเปิดเผย กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแกนนำคนสำคัญ ได้แก่ สนธิ ลิ้มทองกุล และพลตรีจำลอง ศรีเมือง

สัญลักษณ์หลักของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย มีการใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์หลัก และมีการใส่เสื้อสีเหลืองพร้อมผ้าโพกศีรษะที่มีข้อความว่า "กู้ชาติ" และผ้าพันคอสีฟ้า และมีมือตบเป็นเครื่องมือสัญลักษณ์

ในปี พ.ศ. 2548 ได้มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายซึ่งมีความเห็นว่า พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย ควรออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นำโดยสนธิ ลิ้มทองกุล จนกระทั่งลงเอยด้วยเหตุการณ์รัฐประหาร ส่งผลให้ฝ่ายทหาร คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) นำโดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ก้าวขึ้นสู่อำนาจ และเข้ามามีบทบาททางการเมือง ส่งผลให้ไทยอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลทหาร ซึ่งมีพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่าง พ.ศ. 2549-2550

ต่อมาผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2550 พรรคพลังประชาชน ซึ่งถูกมองว่าเกี่ยวข้องทางผลประโยชน์ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลผสม ทำให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยดำเนินการเคลื่อนไหวก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร กลับมาชุมนุมอีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชและสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้มีการปิดล้อมท่าอากาศยานนานาชาติหลายแห่ง จนกระทั่งเที่ยวบินทุกเที่ยวหยุดทำการนั้น นายเกษม พันธ์รัตนมาลา นักเศรษฐศาสตร์ คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะสูญเสียเงินกว่า 4,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากการปิดสนามบินครั้งนี้ อันส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือและต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

ภายหลังจากมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ในวันรุ่งขึ้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศยุติการชุมนุมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง

คณะกรรมมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) ระบุว่าเจตนาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีลักษณะของฟาสซิสต์ ต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมและนโยบายการกระจายอำนาจทางการเมืองออกจากศูนย์กลาง รวมทั้งโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และเปิดโอกาสให้นายทหารและข้าราชการระดับสูงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ประกาศยุติบทบาทตัวเองที่ห้องส่งสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เอเอสทีวี ในวันที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ในวันที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2549 ตระกูลชินวัตรและดามาพงศ์ขายหุ้นที่ครอบครองอยู่ทั้งหมดในกลุ่มบริษัทชินคอร์ป ให้แก่บริษัทเทมาเส็ก รวมมูลค่าทั้งสิ้นกว่า 73,000 ล้านบาท กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจึงได้ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ซึ่งทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมองว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อน

ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ถูกนักวิชาการบางกลุ่มออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ภายใต้ "ระบอบทักษิณ" คือ ไม่ใส่ใจต่อเจตนารมณ์ประชาธิปไตย ข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการฉ้อราษฎร์บังหลวง นอกจากนี้ยังไม่สามารถควบคุมความรุนแรงที่เกิดขึ้น จนกลายเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการกวาดล้างขบวนการค้ายาเสพติด ซึ่งมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,000 คน ทั้งนี้ ประชาชนบางกลุ่มได้ใช้คำว่า "ระบอบทักษิณ" สร้างความชอบธรรมในการขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

กลางเดือนกันยายน พ.ศ. 2548 ฝ่ายบริหารของอสมท. มีมติให้ระงับการออกอากาศรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ทีวีอย่างไม่มีกำหนด เนื่องจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ดำเนินรายการ ได้อ่านบทความเรื่อง "ลูกแกะหลงทาง" ซึ่งมีเนื้อหาโดยอ้อมกล่าวหารัฐบาลทักษิณและเชื่อมโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูง นายสนธิจึงเปลี่ยนเป็นการจัดรายการนอกสถานที่แทน และเป็นช่วงเดียวกับที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถือกำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรก

ในวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551 นายสุริยะใส กตะศิลา ได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่าทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีแนวคิดใหม่โดยหวังเพื่อลดจำนวนนักการเมืองหน้าเดิมที่คอร์รัปชั่นและดำเนินนโยบายประชานิยม คือ เสนอให้มีการจัดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 70% มาจากการคัดสรรจากภาคและส่วนอื่น แทนการเลือกตั้ง โดยได้ให้สาเหตุว่าการดำเนินงานรัฐสภาปัจจุบันไม่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองได้ โดยมีจุดประสงค์ที่จะพยายามให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้มีส่วนร่วม และพยายามให้มีตัวแทนสาขาอาชีพที่มาจากการเลือกสรรของกลุ่มอาชีพแต่ละอาชีพโดยตรง จึงเสนอสูตร 30/70

การเมืองใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสนอ มีเป้าหมายดังนี้:

ในวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2551 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวถึงแนวคิดเรื่องการเมืองใหม่ ที่ห้องผู้สื่อข่าวทำเนียบรัฐบาล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กล่าวว่า การเลือกตั้งแบบ 100 เปอร์เซ็นต์จะให้มีการเลือกตั้งได้ 2 ทาง คือ ผู้แทนพื้นที่เขต 50% และผู้สมัครนามกลุ่มอาชีพอีก 50%

เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2552 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเข้าสู่การเมืองไทยด้วยการจดทะเบียนพรรคการเมืองใหม่ เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จากนั้นในวันที่ 6 ตุลาคม ปีเดียวกัน ทางพรรคได้จัดประชุมกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรครวมทั้งหมด 9,000 คน ที่เมืองทองธานี และได้มีการลงคะแนนเสียงเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดปัจจุบัน

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกอธิบายว่าเป็น "พวกชาตินิยม" และต่อต้านอย่างรุนแรงในการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยซึ่งทางกลุ่มได้กล่าวอ้าง และคัดค้านการตัดสินใจสนับสนุนการจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารให้เป็นมรดกโลกของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้แจ้งความดำเนินคดีต่อรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลสมัคร ซึ่งคาดว่าเป็นการทำรายได้ให้กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวตรเพื่อแลกกับข้อตกลงในการยกปราสาทเขาพระวิหารให้กัมพูชาจดทะเบียนมรดกโลกเพียงฝ่ายเดียว ทางกลุ่มยังได้เรียกร้องให้นักลงทุนไทยถอนการลงทุนออกจากกัมพูชา การปิดด่านจุดตรวจบริเวณพรมแดนไทย-กัมพูชา 40 แห่ง การยกเลิกเที่ยวบินทุกเที่ยวจากประเทศไทยไปยังพนมเปญและเสียมเรียบ การสร้างฐานทัพเรือที่เกาะกูดใกล้กับแนวชายแดน และการล้มล้างคณะกรรมการซึ่งดูแลการปักปันพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลและการประกาศแผนที่นาวิกโยธินไทยแต่เพียงฝ่ายเดียว

นายสนธิ ลิ้มทองกุลมีความเห็นสนับสนุนต่อต้านวัตถุนิยม และเสนอ "สังคมมีเหตุผล" ความต้องการเพียงแค่ลดระดับหนี้สาธารณะเท่านั้น ในขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ต้องการยกระดับประเทศไทยสู่ประเทศพัฒนาแล้ว พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต้องการจำกัดการลงทุนจากต่างชาติ ต่อต้านการซื้อกิจการรัฐวิสาหกิจของเอกชน และสงสัยลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทย

ขณะที่นโยบายของรัฐบาลทักษิณและรัฐบาลสมัครได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนในเขตชนบทและผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เนื่องจากนโยบายเศรษฐกิจซึ่งผสมผสานแนวคิดประชานิยมอย่างมาก ได้แก่ การรักษาพยาบาลทั้งประเทศโดยมีส่วนร่วมต่อเศรษฐกิจโลกมากขึ้น ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเสนอให้มีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดหนี้สาธารณะ และลดค่าใช้จ่ายในโครงการสังคมสงเคราะห์ทั้งหลาย ซึ่งมีแนวคิดประชานิยม

และในวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้มีการประกาศรายชื่อเพิ่มเติมแกนนำชุดที่สองประกอบด้วย

การประท้วงขับทักษิณ ชินวัตร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุการณ์ในประเทศไทยที่เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547 ในช่วงปลายรัฐบาลทักษิณ 1 เมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนในนาม กลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์ และมีการชุมนุมปราศรัยเพื่อขับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2547 เป็นครั้งแรก และเริ่มขยายเป็นวงกว้างขึ้นเมื่อถึงปลายปี พ.ศ. 2548 ส่วนหนึ่งจากการนำของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี และขยายตัวในวงกว้างไปยังบุคคลในหลายสาขาอาชีพในเวลาต่อมา

ในการรณรงค์ขับนี้ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ในกลุ่มที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีลาออกก็มีความเห็นที่แตกต่างกันเป็นหลาย ๆ กลุ่ม ในเรื่องกระบวนการและประเด็นในการขับ ส่วนในกลุ่มที่สนับสนุน ซึ่งประกอบด้วยประชาชนจำนวนไม่น้อย รวมไปถึงกลุ่มคาราวานคนจน และขบวนรถอีแต๋นเดินทางมาจากต่างจังหวัด ก็ได้รวมตัวชุมนุมเพื่อสนับสนุนให้นายทักษิณ ชินวัตรดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป โดยปักหลักอยู่ที่สวนจตุจักร และตามจังหวัดต่าง ๆ ของประเทศไทย

ผลจากการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2549 ที่อดีตพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคมหาชนและพรรคชาติไทยไม่ได้ร่วมลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย ปรากฏว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่ง พ.ต.ท. ทักษิณ เป็นหัวหน้าพรรค ยังคงได้รับคะแนนเสียงข้างมาก (56.45% ในผลการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ[ต้องการอ้างอิง]) แต่ในหลายพื้นที่ได้เกิดปรากฏการณ์ "ไม่เอาทักษิณ" ด้วยการที่ผู้สมัครจากพรรคไทยรักไทยได้คะแนนน้อยกว่าผู้ไม่ออกเสียงและบัตรเสีย แต่ในท้ายที่สุดการเลือกตั้งครั้งนี้ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาให้เป็นโมฆะ และได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2549

ในวันเสาร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2549 ได้มีกลุ่มเครือข่ายแพทย์ เภสัชกร พยาบาล และอาจารย์มหาวิทยาลัย 43 องค์กร 11 มหาวิทยาลัย ล่าชื่อกว่า 92 คน ปลุกกระแส "ต้านทักษิณ" และออกแถลงการณ์ให้ พ.ต.ท. ทักษิณ ยุติบทบาทจากการดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งในการเสวนาโต๊ะกลมเรื่องการร่วมกันแก้ไขวิกฤตปัญหาของบ้านเมือง ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นการรวมตัวกันครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งของแกนนำเครือข่ายการต่อต้าน

การประท้วงขับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สิ้นสุดลง ในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 หลังจากการก่อรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อนวันที่จะมีการชุมนุมอย่างยืดเยื้อของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเครือข่ายในวันที่ 20 กันยายน

การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พ.ศ. 2551 เป็นการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านพรรคพลังประชาชน โดยเป็นส่วนหนึ่งของวิกฤตการณ์การเมืองในประเทศไทย พ.ศ. 2548-2553 ซึ่งการชุมนุมยังคงมีเป้าหมายที่จะต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

หลังจากรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำรัฐบาลบริหารประเทศมาระยะเวลาหนึ่ง กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เริ่มชุมนุมอีกครั้งในวันที่ 28 มีนาคม โดยจัดสัมมนาที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และได้ประกาศชุมนุมใหญ่เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม โดยเป็นการรวมตัวจากหลายองค์กรทั่วประเทศ เพื่อขับสมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐบาลทั้งสองชุดถูกมองว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

ในเดือนพฤศจิกายน กลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อต่อรองกับนายกรัฐมนตรี สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งส่งผลให้เที่ยวบินทุกเที่ยวหยุดทำการ โดยนายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ กล่าว่า เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสูญเสียรายได้ไปกว่า 350 ล้านบาท นอกจากนี้ ผู้ประกอบการขนส่งสินค้าทางอากาศยังสูญเสียรายได้กว่า 25,000 ล้านบาท โดยยังไม่รวมความเสียหายของสายการบินต่าง ๆ อีกจำนวนหนึ่ง ก่อนหน้านี้ ในเดือนสิงหาคม ผู้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ปิดท่าอากาศยานภูเก็ตและท่าอากาศยานกระบี่ รวมทั้งปิดการเดินทางทางรถไฟสายใต้เพื่อกดดันให้นายกรัฐมนตรี สมัคร สุนทรเวช ลาออกมาแล้ว

ต่อมาสหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกไปจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองอย่างสงบ และกล่าวว่าการชุมนุมประท้วงกำลังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมาก แถลงการณ์จากเอกอัครราชทูตอียูประจำประเทศไทยยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมแก้ไข วิกฤตการณ์ทางการเมืองในไทยอย่างสันติ เคารพในกฎหมาย และสถาบันประชาธิปไตยของประเทศ และอียูเคารพสิทธิในการประท้วงและปราศจากการแทรกแซงปัญหาการเมืองภายในของไทย แต่เห็นว่าการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วงในครั้งนี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ

ภายหลังจากมีคำวินิจฉัยคดียุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลอีก 2 พรรค อันเนื่องมาจากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ในวันรุ่งขึ้นแกนนำพันธมิตรฯ ได้ประกาศยุติการชุมนุมทั้งที่ทำเนียบรัฐบาล ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานดอนเมือง

วันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553 นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ อ่านแถลงการณ์จุดยืนชัดเจนต่อต้านการเคลื่อนไหวของเสื้อแดง และให้พันธมิตรฯ ทั่วประเทศออกมาเคลื่อนไหวด้วย ส่วนที่รัฐสภา กลุ่ม 40 ส.ว. เสนอนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ให้เร่งปฏิรูปประเทศและจัดการกลุ่มเสื้อแดงอย่างเด็ดขาด ต่อมาวันที่ 29 เมษายน พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ พร้อมทั้งแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ จำนวนมากได้ยื่นหนังสือดังกล่าวต่อนายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะตัวแทนรัฐบาล และ พล.ต.จิรเดช สิทธิประณีต เลขานุการกองทัพบก ในฐานะตัวแทนผู้บัญชาการทหารบก ณ บริเวณด้านหน้ากรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ ซึ่งการยื่นหนังสือเพื่อต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาบ้านเมือง และเร่งรัดให้ทหารออกมาจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นโดยเร็ว ส่วนในภูมิภาคจะให้เครือข่ายพันธมิตรฯ ยื่นหนังสือกดดันทหารตามหน่วยที่ตั้งพร้อมกันวันนี้ด้วย

หลังจากที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงแนวทางกระบวนการปรองดองแห่งชาตินั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯได้ออกแถลงการณ์ว่า นายกรัฐมนตรียังขาดความชัดเจน การประกาศการเลือกตั้งใหม่ถือว่าเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมหลัก นิติรัฐอย่างย่อยยับ ทั้งนี้ยังเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้ผู้ที่สามารถจัดการกับปัญหาเข้ามาแก้ไขปัญหาต่อไป

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้กลับมาชุมนุมอีกครั้งบริเวณสะพานมัฆวานและหน้าทำเนียบรัฐบาล เริ่มตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554 จากกรณีความขัดแย้งไทย-กัมพูชา (ครั้งแรกจะให้เริ่มการชุมนุมวันที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2553 แต่ได้เลื่อนมา) โดยเรียกร้องให้รัฐบาลทำตามมติของกลุ่มพันธมิตรฯ 3 ข้อ คือ 1. ยกเลิก บันทึกความเข้าใจระหว่างไทย-กัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก พ.ศ. 2543 2. ผลักดันชาวกัมพูชาที่อพยพและรุกล้ำเข้ามาอาศัยและสร้างสิ่งก่อสร้างในเขตแดนไทย 3. ให้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลก แต่ทว่ารัฐบาลก็มิได้มีท่าทีสนองตอบ และได้ออกพระราชบัญญัติรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาใช้รักษาความปลอดภัย

การชุมนุมในครั้งนี้ปรากฏว่า แนวร่วมผู้ชุมนุมลดลงไปเป็นจำนวนมาก ประกอบกับบุคคลที่เคยขึ้นเวทีปราศรัยหลายคนก็มิได้เข้าร่วมอีก เช่น รศ.ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, อัญชะลี ไพรีรัก, สมณะเพาะพุทธ จนฺทเสฏฺโฐ เป็นต้น ซึ่งทางกลุ่มผู้ชุมนุมที่เหลือและแกนนำเมื่อได้ขึ้นเวทีปราศรัยก็ได้โจมตีและกล่าวหาบุคคลเหล่านี้อย่างรุนแรงหลายต่อหลายครั้ง

เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ตำรวจได้อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญํติความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 เข้ายึดพื้นที่ผู้ชุมนุมบางส่วนเพื่อเปิดพื้นผิวจราจรและตำรวจได้จับกุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 2 รายที่พกอาวุธปืนสั้นในที่ชุมนุม

และเมื่อรัฐบาลมีท่าทีว่าจะยุบสภาภายในต้นเดือนพฤษภาคม ปีเดียวกันนี้ และกำหนดให้มีการเลือกตั้ง ทางกลุ่มพันธมิตรฯก็ได้มีมติให้ทำการโหวตโน คือ รณรงค์ให้กาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใครในบัตรเลือกตั้ง

ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2554 มีคนร้ายปาระเบิดเข้าไปในที่ชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ส่งผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 2 ราย[ต้องการอ้างอิง]

พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประกาศยุติการชุมนุมเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แต่การชุมนุมยุติจริงในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 18.00 น. โดยในวันที่ 1 กรกฎาคม พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเดินทางไปยังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (ประเทศไทย)เพื่อให้ยุบ 5 พรรคการเมืองได้แก่ พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน โดยพรรคเพื่อฟ้าดิน ซึ่งมีกลุ่มสันติอโศกสนับสนุนได้ส่งแก่นฟ้า แสนเมือง ลงเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อในครั้งนี้ และได้ออกป้ายหาเสียง อย่าปล่อยสัตว์เข้าสภา เป็นสโลแกนการรณรงค์โหวตโนทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนได้ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2554 ในวันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 และทางกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยพอใจกับการตัดสินใจของการถอนตัวออกจากสมาชิกมรดกโลกของรัฐบาลในการประชุมครั้งที่ 35 ที่ประเทศฝรั่งเศส

ในวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554 ได้มีมติของสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งถือเป็นกลุ่มแนวร่วมที่สำคัญของกลุ่มพันธมิตรฯ ให้นายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสาวิทย์ แก้วหวาน ซึ่งเป็นแกนนำรุ่นที่ 1 และรุ่นที่ 2 ถอนตัวออกมาจากการเป็นแกนนำ โดยอาจจะไปร่วมชุมนุมด้วยเฉพาะในประเด็นที่สำคัญเท่านั้น และจะไม่ขึ้นเวทีปราศรัย สืบเนื่องมาจากการเห็นต่างกันในเรื่องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2554 ของทางพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯก่อตั้งขึ้นมา โดยมีนายสมศักดิ์เป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งในเรื่องนี้ทำให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำรุ่นที่ 1 ได้โจมตีนายสมศักดิ์อย่างรุนแรงในเวลาต่อมา โดยที่ทางกลุ่มพันธมิตรฯมีมติให้รณรงค์โหวตโน คือ การกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้ใคร ในการเลือกตั้งครั้งนี้

จากการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ บริเวณถนนราชดำเนินนั้น รัฐบาลมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปเจรจาเพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯ ย้ายสถานที่ชุมนุมไปอยู่ในที่ที่ไม่ละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น ซึ่งการชุมนุมเป็นสิทธิที่สามารถกระทำได้แต่การชุมนุมที่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่นนั้นไม่ควรกระทำและการชุมนุมนั้นส่งผลกระทบลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ต่างประเทศระงับการลงทุนเพราะไม่สามารถเชื่อมั่นในการลงทุนได้

นอกจากนี้ นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าหากการประท้วงดังกล่าวประสบความสำเร็จทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ก็จะสร้างความเสียหายต่อประเทศชาติ ทำลายโอกาสของงานและเงินที่ควรจะได้จากการลงทุนของนักธุรกิจต่างชาติ รวมทั้ง กลุ่ม ส.ส. และอดีต ส.ส. พรรคพลังประชาชน ยังได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการชุมนุมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติและเศรษฐกิจที่ดีขึ้นของประเทศ

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤษถาคม นายจักรภพ เพ็ญแข ประกาศลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังจากที่โดนข้อกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งนายจักรภพได้คาดหวังว่าการลาออกในครั้งนี้จะทำให้กลุ่มพันธมิตรฯ ยุติการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันรัฐบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มพันธมิตรฯ จึงประกาศยกระดับการชุมนุมเป็นการขับไล่รัฐบาลนายสมัครแทน นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี จึงประกาศจะสลายการชุมนุมด้วยกำลังตำรวจและทหารผ่านทางรายการพิเศษทางช่อง 9 และ NBT แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลังจากเหตุการณ์การปะทะกันระหว่างกลุ่ม นปช. กับกลุ่มพันธมิตรฯ ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมจากกลุ่ม นปช. เสียชีวิต 1 คน รัฐบาลได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในเขตกรุงเทพมหานคร จนกระทั่ง วันที่ 14 กันยายน นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ร่วมกันแถลงยกเลิกประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ในเขตกรุงเทพมหานคร พร้อมกันนี้นายสมชายยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน เพื่อยุติความรุนแรงและความขัดแย้ง

วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551 พนักงานเดินรถไฟการรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมด้วยสหภาพท่าเรือ สหภาพการบินไทย สหภาพการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย สหภาพการประปาและสหภาพขสมก. นัดหยุดงานเพื่อกดดันให้รัฐบาลลาออก ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรฯ จังหวัดภูเก็ต สงขลา และกระบี่ ร่วมกันปิดสนามบินภูเก็ต หาดใหญ่ และกระบี่ งดเที่ยวบินขึ้น-ลง ทั้งในประเทศ และระหว่างประเทศ มีผลให้ผู้ที่กำลังเดินทางขึ้นเครื่องบินต้องกลับไปยังที่พักเพื่อรอดูสถานการณ์

วันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551 เครือข่ายเยาวชนกู้ชาติ เดินขบวนจากที่ชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ประกาศต่อต้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของนายสมัคร สุนทรเวช และใช้แนวทางต่อสู้แบบอารยะขัดขืนโดยหยุดเรียนเป็นเวลา 3 วัน และหยุดติดต่อกันไปจนกว่ารัฐบาลจะลาออก การเคลื่อนไหวครั้งนี้มีนิสิตและนักศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เข้าร่วมกว่า 80 สถาบัน

วันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551 กลุ่ม 40 ส.ว.ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาลหลีกเลี่ยงใช้ความรุนแรงต่อประชาชนที่ชุมนุมกันอย่างสันติ จากนั้นเรียกร้องให้เลื่อนการประชุมรัฐสภาในวันที่ 7 ตุลาคม หลังจากรัฐบาลสั่งให้สลายการชุมนุม และได้ประท้วงด้วยการไม่เข้าร่วมประชุมรัฐสภา เนื่องจากไม่ต้องการเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับการแถลงนโยบายของรัฐบาล ขณะที่ประชาชนถูกทำร้ายอยู่หน้ารัฐสภา รวมถึงการตั้งกระทู้ถามรัฐบาลในปัญหาความรุนแรงดังกล่าว และเรียกร้องทุกภาคส่วนทั้งในและนอกประเทศร่วมกันกดดันรัฐบาลไทย ให้ยุติการใช้ความรุนแรงต่อประชาชน รวมทั้งยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้ไต่สวนฉุกเฉิน เพื่อหยุดยั้งการใช้ความรุนแรงของรัฐบาลโดยทันที ตลอดจนเรียกร้องให้สอบสวน และดำเนินการทางกฎหมายต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ รับผิดชอบละเมิดสิทธิมนุษยชน และสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนไทย ฉะนั้น ในฐานะที่ OHCHR เป็นหน่วยงานสำคัญขององค์การสหประชาชาติที่ส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและเป็นสำนักเลขาธิการของคณะมนตรีด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กลุ่ม 40 ส.ว.จึงขอเรียกร้องให้ OHCHR ใช้ความพยายามในการกระทำอย่างเหมาะสมเพื่อหยุดยั้งและป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย

วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551 สภาทนายความได้ออกแถลงการณ์สภาทนายความ เรื่องอำนาจพนักงานสอบสวนที่ขัดรัฐธรรมนูญและขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่า ด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จากกรณีที่พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นในคดีที่กล่าวหาแกนนำ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นกบฏและข้ออื่น ๆ เป็นตัวอย่างให้เห็นถึงการใช้อำนาจที่เหลื่อมล้ำและไม่ชอบธรรมกับประชาชนที่สุจริต ซึ่งเรื่องนี้สภาทนายความไม่คัดค้านให้ความเห็นแย้งมาโดยตลอดว่ากระบวนการ ใช้อำนาจสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณความอาญาที่พนักงานสอบสวนมักอ้างเสมอว่าจะขออำนาจศาลให้คุมตัวผู้ต้องหา เป็นกรณีที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมและขัดกับหลักกฎหมายโดยชัดแจ้ง สภาทนายความจึงขอแถลงการณ์มาเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องโปรดพิจารณาไตร่ตรอง และดำเนินการให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้สมจริงตามหลักนิติธรรมและมาตรฐานสากลทั่วโลก 7 ข้อ

วันที่ 30 มีนาคม 2549 บางส่วนของกลุ่มคาราวานคนจนมาปิดล้อมสำนักงานหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ในเครือเนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป เนื่องจากกล่าวหาว่ามีการตีพิมพ์ข่าวไม่เหมาะสม เกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งหมิ่นเบื้องสูง โดยอ้างอิงถึงคลิปวิดีโอการให้สัมภาษณ์ จากการออกมาปฏิเสธของหนังสือพิมพ์คมชัดลึก จึงทำให้เหตุการณ์บานปลายออกไปจนถึงขั้นมีเหตุการณ์ชุลมุน และมีการสันนิษฐานว่ากลุ่มเดียวกันนี้ เป็นขบวนรถมอเตอร์ไซด์หลายร้อยคันไปชุมนุมที่บ้านพระอาทิตย์ สำนักงานหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในวันเดียวกัน แต่การชุลมุนก็จบลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้นโดยไม่มีเหตุการณ์รุนแรงแต่อย่างใด

สำหรับผู้ไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมของกลุ่มต่าง ๆ เห็นพ้องว่า การที่มีการชุมนุมขนาดใหญ่ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งยาวนานต่อเนื่องกลางกรุงเทพมหานครนั้น เป็นการสร้างปัญหาขึ้นมากมาย เช่น ปัญหาจราจรทั้งยังส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งเป็นเหตุให้เศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศหยุดชะงัก และเศรษฐกิจภายในประเทศพังทลาย

ในคืนวันที่ 19 มิถุนายน กลุ่มต่อต้านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติได้เคลื่อนขบวนจากสนามหลวงมาหยุดอยู่ที่บริเวณสี่แยก จ.ป.ร. และเผชิญหน้ากับตอนท้ายขบวนของพันธมิตรฯ โดยยังไม่มีเหตุปะทะกัน ด้านตำรวจได้จับตามองสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุรุนแรง

จากนั้น วันจันทร์ที่ 1 กันยายน กลุ่มนปช.จำนานหลายพันคนบุกผ่านแยกจปร.และหน้าสถานีตำรวจนางเลิ้งเข้าปะทะกับการ์ดของฝ่ายพันธมิตร โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ห้ามปราม โดยอ้างว่าต้องการจะยึดทำเนียบคืน จึงมีผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ขณะเดียวกันทหารจากกองทัพภาคที่ 1 ได้เสริมกำลังด้วยโล่ และกระบองมากั้นระหว่างทั้ง 2 ฝ่าย

วันที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ที่สนามหลวงก็มีการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ซึ่งก็เป็นไปอย่างสงบเช่นเดียวกัน โดยก่อนหน้านี้ แกนนำ นปช.ได้ปราศรัยถึงการทำหน้าที่ของตำรวจในการสลายการชุมนุมว่าถูกต้องแล้ว ขณะเดียวกันก็ไม่เห็นด้วยกับแนวทางของ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ที่จะบุกยึดทำเนียบรัฐบาลคืนมา

คณะกรรมมาธิการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย (Asian Human Rights Commission) ได้ระบุถึงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรว่าไม่ใช่การเรียกร้องอย่างสันติ และเจตนาของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยว่ามีลักษณะของฟาสซิสต์ โดยระบุถึงการที่กลุ่มพันธมิตรโจมตีความล้มเหลวของระบอบประชาธิปไตยและเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภามาจากการแต่งตั้งเป็นส่วนใหญ่ สื่อต่างประเทศระบุว่ากลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่อต้านนโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมและนโยบายการกระจายอำนาจทางการเมืองออกจากศูนย์กลาง รวมทั้งโจมตีฝ่ายตรงข้ามว่าไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และเปิดโอกาสให้นายทหารและข้าราชการระดับสูงมีบทบาททางการเมืองมากขึ้น

รัฐบาลของประเทศ จีน, ฝรั่งเศส, นิวซีแลนด์, สิงคโปร์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ต่างได้เตือนพลเมืองของประเทศให้หลีกเลี่ยงที่จะเดินทางมายังประเทศไทย และหลีกเลี่ยงผู้ชุมนุมที่สนามบิน

สหภาพยุโรป ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกไปจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองอย่างสงบ และกล่าวว่าผลกระทบจากการชุมนุมประท้วง ทำให้มีผู้โดยสารตกค้างถึงกว่า 100,000 คน กำลังทำให้ภาพลักษณ์และเศรษฐกิจของประเทศไทยเสียหายอย่างมาก

กอร์ดอน ดูกิด โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า "การปิดสนามบินไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการประท้วง" และพันธมิตรฯ ควรเดินออกจากสนามบินอย่างสงบ

ศาลอาญามีคำสั่งจำคุก 5 การ์ดพันธมิตร ในข้อหามีอาวุธปืนและระเบิด เพื่อใช้ข่มขู่บังคับพนักงานรถเมล์และผู้โดยสารรถเมล์ให้ไปยังรัฐสภาโดยร่วมกันใช้อาวุธจี้ มีความผิด ฐานร่วมกันข่มขืนใจและกักขักหน่วงเหนี่ยว มีอาวุธปืนและระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต และใช้ในที่สาธารณะ รวมจำคุก 2 ปี ปรับ 66 บาท และฐานมีวิทยุสื่อสารในโดยไม่ได้รับอนุญาต (คนเดียว) รวมจำคุก 2 ปี ปรับเพิ่มอีก 2000 บาท ผู้ต้องหาขอประกันตัวและยื่นต่อศาลอุทธรณ์ ศาลอนุญาต

ศาลฎีกามีคำสั่งจำคุก เนื่องจากนายปรีชา ตรีจรูญ เข้าร่วมชุมนุม และผู้ชุมนุมบางคนมีอาวุธ จึงมีความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป แต่เห็นว่า ขณะตำรวจเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร มีตำรวจบางนายมีพฤติกรรม แสดงออกยั่วยุกลุ่มผู้ชุมนม ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ลุแก่อำนาจ ซึ่ง นายปรีชา ตรีจรูญก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส สูญเสียตาข้างขวา และถูกข่มเหงร้ายแรง ย่อมเป็นเหตุให้บันดาลโทสะ กระทำผิดต่อผู้เสียหาย ซึ่งเป็นตำรวจทั้ง 5 นาย และที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้ให้จำคุก นายปรีชา จำคุก 4 ปี แต่ลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือ จำคุก 2 ปี 8 เดือน และให้จำคุกในความผิดฐานมั่วสุมอีก 8 เดือน รวมโทษจำคุก นายปรีชา เป็น 3 ปี 4 เดือน

ด้านคดีอาญาคดีหมายเลขดำ ที่ อ.973/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวกจำนวน 98 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายเพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาลโดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, มั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ กรณีพวกจำเลยบุกเข้าไปในสนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อปี พ.ศ.2551 ศาลได้มีคำสั่งเลื่อนฟ้องศาลได้เลื่อนตรวจพยานหลักฐานไปอีกครั้งวันที่ 1 ก.พ. 2559 เวลา 09.00 น.เนื่องจากการตรวจพยานหลักฐานยังไม่เรียบร้อย

วันที่17 พฤศจิกายน พ.ศ.2557 ศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.4486/2551 ที่กลุ่มนักรบศรีวิชัย การ์ดพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกรุกอาคารสำนักงานสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ตามฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 17 พ.ย.51 บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 22-25 ส.ค.51 จำเลยทั้ง 82 คน กับพวกอีก 3 คน ซึ่งเป็นเยาวชน ร่วมกันบุกรุกอาคารสำนักงานสถานี NBT พร้อมพกอาวุธจำนวนมาก จากนั้นจำเลยได้ร่วมกันทำลายทรัพย์สิน รวมค่าเสียหายทั้งสิ้นกว่า 6 แสนบาท ซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวเป็นของทางราชการ โดยจำเลยที่ 1 มีเครื่องรับและส่งวิทยุคมนาคม ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ขณะที่จำเลยที่ 39 , 80 มีใบกระท่อม ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 รวมจำนวน 18 ใบไว้ในครอบครอง ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ในข้อหา พกพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 39 ให้การรับสารภาพ เฉพาะข้อหามีใบกระท่อมไว้ในครอบครองแต่ภายหลังกลับให้การปฏิเสธ ส่วนข้อหาอื่นจำเลยที่ 1-85 ให้การปฏิเสธ

ศาลเห็นว่า แม้จำเลยจะมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แต่การที่บุกรุกให้หยุดเสนอข่าวต้องมีกฎหมายรองรับ พฤติการณ์แห่งคดีและการกระทำของจำเลยเป็นการมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป และนายธเนศ จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืน แต่อย่างไรก็ตาม ทางนำสืบของโจทก์ยังไม่ชัดเจนว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำการในฐานะเป็นหัวหน้าหรือไม่ เช่นเดียวกับความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์นั้นโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยคนใดเป็นผู้กระทำผิด

สำหรับความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นฯ โจทก์ มีนายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ขณะนั้นเป็นผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ได้เบิกความว่า คืนเกิดเหตุขณะปฏิบัติหน้าที่ กลุ่มจำเลยได้พกอาวุธเข้ามาในสำนักงาน พร้อมกับให้พนักงานทุกคนหยุดปฏิบัติหน้าที่ ศาลเห็นว่า การกระทำที่บุกรุกเข้าไปโดยมีอาวุธแล้วสั่งให้เจ้าหน้าที่หยุดปฏิบัติงาน ย่อมทำให้พนักงานเกิดความหวาดกลัวและยอมทำตามคำสั่งของพวกจำเลย การกระทำของพวกจำเลย จึงเป็นความผิด

ส่วนความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่มีเหตุนั้น รับฟังได้จากคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 ว่า เป็นผู้ครอบครองอาวุธโดยมีใบอนุญาต ส่วนจำเลยที่ 2 รับสารภาพว่า พกเครื่องกระสุนปืน ขนาด .22 จำนวน 1 นัด และขนาด .38 จำนวน 5 นัด ซึ่งการกระทำดังกล่าว ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยอื่นจะมีส่วนรู้เห็นความผิดนี้ด้วย อีกทั้งพยานโจทก์ซึ่งเป็นตำรวจ เบิกความว่าเห็นจำเลยที่ 1 กับพวก พกอาวุธปืนและไม้ แต่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของใคร พยานที่นำสืบมาจึงยังไม่อาจฟังได้ชัดเจนว่าจำเลยอื่น ร่วมกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะด้วย

แต่ที่จำเลยขอให้ศาลรอการลงโทษนั้น เห็นว่า ลักษณะการชุมนุมของจำเลยเป็นการชุมนุมทางการเมือง ก่อความไม่สงบวุ่นวาย สร้างความเสียหายให้กับบ้านเมือง และบุกรุกสำนักงานของผู้อื่น ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษ ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จากพยานหลักฐานที่วินิจฉัยมา การกระทำของจำเลย ถือเป็นการกระทำกรรมเดียวต่อเนื่องกัน ซึ่งผิดต่อกฎหมายหลายบท จึงให้ลงโทษบทหนักสุดฐานบุกรุก ซึ่งแม้โจทก์จะไม่ได้ฟ้องความผิดดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจนำมาวินิจฉัยได้ตามกฎหมาย

จึงพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1-29 , 31-41 , 42 - 46 , 48 - 80 และ 82 มีความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธและข่มขู่จะใช้กำลังประทุษร้าย ให้จำคุกคนละ 1 ปี ซึ่งจำเลยที่ 1 ยังมีความผิดฐานพากกาอาวุธปืนและมีเครื่องวิทยุสื่อสารโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ให้จำคุกอีก 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 1 ปี 4 เดือน

ส่วนจำเลยที่ 30,47 และ 81 ขณะก่อเหตุอายุไม่เกิน 20 ปี จึงให้จำคุกคนละ 8 เดือน และจำเลยที่ 83-85 ขณะเกิดเหตุอายุต่ำกว่า 18 ปี ให้จำคุกคนละ 6 เดือน

โดยคำให้การจำเลยประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอบยู่บ้าง จึงเห็นควรลดโทษ ให้จำเลยที่ 1-29 , 31-41 , 42 - 46 , 48 - 80 และ 82 คนละกึ่งหนึ่งคงจำคุกคนละ 6 เดือน และลดโทษกึ่งหนึ่งให้จำเลยที่ 1 ฐานพกพาอาวุธ คงจำคุกอีก 2 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น 8 เดือน

ส่วนจำเลยที่ 30 ,47 และ 81 ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 6 เดือน โดยจำเลยที่ 30, 47 , 81 , 83-85 ขณะกระทำผิดเป็นเยาวชน จึงเห็นควรให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี โทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้ ส่วนความผิดฐานซ่องโจรนั้นให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ภายหลังนายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความจำเลย กล่าวว่า วันนี้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสด และกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มาพร้อมยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้งหมด คนละ 200,000 บาท เพื่อจะฎีกาสู้คดีต่อไปและมีผู้ไม่มาฟังคำสั่งศาล 6 ราย ซึ่งดำเนินการออกหมายจับต่อไป

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง กับพวก รวม 14 คน กรณีนำกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองโดยเรียกค่าเสียหายจำนวน 103,483,141.80 บาท จากนั้นวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง จำเลยที่ 1 กับพวกรวม 36 คน ในข้อหาความผิดละเมิดเรียกค่าเสียหาย 575,229,059 บาท ในส่วน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ฟ้องเมื่อ พฤษศจิกายน พ.ศ. 2551 เป็นคดีหมายเลขแดง 1117/2558 ,และคดีหมายแดง 1118/2558 ศาลแพ่งได้ตัดสินให้แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ 13 คน ชดใช้ค่าเสียหายทั้งกายภาพและทางพาณิชย์ 522,160,947.31 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ค่าทนายความโจทก์ 8 หมื่นบาท นับจากวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 คดีอยู่ระหว่างฎีกาโดยเมื่อวันที่ 9 ก.ค.58 นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความกลุ่มพันธมิตร เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา พร้อมทั้งยื่นฎีกาต่อศาลในคดีดังกล่าวแล้ว โดยอ้างเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในขณะที่นายบวรศักดิ์ ทวิพัฒน์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฏีกา ช่วยทำงานช่วยคราวในตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฏีกา โฆษกสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าวว่า จากการตรวจสอบทราบว่า คดีดังกล่าวถึงที่สิ้นสุดแล้วตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์

สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรียังเข้าแจ้งความต่อแกนนำพันธมิตร 6 คนที่ร่วมกันบุกรุกทำเนียบรัฐบาลทำให้สวนหย่อมด้านหน้าเสียหาย เป็นมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท ซึ่งคดีกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณา

สถานีโทรทัศน์ที่ทำการถ่ายทอดสดการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ทั้งปี พ.ศ. 2549 พ.ศ. 2551 และ พ.ศ. 2554 คือสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมเอเอสทีวี โดยแบ่งเป็นช่องต่างๆ ดังนี้

ต่อมาเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2553 ASTV ได้เปลี่ยนช่องรายการ โดยสลับช่อง TAN NETWORK เป็นช่องรายการแรกจากจานรับสัญญาณดาวเทียม และช่อง ASTV News เป็นช่องรายการที่ 2 SHOP at HOME เป็นช่องรายการที่ 3 จากนั้นจึงเป็นช่อง Super บันเทิง, esan TV และช่องเถ้าแก่ตามลำดับ

เอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน เป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ออกจำหน่ายทุกวันจันทร์-วันเสาร์ (โดยฉบับวันเสาร์จะควบวันอาทิตย์ไปด้วย) เสนอข่าวธุรกิจ และการเมือง โดยเฉพาะความเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากนี้ ยังมีหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 360? รายสัปดาห์, นิตยสารผู้จัดการ 360? รายเดือน และเว็บไซต์ข่าวเอเอสทีวีผู้จัดการออนไลน์ อีกด้วย


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301