พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสงศาสตราวุธประจำองค์พระมหากษัตริย์ และเป็นหนึ่งในห้าของเบญจราชกกุธภัณฑ์ พระขรรค์หมายถึง พระสติปัญญาความรอบรู้ในการปกครองบ้านเมือง พระแสงองค์นี้มีประวัติอันเก่าแก่ พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นราชสมบัติจากเขมรเมืองพระนครตั้งแต่ยุคนครวัดถึงยุคนครธม มีหลักฐานสำคัญอยู่ในหลักศิลาจารึก วัดศรีชุม ยุคสุโขทัย ว่าพระเจ้าแผ่นดินเขมรนครธมสมัยนั้น พระราชทาน "ขรรค์ชัยศรี" ให้พ่อขุนผาเมืองแห่งกรุงศรีสัชนาลัยสุโขทัย พร้อมด้วยธิดานามว่าสุขรมหาเทวี ให้เป็นชายา พระแสงขรรค์ชัยศรีจึงตกเป็นพระราชสมบัติของพ่อขุนผาเมืองนี้เอง เป็นพยานสำคัญแสดงว่าพ่อขุนผาเมืองก็คือพระเจ้าอู่ทองที่ครองกรุงศรีอโยธยาศรีรามเทพนคร (หรือต่อมาเป็นกรุงศรีอยุธยา) เพราะมีในพงศาวดารเหนือยืนยันสอดรับ ว่าท้าวอู่ทองเสด็จลงมาจากเมืองสวรรคโลก(ศรีสัชนาลัยสุโขทัย) แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยา โดยพระแสงขรรค์ชัยศรีก็เป็นสมบัติกรุงศรีอยุธยาเรื่อยมา สุดท้ายจวบจนสมัยพระเจ้าเอกทัศน์ เบญจราชกกุธภัณฑ์ก็ได้หายสาปสูญไป รวมทั้งพระแสงขรรค์ชัยศรีซึ่งท้ายสุดไปตกจมอยู่ในทะเลสาบเขมร (Tonle sap) ที่เมืองเสียมราฐ (เสียมเรียบ) ประเทศกัมพูชาต่อมา ในปี พ.ศ. ๒๓๒๗ ชาวประมงได้ทอดแหแล้วเห็นพระขรรค์องค์นี้ ชาวประมงผู้นั้นจึงนำมาถวาย เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (แบน) เจ้าเมืองเสียมราฐ และเจ้าเมืองเสียมราฐได้นำทูลเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
เมื่อวันที่พระแสงองค์นี้มาถึงกรุงเทพมหานคร ได้เกิดฟ้าผ่าในพระนครถึง ๗ แห่ง เช่นที่ ประตูวิเศษไชยศรีในพระราชฐานชั้นนอก และประตูพิมานไชยศรี ในพระราชฐานชั้นกลาง ซึ่งเป็นทางที่อัญเชิญ พระแสงองค์นี้ผ่านไป เพื่อเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง
พระแสงขรรค์ชัยศรี เป็นพระแสงศาสตราวุธที่สำคัญที่สุด ในพระราชพิธีที่สำคัญ ได้แก่ พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา และ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ทั้งด้ามและฝักมีความยาว ๑๑๕ ซม. ฝักกว้าง ๕.๕ ซม. ใบพระขรรค์ทำด้วยเหล็กมีคมทั้งสองด้าน ส่วนด้ามทำด้วยแก้วผลึกรูป ๘ เหลี่ยม มีทองคาดตามแนวปลายด้ามทำเป็นหัวเม็ดรูป ๖ เหลี่ยมประดับพลอย ตัวฝักทำด้วยทองคำประดับด้วยลายรักร้อย ขอบฝักทำเป็นลายกระหนก ประดับอัญมณีสีต่างๆ
สมัยโบราณกาลการจัดสร้างพระแสงนั้น ผู้สร้างจะเลือกโลหะหรือแร่ต่าง ๆ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ เพื่อสร้างเป็นพระแสงที่มีความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เกรงขามของศัตรู โดย ช่างตีดาบหลวง จะนำเนื้อโลหะต่างชนิดนำมาถลุงหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวเพื่อตีขึ้นรูปดาบ จึงเกิดเป็นสูตรของโลหะ ๓ ประเภท๖ คือ เบญจโลหะ คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ และทองคำ ๑ สัตโลหะ คือ เนื้อโลหะที่หลอมรวมจากเหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ ทองคำ ๑ เจ้าน้ำเงิน ๑ (ปกติเรียก “เจ้า” เป็นแร่ชนิดหนึ่งสีเขียวเหลือบน้ำเงิน) และสังกะสี ๑ นวโลหะ คือ เนื้อโลหะถึง ๙ ชนิด คือ เหล็ก ๑ ปรอท ๑ ทองแดง ๑ เงิน ๑ ทองคำ ๑ เจ้าน้ำเงิน ๑ สังกะสี ๑ ชิน ๑ (โลหะผสมระหว่างดีบุกกับตะกั่ว มีสีเงาวาวมาก และมีน้ำหนักมากเช่นกัน) และทองแดงบริสุทธิ์ ๑ ต่อมามีการค้นพบโลหะอีกประเภทหลังจากได้มีการคิดค้นสูตรโลหะทั้ง ๓ แล้ว กล่าวกันว่าเป็นโลหะที่ดีมีคุณสมบัติสำหรับการทำอาวุธที่สุด คือ “เหล็กน้ำพี้” เพราะ เหล็กน้ำพี้ เป็นโลหะที่มีคุณภาพยอดเยี่ยม เมื่อนำมาหลอมตีเป็นดาบจะมีสีเขียวเหลือบดังปีกแมลงทับ มีความคมและยืดหยุ่นได้ในตัวเอง เมื่อนำมาฟันกระทบกับของแข็ง ทำให้ไม่บิ่น ไม่งอ ไม่ทำปฏิกิริยากับอากาศ และไม่ก่อให้เกิดสนิม และเสื่อมคม แหล่งที่มาของแร่โลหะนี้ คือ บ่อน้ำพี้ “ น้ำพี้ ” เป็นชื่อหมู่บ้านหนึ่งของ จังหวัดอุตรดิตถ์ ที่มีแหล่งแร่เหล็กกล้าที่มีความบริสุทธิ์ของเนื้อเหล็กโดยธรรมชาติสูง จึงนิยมนำมาทำเครื่องใช้กันตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว มีการสันนิษฐานกันว่า ดาบรบที่สร้างขึ้นในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยามีการตีดาบเหล็กน้ำพี้ใช้สำหรับทำอาวุธใช้ในสงคราม ต่อมามีการสงวนไว้สำหรับใช้ทำพระแสงดาบสำหรับพระมหากษัตริย์ ห้ามมิให้ผู้ใดขุดเหล็กจากบ่อนี้ โดยบ่อที่นำมาทำพระแสงดาบเรียกว่า “บ่อพระแสง” และบ่อที่นำมาทำพระขรรค์เรียกว่า “บ่อพระขรรค์”นอกจากการเลือกโลหะสำหรับนำมาทำดาบแล้ว กรรมวิธีในการตีดาบยังเป็นเรื่องที่คนสมัยโบราณให้ความสำคัญ หากเป็นดาบเพื่อใช้ในการศึกสงครามแล้วจะใช้พิธีทางไสยศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง สำหรับพระแสงดาบของพระมหากษัตริย์ จะมีการตกแต่งประดับประดาพระแสงดาบด้วยโลหะ อัญมณีที่มีค่า การสร้างลวดลายต่าง ๆ และการลงสีให้มีความวิจิตรงดงาม เพื่อการใช้เป็นเครื่องประกอบยศ และพระราชทานให้แก่ พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ กล่าวได้ว่า ในอดีต พระแสงดาบ มีความสำคัญในฐานะที่เป็นราชศัสตราวุธคู่กายของ พระมหากษัตริย์ และเป็นอาวุธที่ใช้ในยามศึกสงคราม ต่อมาได้มีการพัฒนาอาวุธที่มีความทันสมัยขึ้น ทำให้พระแสงดาบจึงค่อย ๆ ลดบทบาทลง ในปัจจุบันพระแสงดาบจึงเป็นเพียงสัญลักษณ์และเครื่องหมายของพระมหากษัตริย์ ที่ใช้ประกอบยศและใช้ประกอบใน พระราชพิธีสำคัญ ๆ