พระยากากะวรรณาธิบดี หรือ พระยาพุทธวงศ์ เป็นเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 4 ระหว่างปี พ.ศ. 2368 - พ.ศ. 2389 แห่งราชวงศ์ทิพย์จักร และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการรวบรวมผู้คนมาเป็นประชากรของเมืองเชียงใหม่ในรัชสมัยพระเจ้ากาวิละ
พระยาพุทธวงศ์ หรือ เจ้าหลวงแผ่นดินเย็น เป็นเจ้าโอรสองค์โตของนายพ่อเรือน พระราชอนุชาในเจ้าฟ้าสิงหราชธานี เจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว ผู้ครองนครลำปางกับแม่เจ้าจันทาราชเทวี และเป็นเจ้าราชนัดดา (หลานปู่) ในพระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง) (พระญาสุละวะฤๅไชยสงคราม) กับแม่เจ้าพิมพาราชเทวี ซึ่งเป็นองค์ต้นราชวงศ์ทิพย์จักร (เชื้อเจ้าเจ็ดตน)
เจ้าพุทธวงศ์ ได้รับการสถาปนาเป็นพระยาอุปราชพุทธวงศ์ เมื่อปี พ.ศ. 2365 สืบต่อจากพระยาอุปราชคำฝั้น ซึ่งได้รับการสถาปนาเป็นพระยานครเชียงใหม่
พระยาพุทธวงศ์ มีเจ้าราชโอรสและราชธิดา รวม 9 พระองค์ อยู่ในณ เชียงใหม่ มีพระนามตามลำดับ ดังนี้
ด้านเศรษฐกิจ ในรัชสมัยของพระยาพุทธวงศ์ หรือเจ้าหลวงแผ่นดินเย็น นับได้ว่าเป็นช่วงที่ไม่มีศึกสงคราม มีความเจริญทางเศรษฐกิจ กำลังการผลิตของประชากรมากขึ้น แหล่งเพาะปลูกกว้างขวาง ข้าวของเครื่องใช้เริ่มจะละเมียดละไมขึ้น ข้าวปลราอาหารที่เคยผลิตหรือจัดหาเพื่อความอยู่รอดในช่วงก่อนหน้านั้น เริ่มมีมากขึ้นจนเหลือเฟือในบางครั้ง ซึ่งตลาดก็เริ่มมีบทบาทเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า จากตลาดนัดกลายเป็นตลาดที่มีสินค้านานาชนิด โดยเฉพาะตลาดกลางการค้าขายบริเวณหน้าวัดพระสิงห์ และขยายไปยังตลาดที่ถนนท่าแพในปัจจุบัน
มีเส้นทางการค้าขายหลัก 2 เส้นทาง คือ เส้นทางบก (มะละแหม่ง-ล้านนา-รัฐฉาน-ยูนนาน) และเส้นทางเรือ (ลำน้ำปิง กรุงเทพฯ-ล้านนา)
ด้านการศึกษา ในช่วงแรกยังเป็นการศึกษาในรูปแบบเดิมคือการฝึกอาชีพหรือการดำรงชีวิตตามความชำนาญในครอบครัว หรือเรียนตามสนใจของแต่ละคน ส่วนการศึกษาที่เป็นระบบนั้น จะเป็นรูปแบบของการเรียนในวัด ซึ่งไม่แตกต่างไปจากรัชสมัยของพระเจ้ากาวิละ แต่ที่แตกต่างอย่างชัดเจนคือ จำนวนวัด และจำนวนพระสงฆ์เพิ่มมากขึ้น และมีการคัดลอกคัมภีร์ใบลานต่างๆ มากขึ้นตามไปด้วย
โดยรวมแล้วในรัชสมัยของพระยาพุทธวงศ์ เป็นช่วงที่นครเชียงใหม่มีความเจริญและรับรู้ถึงชนชาติอื่นและการเปลี่ยนแปลงของโลกมากขึ้น มีการสัมพันธ์กับอังกฤษ และรู้จักการบริหารที่ไม่ใช้กำลังทำศึกสงคราม นับเป็นจุดเปลี่ยนของนครเชียงใหม่ เข้าสู่กระแสการบริหารและการเศรษฐกิจของโลก