พรรคเพื่อไทย (ย่อว่า: พท. อังกฤษ: Pheu Thai Party) จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2550 โดยมี นายบัณจงศักดิ์ วงศ์รัตนวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคคนแรก และ นายโอฬาร กิจเลิศไพโรจน์ เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก
สำนักงานใหญ่ของพรรค ตั้งอยู่ที่ 1770 อาคารไอเอฟซีที ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร รหัสไปรษณีย์ 10310 ซึ่งเป็นที่ทำการเดิมของพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน (ย้ายมาจากอาคารนวสร ถนนพระรามที่ 3 แขวงบางคอแหลม เขตบางคอแหลม กรุงเทพมหานคร และ 626 อาคาร บีบีดี บิลดิง ซอยจินดาถวิล ถนนพระรามที่ 4 แขวงมหาพฤฒาราม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร 10500) และสำนักงานสาขาพรรคแห่งแรก ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งเป็นสาขาพรรคพลังประชาชนเดิม
ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคนัดพิเศษ เมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2551 มีมติให้ ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช เป็นหัวหน้าพรรค นางสาวสุณีย์ เหลืองวิจิตร เป็นเลขาธิการพรรค นายศักดา นพสิทธิ์ เป็นโฆษกพรรค และ นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ เป็นผู้อำนวยการพรรค
ต่อมา เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน ดร.สุชาติได้ลาออกจากการเป็นหัวหน้าพรรค โดยให้เหตุผลว่า ขณะนี้ บุคคลที่มีประสบการณ์ทางการเมืองจำนวนมาก ได้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ตนจึงต้องการเปิดโอกาสให้ผู้ที่เหมาะสม เข้ารับตำแหน่งต่อไป นอกจากนี้ ตนก็ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ส่วนจะรับตำแหน่งอื่นภายในพรรคหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเพื่อนสมาชิก
หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคมแล้ว ส.ส.และสมาชิกพรรคเกือบทั้งหมดได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคเพื่อไทย ยกเว้นกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งภายหลังย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย โดยในการยุบพรรคการเมืองครั้งนี้ได้ส่งผลให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย
จากนั้น เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม มีการประชุมใหญ่วิสามัญ ครั้งที่ 4/2551 ของพรรคขึ้น ที่อาคารที่ทำการพรรค โดยมีวาระสำคัญคือ การลงมติเลือกหัวหน้าพรรค และคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ โดยในส่วนหัวหน้าพรรค มีการเสนอชื่อ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รักษาการรองหัวหน้าพรรค เพียงรายชื่อเดียว นายยงยุทธจึงได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคไปอย่างไม่มีคู่แข่ง ส่วนนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่นั้น ที่ประชุมมีมติให้ดำรงตำแหน่ง กรรมการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค
ในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรคได้ยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งและสมาชิกพรรค หลังจากมีข่าวคราวเกี่ยวกับเรื่องนี้มาพอสมควร ซึ่งคนใกล้ชิดของ พล.อ.ชวลิต กล่าวว่าสาเหตุเนื่องจาก พล.อ.ชวลิตไม่พอใจในบทบาทที่สมาชิกพรรคบางคนที่เป็นแกนนำของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ได้ขึ้นเวทีปราศรัยและพาดพิงไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ทำให้ทางกองทัพเกิดปฏิกิริยาตอบกลับในเรื่องนี้ทันที ซึ่งหลังจากการลาออกของ พล.อ.ชวลิตแล้ว ก็ได้มีสมาชิกพรรคอีกหลายคนได้ทยอยลาออกตามมาหรือสละตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค อาทิ พล.อ.จิรเดช คชรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารบก หรือ นายสุพล ฟองงาม เลขาธิการพรรคที่ได้ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค
วันที่ 7 มิถุนายน 2557 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า พรรคเพื่อไทยแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม สมาชิกกลุ่มหนึ่งกล่าวอย่างเปิดเผยว่าจะต่อสู้กับคณะรัฐประหาร กลุ่มที่สองเลือกไม่ต่อต้านและพยายามลดบทบาท ส่วนกลุ่มที่สามตัดสินใจรอดูสถานการณ์ มีรายงานว่าจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำ นปก. กำลังใช้กลวิธีจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ส่วนอดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น เนื่องจากปฏิกิริยาต่อรัฐประหาร และผลประโยชน์ทางการเมืองและธุรกิจของสกุลชินวัตร
เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551 นายประชา ประสพดี ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่าผู้ที่ ส.ส. หารือกันว่าผู้ที่มีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ประกอบด้วย นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ส.ส.สัดส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รักษาการ รมว.สาธารณสุข และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รักษาการ รมว.คมนาคม โดยผู้มาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและสร้างความสามัคคีให้คืนมา แต่ต่อมาที่ประชุมพรรคเพื่อไทย ได้มีมติสนับสนุนแนวคิดของนายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราชที่เสนอให้ทุกพรรคการเมืองร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลเพื่อชาติ มีนายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่ไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่ง พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน ตอบรับที่จะให้เสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อลงมติเลือกนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้ที่ประชุมได้เสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสม เพื่อให้สมาชิกลงมติเลือก จำนวน 2 คน โดย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ เสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 6 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายเสนาะ เทียนทอง ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 5 และหัวหน้าพรรคประชาราช เสนอชื่อ พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก ส.ส.สัดส่วน กลุ่มจังหวัดที่ 3 ว่าที่หัวหน้าพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายอภิสิทธิ์ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 235 เสียง ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา ได้รับคะแนน 198 เสียง และ งดออกเสียง 3 เสียง โดย พล.ต.อ.ประชา ลงมติสนับสนุนตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี เช่นเดียวกับ พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ลงมติสวนมติพรรคสนับสนุน พล.ต.อ.ประชา ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ งดออกเสียง ภายหลังการลงมติ พล.ต.อ.ประชา เดินเข้ามาจับมือนายอภิสิทธิ์แสดงความยินดีด้วย
พรรคเพื่อไทยมีมติยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ยังมีมติเสนอชื่อ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ประธาน ส.ส.พรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีแทน โดยรัฐมนตรีที่ถูกยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีและถอดถอน 5 คนคือ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลัง นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย เพราะพบประเด็นการบริหารที่ผิดพลาดและทุจริตประพฤติมิชอบ
เมื่อปี พ.ศ. 2552 พรรคเพื่อไทยมีมติส่งยุรนันท์ ภมรมนตรี ลงสมัครชิงตำแหน่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โดยในการเลือกตั้ง ยุรนันท์ได้รับหมายเลข 10 สำหรับผลการเลือกตั้ง ยุรนันท์ได้รับ 611,669 คะแนน เป็นอันดับที่ 2
และในปี พ.ศ. 2556 พรรคเพื่อไทยมีมติส่ง พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศ พงษ์เจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่ง โดยในการเลือกตั้ง พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศได้รับหมายเลข 9 สำหรับผลการเลือกตั้ง พลตำรวจเอก ดร.พงศพัศได้รับ 1,077,899 คะแนน เป็นอันดับที่ 2
นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดเผยผลการเลือกตั้งซ่อมสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอย่างไม่เป็นทางการ 29 คน ใน 22 จังหวัด 26 เขตเลือกตั้ง พบว่าพรรคร่วมรัฐบาลสามารถกวาดที่นั่ง ส.ส.ได้เพิ่มอีก 20 เขต ขณะที่พรรคฝ่ายค้านได้ไปเพียง 9 เขต ทั้งนี้ ผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ได้รับเลือก 7 คน, พรรคชาติไทยพัฒนาได้รับเลือก 10 คน, พรรคเพื่อไทยได้รับเลือก 5 คน, พรรคประชาราชได้รับเลือก 4 คน และพรรคเพื่อแผ่นดินได้รับเลือก 3 คน
นางอนุรักษ์ บุญศล พรรคเพื่อไทย ได้ 103,277 คะแนน เอาชนะนายพิทักษ์ จันทรศรี พรรคภูมิใจไทย ได้ 47,300 คะแนน
นายสุรชาติ ชาญประดิษฐ์ พรรคเพื่อไทย ได้ 124,327 คะแนน เอาชนะนางสกุลทิพย์ อังคสกุลเกียรติ พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 76,435 คะแนน
พรรคเพื่อไทยที่นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง สามารถกวาดที่นั่ง ส.ส. 265 คน ทิ้งห่างพรรคประชาธิปัตย์ที่นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปกว่า 100 คน พร้อมกับคว้าคะแนนเสียงเกินครึ่งหนึ่งและสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
กรรมการบริหารพรรคพ้นจากตำแหน่งตามหัวหน้าพรรคที่ได้ลาออกไป แต่ต้องรักษาการต่อจนกว่าจะมีกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่
เครื่องหมายแรกของพรรค ที่ใช้ในช่วง พ.ศ. 2550-2551 มีคำอธิบายว่า "การรู้รักสามัคคีและรวมกันเป็นพลังอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติ" ขณะที่ภาพเครื่องหมายพรรค ภายใต้รูปสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรไทย "พ" สีขาว บนพื้นสีน้ำเงินกับสีแดง ล้อมด้วยกรอบสี่เหลี่ยม เส้นสีน้ำเงินและสีแดง โดยตัวอักษร "พ" หมายถึง การรู้รักสามัคคี และรวมพลังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ของคนในชาติ ส่วนพื้นสีน้ำเงินกับสีแดง หมายถึง ความมุ่งมั่น รวมเอาคนไทยจากทุกภาคส่วน มาระดมสติปัญญา เพื่อพัฒนาประเทศชาติ
ต่อมาคณะกรรมการการเลือกตั้งลงมติตอบรับ การเปลี่ยนแปลงข้อ 5 ของข้อบังคับพรรคเพื่อไทย ซึ่งว่าด้วยภาพเครื่องหมายพรรค เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2551 และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยเครื่องหมายดังกล่าว เป็นหนึ่งในรูปแบบการจัดวางตำแหน่งของเครื่องหมายพรรค โดยแต่ละรูปแบบ จะมีการจัดวางตำแหน่งขององค์ประกอบที่แตกต่างกัน
โดยองค์ประกอบของเครื่องหมายพรรคเพื่อไทย มีตัวอักษร "พ" ตัวอักษร "ท" สีน้ำเงินเข้ม ซึ่งมีแถบสีแดง สีขาว และสีน้ำเงินประกอบ หมายถึง การรู้รักสามัคคี และรวมพลังกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชนชาติไทย โดยตามรอยพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และตัวอักษร "พรรคเพื่อไทย" สีน้ำเงินเข้ม หมายถึง ความมุ่งมั่นที่จะรวบรวมคนไทยจากทุกภาคส่วน มาระดมสติปัญญา กำหนดนโยบายทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อร่วมกันพัฒนาชาติไทย ให้เจริญรุ่งเรืองมั่นคงยั่งยืนตลอดไป
ซึ่งเครื่องหมายนี้ แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ กับเครื่องหมายพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน ด้วยการใช้สีของธงไตรรงค์ และอักษร "พ" ที่คล้ายกับเครื่องหมายพรรคพลังประชาชน และอักษร "ท" ในเครื่องหมายพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้เพื่อสื่อสารให้ผู้ชมทราบว่า พรรคเพื่อไทยสืบทอดเจตนารมณ์ จากพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน
ทั้งนี้ ในการเลือกตั้ง ส.ส. วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปรากฏปัญหาเกี่ยวกับเครื่องหมายพรรค ในบัตรเลือกตั้ง ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ (สีเขียว) กล่าวคือ สัญลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยตามรูปแบบที่ยื่นไว้ต่อ กกต. เมื่อปี พ.ศ. 2551 มีชื่อ "พรรคเพื่อไทย" ต่อท้ายสัญลักษณ์ "พ" และ "ท" ส่งผลให้การจัดพิมพ์สัญลักษณ์ดังกล่าวลงในบัตรเลือกตั้งมีขนาดเล็กมากกว่าสัญลักษณ์ของพรรคการเมืองอื่น จนไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ประกอบกับคำชี้แจงตอนบนของบัตรระบุว่า "ให้ทำเครื่องหมายกากบาท ภายใน "ช่องทำเครื่องหมาย" ด้านขวามือของ "หมายเลขพรรคการเมือง" เพียงหมายเลขเดียวเท่านั้น" ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว "ช่องทำเครื่องหมาย" นั้นอยู่ถัดไปทางขวามือของช่อง "ชื่อพรรคการเมือง" แต่ทว่า ช่องที่อยู่ถัดไปทางขวามือของช่อง "หมายเลขพรรคการเมือง" คือช่อง "ภาพเครื่องหมายพรรคการเมือง" ต่างหาก จากปัญหาสองกรณีดังกล่าวนั้น อาจทำให้ผู้ลงคะแนนบางส่วนเกิดความเข้าใจผิด กลับไปลงคะแนนในช่อง "ภาพเครื่องหมายพรรคการเมือง" แทนที่จะลงคะแนนใน "ช่องทำเครื่องหมาย" อย่างถูกต้อง
เป็นผลให้ต่อมา พรรคเพื่อไทยจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี พ.ศ. 2555 เมื่อวันที่ 20 มีนาคม โดยมีมติรับรองการเปลี่ยนแปลงข้อ 5 ของข้อบังคับพรรค ซึ่งว่าด้วยภาพเครื่องหมายพรรค ให้แก้ไขด้วยการนำตัวอักษร "พรรคเพื่อไทย" ออกจากเครื่องหมาย คงไว้เฉพาะตัวอักษร "พ" และ "ท" เท่านั้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คณะกรรมการการเลือกตั้ง ลงมติตอบรับเมื่อวันที่ 26 เมษายน และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ปีเดียวกัน