พยางค์ หมายถึงหน่วยหนึ่งขององค์ประกอบในลำดับของเสียงที่ใช้สื่อสารด้วยคำพูด พยางค์โดยทั่วไปเกิดขึ้นจากแกนพยางค์ (syllable nucleus) ซึ่งมักจะเป็นเสียงสระ และอาจมีเสียงขึ้นต้นและเสียงลงท้ายเป็นเสียงพยัญชนะในพยางค์ พยางค์ถูกจัดว่าเป็นส่วนประกอบของคำในการศึกษาระบบเสียงในภาษา (phonology) ซึ่งมีอิทธิพลต่อจังหวะในภาษา ฉันทลักษณ์ ลักษณะคำประพันธ์ รูปแบบการเน้นเสียง เป็นต้น คำหนึ่งคำอาจอบขึ้นจากพยางค์เพียงพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้
การเขียนสัญลักษณ์แทนพยางค์เริ่มมีขึ้นเมื่อไม่กี่ร้อยปีก่อนที่จะมีการใช้ตัวอักษรขึ้นเป็นครั้งแรก สัญลักษณ์แทนพยางค์ในสมัยนั้นถูกบันทึกลงบนแผ่นจารึกเมื่อประมาณ 2,800 ปีก่อนคริสตกาลโดยชาวสุเมเรียน สิ่งนี้เป็นตัวผลักดันให้อักษรภาพที่เขียนกันมาแต่เดิมถูกเปลี่ยนเป็นการเขียนแทนพยางค์ ซึ่งเป็นก้าวหนึ่งที่สำคัญในประวัติศาสตร์ของระบบการเขียน
คุณลักษณะทางฉันทลักษณ์ (suprasegmental) คือคุณที่ทำให้พยางค์ออกเสียงต่างไปจากปกติ ซึ่งไม่ใช่การเพิ่มเสียงใหม่ที่ทำให้โครงสร้างพยางค์เปลี่ยนไป คุณลักษณะดังกล่าวประกอบด้วยการเน้นเสียง (stress) และวรรณยุกต์ (tone)
โครงสร้างพยางค์มักมีการเน้นเสียงอยู่บ่อยๆ ตัวอย่างเช่นในภาษาที่ใช้อักษรละติน น้ำหนักพยางค์ (syllable weight) โดยปกติคือตัวบ่งบอกการเน้นเสียงในพยางค์ พยางค์หนึ่งจะถือว่าเป็นพยางค์หนักเมื่อเข้าสู่เงื่อนไขอย่างน้อยหนึ่งข้อต่อไปนี้ ซึ่งแต่ละข้อถูกจัดว่ามี 2 มอรา (mora)
บางครั้งความยาวพยางค์ (syllable length) ก็ถูกจัดว่าเป็นคุณลักษณะทางฉันทลักษณ์อีกอันหนึ่ง เช่นในภาษากลุ่มเจอร์มานิก เสียงสระจะยาวขึ้นก็ต่อเมื่อเสียงพยัญชนะสั้น และจะสั้นลงก็ต่อเมื่อเสียงพยัญชนะยาว เป็นต้น อย่างไรก็ตาม พยางค์อาจถูกวิเคราะห์ว่าเป็นการประกอบขึ้นจากหน่วยเสียง (phoneme) ที่สั้นและยาวแตกต่างกัน ซึ่งความยาวของเสียงพยัญชนะและเสียงสระแยกจากกันอย่างอิสระ ดังเช่นภาษาฟินแลนด์และภาษาญี่ปุ่น จึงไม่เป็นคุณลักษณะทางฉันทลักษณ์
สระคลาย (lax vowel) สามารถเกิดขึ้นได้เฉพาะพยางค์ปิดในภาษากลุ่มเจอร์มานิกส่วนใหญ่ ดังนั้นเสียงสระนี้จึงถูกเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าพยางค์หยุด ตรงข้ามกับสระเกร็ง (tense vowel) เพราะเกิดขึ้นในพยางค์เปิด โดยทั้งสองกรณีไม่เกี่ยวข้องกับความยาวพยางค์
กฎเกณฑ์ของการเรียงหน่วยเสียง (phonotactics) เป็นตัวบ่งบอกว่าเสียงใดที่อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้มีในโครงสร้างพยางค์ ภาษาอังกฤษอนุญาตให้มีพยางค์ที่ซับซ้อนมากๆ ได้ บางพยางค์อาจมีต้นพยางค์สามเสียง (string, splash) หรือในบางโอกาสก็มีท้ายพยางค์สี่เสียง (prompts) เป็นต้น แต่ในภาษาอื่นหลายภาษาก็มีข้อจำกัดที่เพิ่มขึ้น เช่น ภาษาไทยกำหนดให้มีต้นพยางค์มากที่สุดสองเสียงดังเห็นได้จากคำควบกล้ำ ส่วนภาษาญี่ปุ่นกำหนดให้เสียง ? /n/ เป็นเสียงท้ายพยางค์เท่านั้น และใช้พยัญชนะหลายตัวประกอบเข้าด้วยกันเพื่อแทนต้นพยางค์เพียงเสียงเดียว
ภาษาฮีบรู ภาษาอาหรับ และสำเนียงอื่นของภาษาเยอรมัน ได้กำหนดว่าพยางค์จะต้องมีเสียงแทนต้นพยางค์เสมอ ตัวอย่างเช่นคำว่า อิสราเอล, อะบราฮัม, โอมาร์, อาลี, อับดุลลาห์ พยางค์แรกของทุกคำจะต้องขึ้นต้นด้วยพยัญชนะเสียงกักหรือเสียดสีในช่องเส้นเสียงหรือคอหอย ซึ่งเสียงกักในช่องเส้นเสียงคือเสียง อ /?/ ในภาษาไทย
การเรียงหน่วยเสียง เป็นการศึกษาโครงสร้างพยางค์ในระดับรายละเอียดปลีกย่อย ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสำรวจว่าพยางค์ในภาษาหนึ่งๆ สามารถจัดรูปแบบอย่างดีได้อย่างไร ส่วนในระดับโดยรวมเป็นการศึกษาเพื่อพิจารณาข้อกำหนดบนความเป็นไปได้ในการผสมผสานพยางค์เข้าด้วยกัน ตำแหน่งของการเกิดพยางค์ และการเรียงลำดับของคำที่เป็นไปได้ เรียกว่า การศึกษาการเรียงพยางค์ (syllabotactics)
การเขียนพยางค์ให้ออกมาเป็นสัญกรณ์ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนักสำหรับภาษาที่อนุญาตให้มีเสียงพยัญชนะต่อเนื่องกันโดยไม่มีเสียงสระหรือเสียงสั่นรัวเลย เช่นภาษากลุ่มซาลิช (Salishan) กับภาษากลุ่มวาคาช (Wakashan) ในแถบชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของวลีที่มีแต่เสียงปิดกั้น (obstruent) ของ ภาษา Nux?lk ซึ่งเป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มซาลิช
ในการสำรวจข้างต้นนี้ คำว่า [?’ktsk??’] อาจแบ่งออกได้เป็น 0, 2, 3, 5, หรือ 6 พยางค์ก็ได้ขึ้นอยู่กับวิธีการที่ใช้วิเคราะห์ วิธีหนึ่งคือการถือเอาว่าเสียงสระและเสียงพยัญชนะทุกตัวสามารถเป็นแกนพยางค์ได้ อีกวิธีหนึ่งก็ให้บางส่วนเป็นแกนพยางค์ และอีกวิธีหนึ่งก็เห็นว่าไม่มีพยางค์อยู่เลยเพราะไม่มีเสียงสระ
ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ก็มีเกิดขึ้นในภาษากลุ่มเบอร์เบอร์ (Berber) ในทวีปแอฟริกา และภาษากลุ่มมอญ-เขมร (Mon-Khmer) หรือแม้แต่ภาษาอังกฤษบางคำก็ไม่มีเสียงสระเช่นคำว่า shh (ให้เงียบ) และ psst (เสียงเพื่อเรียกร้องความสนใจ)