พรมผนังบาเยอ (อังกฤษ: Bayeux Tapestry; ฝรั่งเศส: Tapisserie de Bayeux) เป็นผืนผ้ากว้าง 50 เซนติเมตร ยาว 70 เซนติเมตรที่ปักเป็นภาพการนำไปสู่ชัยชนะของชาวนอร์มันต่ออังกฤษนำโดยดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดี ผู้ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 แห่งอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ. 1066 และเหตุการณ์ระหว่างสงครามเอง คำบรรยายในพรมผนังบาเยอเป็นภาษาละติน ปัจจุบันผ้าผืนนี้ตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ที่เมืองบาเยอในประเทศฝรั่งเศส
เอกสารฉบับแรกที่กล่าวถึงพรมผนังบาเยออยู่ในเอกสารการสำรวจสิ่งของของมหาวิหารบาเยอเมื่อปี ค.ศ. 1476 แต่หลักฐานนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
ตามตำนานของฝรั่งเศสกล่าวกันว่าพระราชินีมาทิลดา (Matilda of Flanders) พระมเหสีของพระเจ้าวิลเลียมเป็นผู้ทรงสั่งทำและทรงออกแบบพรมผนังบาเยอร่วมกับข้าราชสำนัก ผ้าปักผืนนี้จึงเป็นที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ผ้าปักพระราชินีมาทิลดา" (Tapestry of Queen Matilda) แต่เมื่อผู้เชี่ยวชาญศึกษาผ้าผืนนี้ในศตวรรษที่ 20 ก็สันนิษฐานว่าผู้ที่สั่งทำน่าจะเป็น บาทหลวงโอโดแห่งบาเยอ (Bishop Odo of Bayeux) ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของพระเจ้าวิลเลียมมากกว่า เหตุผลที่สันนิษฐานกันว่าบาทหลวงโอโดเป็นผู้สั่งก็เพราะมีรูปของผู้ติดตามของโอโดสามคนที่กล่าวถึงใน บันทึกทะเบียนราษฎรดูมสเดย์ (Domesday Book) อยู่บนผืนผ้า; ผ้าผืนนี้พบที่มหาวิหารบาเยอซึ่งบาทหลวงโอโดเป็นผู้สร้าง; และผ้าปักนี้อาจจะสั่งให้ทำพร้อมกับการก่อสร้างมหาวิหารบาเยอเมื่อปีค.ศ. 1070 เพื่อให้เสร็จทันการฉลองการสถาปนาของมหาวิหาร
ถ้าสันนิษฐานว่าบาทหลวงโอโดเป็นผู้สั่งทำ ผ้าผืนนี้ก็คงออกแบบและทำในอังกฤษโดยศิลปินชาวแองโกล-แซกซันเพราะบาทหลวงโอโดมีอำนาจการปกครองในบริเวณเคนต์ คำบรรยายในผืนผ้าที่เป็นภาษาละตินมีเค้าว่าเป็นแองโกล-แซกซัน ลวดลายปักก็มาจากลักษณะการปักของอังกฤษในสมัยเดียวกัน และสีย้อมจากพืชก็พบในผ้าที่ทอที่นั่น ถ้าเป็นข้อสันนิษฐานนี้ตัวงานปักก็คงทำโดยช่างปักผู้ชำนาญเพราะฝีมือการปักแบบแองโกล-แซกซัน หรือ "Opus Anglicanum" มีชื่อเสียงไปทั่วยุโรป
อีกทฤษฏีหนึ่งที่เพิ่งเสนอโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะคาโรลา ฮิกส์ (Carola Hicks) ก็ว่าทำโดยอีดิธแห่งเวสเซ็กซ์ พระชายาในสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพ
วุล์ฟแกง เกรป ในหนังสือ "พรมผนังบาเยอ : อนุสรณ์แห่งชัยชนะของนอร์มัน" (The Bayeux Tapestry: Monument to a Norman Triumph) ที่พิมพ์เมื่อปี ค.ศ. 1994 ค้านความเห็นส่วนใหญ่ที่ว่าเป็นงานปักของแองโกล-แซกซัน โดยชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างงานปักของแองโกล-แซกซันและวิธีปักของบริเวณอื่นๆ ทางเหนือของยุโรป แต่อลิสซาเบ็ธ โคทสเวิร์ธ ผู้เชี่ยวชาญทางผ้าไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้
เมื่อไม่นานมานี้ จอร์จ บีชให้ความเห็นว่าผ้าปักทำที่แอบบีแซ็ง-ฟลอร็องในบริเวณลุ่มแม่น้ำลัวร์ และกล่าวว่ารายละเอียดที่ปักเป็นเรื่องราวของการรณรงค์ในเบรอตาญในหนังสือ "พรมผนังบาเยอทำในฝรั่งเศสหรือไม่? : กรณีแซ็ง-ฟลอร็องแห่งโซมูร์" (Was the Bayeux Tapestry Made in France?: The Case for St. Florent of Saumur)
พรมผนังบาเยอก็เช่นเดียวกับผ้าปักในสมัยต้นยุคกลางทึ่เรียกว่า "tapestry" (พรมผนัง) แม้ว่าจะไม่ใช่พรมผนังตามความหมายของคำทอลวดลายเข้าไปในเนื้อผ้าแทนที่จะเป็นการปักอย่างพรมผนังบาเยอ
พรมผนังบาเยอใช้ด้ายขนแกะปักบนผ้าลินิน ใช้วิธีปักสองวิธี: ฝีเข็มแบบ backstitch สำหรับตัวอักษรและตัดขอบรอบสิ่งต่างในภาพที่ปัก ฝีเข็มแบบ couching สำหรับเติมในช่องที่ตัดขอบไว้ ผ้าลินินที่ใช้เป็นผืนเล็กๆ ที่นำมาต่อกัน
สีของด้ายที่ใช้เป็นสีดินเผา (terracotta) หรือ แดงเข้ม (russet), เขียวน้ำเงิน, ทองหม่น และน้ำเงิน กับสีน้ำเงินเข้มหรือดำ และเขียวหม่น (เขียวใบเสจ (sage green)) บ้างเล็กน้อย ด้ายที่ซ่อมต่อมาเป็นสีเหลืองอ่อน, ส้ม และเขียวอ่อน ในช่องเติมบางครั้งก็จะใช้ด้ายสีเดียวกันหรือบางครั้งก็ใช้สีตัดกัน
ในสมัยการรุกรานของนอร์มันในอังกฤษ ตราประจำเหล่า (heraldry) ยังไม่เป็นที่ใช้กัน อัศวินในผ้าปักใช้โล่แต่ก็ดูเหมือนว่าไม่มีระบบการใช้ตราประจำตัว (coats of arms) แต่อย่างใด การใช้ ตราประจำเหล่า มาเริ่มใช้กันเป็นมาตรฐานเอาเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 12
ผ้าปักค้นพบอึกครั้งเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่บาเยอซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งแสดงปีละครั้งระหว่างการฉลองเทศการวัตถุมงคล ลายสลักบนโลหะ (engraving) ของภาพพิมพ์โดยเบอร์นาร์ด เดอ มงโฟคอง (Bernard de Montfaucon) ในคริสต์ทศศตวรรษ 1730 ต่อมาชาวบาเยอผู้ต่อสู้เพื่อสาธารณรัฐต้องการจะใช้ผ้าคลุมรถขนอาวุธและทนายความที่รู้ถึงความสำคัญของผ้าปักห้ามไว้ทัน[ต้องการอ้างอิง] ในปี ค.ศ. 1803 จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ทรงยึดและนำไปปารีส จักรพรรดินโปเลียนทรงต้องการที่จะใช้ผ้าปักเป็นเครื่องปลุกใจในการวางแผนรุกรานอังกฤษ เมื่อแผนต้องล้มเลิกผ้าปักจึงถูกนำกลับไปบาเยอ เมื่อได้มาชาวเมืองก็เก็บม้วนไว้ ต่อมาผ้าปักก็ถูกยึดไปโดย "สถาบันการค้นคว้าและการสอนท้องถิ่นเกี่ยวกับที่มาของบรรพบุรุษ" (Ahnenerbe) ของพรรคนาซี ผ้าปักจึงถูกเก็บรักษาไว้ในห้องใต้ดินในพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ในปัจจุบันพรมผนังบาเยอตั้งแสดงอยู่ในห้องมืดที่ใช้ไฟที่ออกแบบพิเศษเพื่อไม่ให้เลียสีและป้องกันจากความชำรุดที่เกิดจากแสงและอากาศ ในเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2007 พรมผนังบาเยอได้รับเลือกจากองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก
พรมผนังบาเยอเป็นเรื่องราวของชัยชนะของชาวนอร์มันที่มีต่ออังกฤษ ฝ่ายหนึ่งของสงครามคือชาวแองโกล-แซกซันอังกฤษนำโดยพระเจ้าฮาโรลด์ กอดวินสันผู้ที่เพิ่งขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษ และอีกฝ่ายหนึ่งคือชาวนอร์มันนำโดยดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดี แยกจากกันโดยชาวนอร์มันจะโกนด้านหลังของศีรษะ และชาวแองโกล-แซกซันมีหนวด
บุคคลสำคัญๆ ที่ปรากฏก็ได้แก่ดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดี หรือวิลเลียมผู้พิชิต ดยุควิลเลียมเป็นบุตรนอกสมรสของโรเบิร์ตที่ 2 ดยุคแห่งนอร์ม็องดีและเฮอร์เลวา (Herleva) ผู้ที่ต่อมาไปมีสามีอึกคนหนึ่งและมีลูกด้วยกันสองคนจากคนหนึ่งคือโอโดแห่งบาเยอ เฮอร์เลวาอาจจะเป็นลูกสาวของช่างย้อมหนัง ดยุคโรเบิร์ตแห่งนอร์ม็องดีถูกสังหารระหว่างการกลับจากการแสวงบุญที่เยรูซาเลม วิลเลียมทรงขึ้นเป็นดยุคแห่งนอร์ม็องดีต่อจากดยุคโรเบิร์ตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์แต่ก็พิศูจน์พระองค์เองว่าทรงเป็นนักรบที่กล้าหาญเมื่อพระชนมายุได้ 19 พรรษา ดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดีเสกสมรสกับมาทิลดาแห่งฟลานเดอร์สผู้เป็นพระญาติห่างๆ
ผ้าปักเริ่มด้วยฉากสมเด็จพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้สารภาพผู้ไม่มีพระราชโอรสเพื่อการสืบราชสมบัติ และดูเหมือนว่าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดจะทรงส่งฮาโรลด์ กอดวินสันผู้เป็นขุนนางคนสำคัญของอังกฤษไปนอร์ม็องดีแต่ผ้าปักมิได้ระบุเหตุผลของการเดินทางของฮาโรลด์ เมื่อไปถึงนอร์ม็องดีฮาโรลด์ก็ถูกจับเป็นนักโทษโดยกีย์ เคานต์แห่งปองทู พอได้รับข่าวดยุควิลเลียมก็สั่งให้กีย์ส่งตัวฮาโรลด์มาให้พระองค์ ดยุควิลเลียมคงทรงมีความประทับใจในตัวฮาโรลด์ กอดวินสันอยู่บ้างเพราะทรงออกสงครามร่วมกับฮาโรลด์ในการต่อสู้กับโคนันที่ 2 ดยุคแห่งเบรอตาญผู้เป็นศัตรูของดยุควิลเลียม ขณะที่เดินผ่านมง-แซ็ง-มีแชลเพื่อไปยังเบรอตาญ ฮาโรลด์ก็ได้ช่วยนายทหารสองคนของดยุควิลเลียม บารอนเอียน เด ลา โกลด์ฟินช์ และหลวงพ่อพอล เลอ คีนให้รอดจากทรายดูด ฮาโรลด์และดยุควิลเลียมไล่ตามโคนันจากโดลเดอเบรอตาญไปจนถึงแรนส์และในที่สุดดินองเมื่อโคนันยอมแพ้ อาจจะเป็นได้ว่าดยุควิลเลียมอาจจะแต่งตั้งให้ฮาโรลด์เป็นอัศวินหลังจากที่ทรงชนะสงครามต่อโคนันแล้วฮาโรลด์ก็สาบานต่อวัตถุมงคลของนักบุญ สันนิษฐานเป็นรากฐานที่ทำให้พงศาวดารของนอร์มันตีความหมายว่าการสาบานของฮาโรลด์ว่าเป็นการประกาศสนับสนุนดยุควิลเลียมในการอ้างสิทธิในราชบัลลังก์อังกฤษ แต่ตัวผ้าปักมิได้ระบุดังที่ว่า หลังจากนั้นฮาโรลด์ก็เสด็จกลับอังกฤษและเข้าเฝ้าพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดผู้กริ้วที่ฮาโรลด์ไปสาบานต่อดยุควิลเลียม เมื่อพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดเสด็จสวรรคตฮาโรลด์ก็ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าฮาโรลด์ กอดวินสัน ในพรมผนังบาเยอฮาโรลด์ กอดวินสันได้รับการสมมงกุฏโดยสไตกานด์ (Stigand) อัครบาทหลวงแห่งแคนเตอร์บรีผู้ที่ดำรงตำแหน่งอย่างเป็นที่น่าสงสัย หลักฐานอื่นๆ ของนอร์มันต่างก็กล่าวเช่นเดียวกันทำให้ดูราวกับว่าการสวมมงเกุฏเป็นไปโดยไม่ชอบธรรม แต่หลักฐานอังกฤษกล่าวว่าทรงได้รับการสมมงกุฏโดยเอเดรดอัครบาทหลวงแห่งยอร์กซึ่งทำให้รู้สึกว่าการเป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษของฮาโรลด์เป็นไปอย่างถูกต้อง
ฉากต่อมาก็เป็นการปรากฏของดาวหางแฮลลีย์ การปรากฏของดาวหางเป็นครั้งแรกควรจะเป็นวันที่ 24 เมษายน ราวเกือบสี่เดือนหลังจากที่พระเจ้าฮาโรลด์ได้ทรงทำพิธีราชาภิเศก ตามความเชื่อของชนยุคกลางดาวหางแฮลลีย์เป็นดาวที่เป็นสัญญาณของความหายนะ ข่าวการราชาภิเศกของพระเจ้าฮาโรลด์ไปถึงนอร์ม็องดี เมื่อดยุควิลเลียมเตรียมสร้างกองทัพเรือเพื่อจจะรุกรานอังกฤษ ดยุควิลเลียมนำกองทัพนอร์มันขึ้นฝั่งอังกฤษโดยไม่มีผู้ต่อต้าน ขณะที่ประทับอยู่ในอังกฤษก็ทรงได้ข่าวว่าพระเจ้าฮาโรลด์ได้รับชัยชนะต่อผู้รุกรานทางด้านเหนือของอังกฤษที่ยุทธการแสตมฟอร์ดบริดจ์ (Battle of Stamford Bridge) แต่ผ้าปักละเว้นเหตุการณ์นี้ ดยุควิลเลียมก็เริ่มสร้างป้อมบนเนินเพื่อป้องกันตนเอง
ยุทธการเฮสติงส์ต่อสู้กันเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม, ค.ศ. 1066 โดยฝ่ายอังกฤษต่อสู้ในกำแพงเมืองและฝ่ายฝรั่งเศสบนหลังม้า ผู้ที่ถูกสังหารคนแรกคือเลิร์ฟไวน์ (Leofwine Godwinson) และ เกิร์ธ (Gyrth Godwinson) พระอนุชาของพระเจ้าฮาโรลด์ โอโดแห่งบาเยอก็ปรากฏในสนามรบด้วย ผู้เสียชีวิตต่อมาก็คือพระเจ้าฮาโรลด์ซึ่งอาจจะตึความหมายได้จากชื่อ "ฮาโรลด์" ที่ปรากฏอยู่เหนือฉากการตายที่ยืดยาว แต่ทำให้บ่งได้ยากว่าผู้ใดในฉากนั้นคือพระเจ้าฮาโรลด์ ตามความเชื่อที่มี่ต่อกันมาพระเจ้าฮาโรลด์คือผู้ที่มีศรเสียบตา แต่อาจจะเป็นอีกคนหนี่งที่มีหอกปักอก หรือคนที่ถูกตัดขาหรืออาจจะเป็นทั้งสามคนทึ่ถูกบาดเจ็บทั้งสามอย่าง หลังจากนั้นฝ่ายอังกฤษก็หนีจากสนามรบ
แต่ผ้าปักไม่น่าที่จะจบลงตรงนี้ส่วนที่เหลืออาจจะหายสาบสูญไป หลังจากชัยชนะที่ยุทธการเฮสติงส์ ดยุควิลเลียมแห่งนอร์ม็องดี ก็เดินทัพผ่านเคนต์ไปยังลอนดอนทึ่ขุนนางถวายความสวามิภักดิ์ ดยุควิลเลียมได้สวมมงกุฎเป็นพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษในวันคริสต์มาสของปี ค.ศ. 1066 โดยอัครบาทหลวงอัลเดรดแห่งยอร์กและวอริก การต่อต้านของชาวแซกซันก็ยังดำเนินต่อไปจน พระเจ้าวิลเลียมเสด็จสวรรคต