ผู้ลี้ภัย (อังกฤษ: refugee) หมายถึงบุคคลที่อยู่นอกประเทศต้นกำเนิดหรือประเทศที่มีถิ่นฐานประจำ เพราะเขาผู้นั้นประสบกับภัยอันเกิดแต่การตามล่า การกดขี่ด้วยเหตุทาง เชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ ความเห็นทางการเมือง หรือ การเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมที่ถูกตามล่า บางครั้งอาจเรียกผู้ลี้ภัยว่า ผู้ขอที่ลี้ภัย (asylum seeker) จนกว่าจะได้รับการยอมรับสถานภาพของผู้ลี้ภัย
เด็กและสตรีผู้ลี้ภัยเป็นผู้ลี้ภัยกลุ่มย่อยที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ ระบบผู้ลี้ภัยจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อประเทศเปิดพรมแดนให้ผู้คนหนีจากความความขัดแย้ง โดยเฉพาะประเทศพื้นบ้านใกล้กับต้นกำเนิดของความขัดแย้ง ระบบผู้ลี้ภัยนี้ได้ช่วยเหลือผู้คนมากมายแต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่ ในหลายกรณีการหนีไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยกระทำได้ยากยิ่ง
ณ วันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2005 ประเทศต้นกำเนิดของผู้ลี้ภัยที่สำคํญได้แก่ อัฟกานิสถาน อิรัก เซียร์ราลีโอน พม่า โซมาเลีย เซาท์ซูดาน และปาเลสไตน์ ประเทศที่มีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศมากที่สุดคือเซาท์ซูดานโดยมีจำนวนกว่า 5 ล้านคน ใน ค.ศ. 2006 อาเซอร์ไบจานมีผู้ลี้ภัยและผู้พลัดถิ่นภายในประเทศถึง 800,000 คน ถือเป็นอัตราส่วนต่อประชากรที่มากที่สุด
วันผู้ลี้ภัยโลกตรงกับวันที่ 20 มิถุนายน เกิดจากสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติใน ค.ศ. 2000 เดิมทีนั้นวันที่ 20 มิถุนายนเป็นวันผู้ลี้ภัยแอฟริกันซึ่งฉลองกันในหลายประเทศในทวีปแอฟริกา
ค่ายผู้ลี้ภัยเป็นสถานที่ที่สร้างโดยรัฐบาลหรือเอ็นจีโอ (เช่น คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ) เพื่อรับผู้ลี้ภัย ผู้คนสามารถเข้ามาพักอาศัยในค่าย รับอาหารและความช่วยเหลือทางการแพทย์ จนกว่าจะปลอดภัยที่จะกลับบ้านได้หรือจนกว่าจะมีผู้มารับตัวไป ในหลายกรณีแม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปีก็ยังไม่ปลอดภัยที่จะกลับบ้านจนทำให้ต้องไปตั้งถิ่นฐานใหม่ใน "ประเทศที่สาม" ห่างไกลจากชายแดนที่ข้ามมา อย่างไรก็ดีโดยส่วนใหญ่ผุ้ลี้ภัยมักไม่ได้รับโอกาสในการตั้งถิ่นฐานใหม่และมีความเสี่ยงต่อโรคภัยและความรุนแรง มีประมาณการณ์ว่าทั่วโลกมีค่ายผู้ลี้ภัยอยู่ราว 700 แห่ง
การตั้งรกรากใหม่เป็นการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยที่ไม่อาจกลับบ้านได้ให้ไปสู่ประเทศที่สาม ในอดีต UNHCR ให้ความเห็นว่าการตั้งรกรากใหม่เป็นทางเลือกที่แย่ที่สุดในบรรดาทางออกที่พอเป็นไปได้ของปัญหาผู้ลี้ภัย อย่างในก็ดีในเดือนเมษายน ค.ศ. 2000 ได้มีการเปลี่ยนท่าทีดังกล่าวและเห็นว่าในหลายกรณี การตั้งรกรากใหม่เป็นทางเลือกเดียวที่เป็นไปได้
การตั้งรกรากใหม่เป็นกระบวนการอันยากยิ่งเพราะผู้ลี้ภัยจะต้องประสบกับปัญหาหลายประการทั้งทางวัตถุและจิตใจ โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ลี้ภัยมาจากประเทศด้อยพัฒนา การตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศพัฒนาแล้วจะต้องปรับตัวและพบกับความแตกต่างและความเปลี่ยนแปลงหลายประการและอาจพบกับปัญหาการเลือกปฏิบัติ ทำให้กระบวนการตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นไปอย่างเชื่องช้า
อย่างไรก็ตาม UNHCR ก็เล็งเห็นถึงประโยชน์แห่งการตั้งถิ่นฐานใหม่ ถึงกับกล่าวว่า “ทั้งการตั้งถิ่นฐานใหม่ของผู้ลี้ภัยและการอพยพย้ายถิ่นต่างได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยสำคัญในความสำเร็จทางเศรษฐกิจของหลายประเทศอุตสาหกรรม” UNHCR เห็นว่าการตั้งถิ่นฐานใหม่ทำหน้าที่สามประการ คือ
ถึงกระนั้น มีเพียง 1% ของผู้ลี้ภัยกว่า 10.5 ล้านคนที่ UNHCR ดูแลถูกส่งไปตั้งรกรากใหม่ ใน ค.ศ. 2010 มีผู้ลี้ภัยราว 108,000 คนถูกพิจารณาเพื่อการตั้งถิ่นฐานใหม่โดยมีประเทศต้นกำเนิดคือ อิรัก พม่า และ ภูฏาน
ใน ค.ศ. 2008 UNHCR ส่งเรื่องการตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ประเทศที่สามพิจารณาถึง 121,000 คน เป็นจำนวนมากที่สุดในรอบ 15 ปี ในขณะที่ปีก่อนหน้ามีผู้ลี้ภัยส่งไปพิจารณาเพียง 98,999 คน โดย 33,512 คน มากจากอิรัก 30,388 คนมาจากพม่าและ 23,516 คนจากภูฏาน
สำหรับจำนวนของการออกเดินทางจริง ใน ค.ศ. 2008 มีผู้ลี้ภัย 65,548 คนได้รับการตั้งถิ่นฐานใหม่ใน 26 ประเทศ เพิ่มจาก 49,868 คนในปีก่อนหน้า โดยยอดของการออกเดินทางมากทีสุดได้แก่ ไทย (16,807 คน) เนปาล (8,165 คน) ซีเรีย (7,153 คน) จอร์แดน (6,704 คน) และ มาเลเซีย (5,865 คน) ประเทศเหล่านี้หมายถึงประเทศที่ผุ้ลี้ภัยเดินทางออกไปสุ่ประเทศที่สาม มิใช่ประเทศต้นกำเนิด
สำหรับขนาดของการรับผู้ลี้ภัยในประเทศที่สามแตกต่างกันไปดังแสดงในตาราง ระหว่าง ค.ศ. 1981 เมื่อญี่ปุ่นให้สัตยาบันใน U.N. Convention Relating to the Status of Refugees ถึง ค.ศ. 2002 ญี่ปุ่นรับรองบุคคลเพียง 305 คนเป็นผู้ลี้ภัย และใน ค.ศ. 2006 ญี่ปุ่นรับผู้ลี้ภัย 26 คนให้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศ
นับแต่ การรุกรานอัฟกานิสถานของสหภาพโซเวียตใน พ.ศ. 2522 จนกระทั่งสงครามอัฟกานิสถาน พ.ศ. 2544 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันประมาณ 6 ล้านคนที่เข้าไปสู่ปากีสถานและอิหร่าน ทำให้อัฟกานิสถานเป็นประเทศต้นกำเนิดของผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุด ต้นปี พ.ศ. 2545 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันมากกว่า 5 ล้านคนถูกส่งกลับถิ่นเดิมโดย UNHCR ทั้งจากอิหร่านและปากีสถาน ประมาณ 3.5 ล้านคนมาจากปากีสถาน ในขณะที่ 1.5 ล้านคนมาจากอิหร่าน ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 รัฐบาลอิหร่านได้ผลักดันผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ไม่ลงทะเบียนออกนอกประเทศอย่างจริงจัง โดยใน พ.ศ. 2551 มีผู้ถูกผลักดันกลับไป 362,000 คน
ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ลงทะเบียนราว 1.7 ล้านคนยังคงอยู่ในอัฟกานิสถาน ซึ่งรวมทั้งผู้ที่เกิดในอัฟกานิสถานในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาซึ่งยังถูกนับเป็นประชากรของอัฟกานิสถาน พวกเขายังได้รับอนุญาตให้ทำงานและเรียนหนังสือได้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. 2555 มีผู้ลี้ภัยชาวอัฟกันที่ลงทะเบียน 935,600 คนในอิหร่านรวมทั้งผู้ที่เกิดในอิหร่านด้วย
มีชาวมุสลิมโรฮีนจาอยู่ในบังกลาเทศมากกว่า 250,000 คน ซึ่งมาจากภาคตะวันตกของพม่า ในช่วง พ.ศ. 2534 - 2535 บางส่วนอยู่มานานเกือบยี่สิบปี บังกลาเทศแบ่งชาวโรฮีนจาเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการและกลุ่มที่อยู่อย่างไม่เป็นทางการทั่วบังกลาเทศ มีชาวโรฮีนจา 30,000 คนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยที่นายาประและกุตุปาลงในบังกลาเทศ ซึ่งภายในค่ายมีบริการพื้นฐานที่ภายนอกไม่มี เมื่อไม่มีความเปลี่ยนแปลงในพม่า ทำให้บังกลาเทศมีแนวโน้มต้องดูแลชาวโรฮีนจาในระยะยาว และต้องการความช่วยเหลือจากนานาชาติในการดูแลคนเหล่านี้
การกวาดล้างชนกลุ่มน้อยมุสลิมในรัฐยะไข่อย่างโหดร้ายโดยกองทัพพม่าเมื่อ พ.ศ. 2534 - 2535 ทำให้ประชาชนจำนวนมากต้องอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในบังกลาเทศ และบางส่วนถูกผลักดันให้กลับสู่พม่า แต่ก็มีการปฏิเสธสัญชาติของชาวโรฮีนจาที่กลับสู่พม่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2539 ทำให้บางส่วนต้องกลับสู่บังกลาเทศอีก ในรัฐยะไข่ มีการนำชาวพม่าที่นับถิอพุทธศาสนาเข้ามาตั้งถิ่นฐาน มัสยิดถูกปิด ตั้งแต่ พ.ศ. 2549
นอกจากนั้นยังมีชาวโรฮีนจาในปากีสถานเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ไปโดยเดินทางผ่านบังกลาเทศและอินเดียและเข้าไปตั้งหลักแหล่งในการาจี
หลังจากการรวมเวียดนามโดยเวียดนามเหนือยึดครองเวียดนามใต้สำเร็จ รวมทั้งการที่ฝ่ายซ้ายในลาวและกัมพูชายึดอำนาจสำเร็จ ใน พ.ศ. 2518 มีประชาชนราว 3 ล้านคนได้ลี้ภัยออกมา การอพยพโดยทางเรือหรือมนุษย์เรือกลายเป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนระดับนานาชาติ UNHCR ได้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศเพื่อนบ้าน และใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจาก 80 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ. 2518 เป็น 500 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ. 2523 การทำงานในอินโดจีนนี้ทำให้ UNHCR ได้รับรางวัลโนเบลใน พ.ศ. 2524
ผลจากการปราบปรามชนกลุ่มน้อยชาวกะเหรี่ยง กะเรนนีและอื่นๆในพม่า ทำให้มีผู้ลี้ภัยที่เป็นชนกลุ่มน้อยในพม่าตามแนวชายแดนไทยประมาณ 100,000 คน
หลังจากที่จีนยึดครองทิเบตเมื่อ พ.ศ. 2502 มีชาวทิเบตมากกว่า 150,000 คนที่อพยพมาอยู่อินเดีย ส่วนใหญ่อยู่ที่ ธรรมศาลา และ ไมซอร์และเนปาล ซึ่งรวมประชาชนที่ออกจากเทือกเขาหิมาลัยจากทิเบต ในอินเดีย ชาวทิเบตที่อยู่ในอินเดียได้รับการรับรองจากรัฐบาลอินเดีย โดยระบุสัญชาติเป็นชาวทิเบต ชาวทิเบตจะได้หนังสือเดินทางที่ออกโดยรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น
ใน พ.ศ. 2534 - 2535 ภูฏานได้ขับชนกลุ่มน้อยชาวเนปาลที่เรียกลตชัมปาประมาณ 100,000 คน จากทางภาคใต้ของประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยของ UNHCR ในภาคตะวันออกของเนปาล] บางส่วนอยู่ในอินเดีย ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2551 บางส่วนไปอยู่ในประเทศที่สาม เช่น สหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ เดนมาร์ก แคนาดา นอร์เวย์ และออสเตรเลีย ในปัจจุบัน สหรัฐได้ยอมให้ผู้ลี้ภัยมากกว่า 60,000 คนเข้าไปตั้งถิ่นฐาน
ในขณะเดียวกันมีชาวเนปาลประมาณ 200,000 คน ที่อพยพระหว่าง การสู้รบของพรรคคอมมิวนิสต์ และ สงครามการเมืองเนปาลที่สิ้นสุดใน พ.ศ. 2539
มีชาวปากีสถานมากกว่า 3 ล้านคนที่อพยพระหว่าง สงครามในปากีสถานเหนือ-ตะวันตก (พ.ศ. 2547–ปัจจุบัน) ระหว่างรัฐบาลปากีสถานและฏอลีบัน
มีชาวกัษมีระประมาณ 300,000 คนถูกบังคับให้อพยพออกจากรัฐชัมมูและกัษมีระ ทำให้ต้องเป็นผู้อพยพในประเทศของตนเอง บางส่วนเป็นผู้อพยพในรัฐใกล้เคียง เช่น เดลฮี หรือประเทศใกล้เคียง จำนวนผู้อพยพใกล้เคียง 500,000คน
สงครามกลางเมืองในประเทศศรีลังกา จาก พ.ศ. 2526 - 2552 ทำให้มีผู้อพยพจำนวนมาก ชาวศรีลังกาอพยพไปประเทศเพื่อนบ้านคืออินเดีย และประเทศตะวันตกได้แก่ แคนาดา ฝรั่งเศส เดนมาร์ก สหราชอาณาจักรและ เยอรมันมีผู้อพยพบางส่วนไปยังมาเลเซีย ไทย และอินโดนีเซีย ก่อนจะอพยพต่อไปยังออสเตรเลียหรือแคนาดา