ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน (เกาหลี: ??? ?? , ฮันจา:??? ??, Hangangui Gijeok; อังกฤษ: Miracle on the Han River) เป็นการอ้างถึงการเจิญเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่มีปัจจัยจากการส่งออก ซึ่งประกอบด้วยการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยี การตื่นตัวทางด้านการศึกษา คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมือง การขยายตัวของตึกระฟ้า ความทันสมัย ความประสบความสำเร็จในการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 และเจ้าภาพร่วมฟุตบอลโลก 2002 การกลายเป็นประชาธิปไตยและโลกาภิวัตน์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงประเทศเกาหลีใต้จากเถ้าถ่านในช่วงสงครามเกาหลีจนกลายร่ำรวยและประเทศพัฒนาแล้วในปัจจุบัน ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจระดับล้านล้านดอลลาร์สหรัฐและมีบรรษัทข้ามชาติ ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง ซัมซุง แอลจี และกลุ่มบริษัทฮุนได
นอกจากนี้ คำว่า "ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮัน" ยังหมายถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโซล ซึ่งเป็นสถานที่ที่แม่น้ำฮันไหลผ่าน และยังหมายถึงช่วงระยะเวลาระหว่าง พ.ศ. 2496 ถึง 2539 ส่วนคำว่าปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำฮันมีที่มาจากคำว่า "ปาฏิหาริย์แห่งแม่น้ำไรน์" ซึ่งเป็นเหตุการณ์การเกิดใหม่ทางเศรษฐกิจของประเทศเยอรมนีตะวันตกหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเป็นผลบางส่วนมาจากแผนมาร์แชลล์ ศัพท์คำว่า "ปาฏิหาริย์" (miracle) ใช้อธิบายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหลังสงครามของประเทศเกาหลีใต้ จนกลายมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับที่ 13 ของโลก และเป็นต้นแบบในการพัฒนาประเทศของประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ ถ้าพิจารณาจากเหตุการณ์ในขนะนั้นจะเห็นว่าการพัฒนาประเทศเกาหลีใต้นั้นไม่อาจเป็นไปได้ เช่น โครงสร้างพื้นฐานของโซลถูกทำลายไปในสงครามเกาหลี และชาวเกาหลีใต้หลายล้านคนอยู่ในสภาพยากจนและมีคนว่างงานอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งดิ้นรนเพื่อหาความต้องการพื้นฐานให้ได้ เมื่อนายพลพัก จองฮี ยึดอำนาจในปี พ.ศ. 2504 คนเกาหลีใต้มีอัตรารายได้เฉลี่ยตัวหัวในอัตราต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ณ จุดนี้ ประเทศเกาหลีใต้ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสหรัฐอเมริกา เพื่อแลกกับความช่วยเหลือของเกาหลีใต้ในสงครามเวียดนาม โครงการพัฒนาชุมชนใหม่ของประธานาธิบดีพัก จองฮี มุ่งพัฒนาชนบทของประเทศเกาหลีใต้ ความเข้มแข็งของรัฐบาลของประธานาธิบดีพักและความมีประสิทธิภาพของการใช้แรงงานราคาถูกซึ่งทำให้จุดประกายเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ ในระยะเวลาไม่ถึงสี่ทศวรรษ ในประเทศที่ไร้ซึ่งความหวังเปลี่ยนผ่านไปสู่ประเทศเศรษฐกิจชั้นนำของโลก เป็นศูนย์กลางทางด้านธุรกิจและการค้าของเอเชีย เป็นประเทศเศรษฐกิจที่สำคัญของโลกทั้งเป็นศูนย์กลางทางด้านเศรษฐกิจและมีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีขั้นสูง สิ่งนี้สามารถพิจารณาชาวเกาหลีนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความภูมิใจของชาติและความมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างได้ นอกจากนี้โครงการพัฒนาชุมชนใหม่ของรัฐบาลเกาหลีใต้ยังส่งผลให้เกิดความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ในด้านอื่น ๆ อีก โดยกำหนดขั้นตอนไว้เป็นแผนพัฒนาเรียกว่า แผนพัฒนาห้าปี และมีมาแล้วมากกว่าห้าฉบับ โดยร่างขึ้นมาเพื่อให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้มีชีวิตชีวาและก่อให้เกิดการพัฒนาทางอุตสาหกรรมอย่างสูงสุด และมีความเติบโตมากขึ้นในตลาดเกาหลีใต้
เศรษฐกิจของเกาหลีใต้หลังสงครามเกาหลีทรุดโทรมอย่างรุนแรง รายได้ประชาชาติต่ำลงเรื่อยๆ รัฐบาลมีฐานะทางการเงินย่ำแย่การลงทุนมีน้อย แม้จะได้รับการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาอย่างมากมายรวมทั้งความช่วยเหลือจากสัมพันธมิตรอื่นๆด้วย แต่สภาพเศรษฐกิจโดยรวมไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้แม้ว่ารัฐบาลจะมีการใช้จ่ายอย่างมหาศาลเพื่อบูรณะประเทศแล้วก็ตาม
กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเกาหลีในช่วงนี้ส่วนใหญ่ถูกผูกขาดจากนายทุนเพียงไม่กี่รายโดยมีอิทธิพลของนักการเมืองและราชการหนุนหลัง กิจการผูกขาดส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งมีผลทำให้คนส่วนใหญ่ยากจนโดยที่คนชั้นผู้นำไม่ได้เอาใจใส่ดูแลประชาชนเท่าที่ควร
เมื่อพัก จองฮีเถลิงอำนาจในปี ค.ศ. 1962 เกาหลีใต้จึงก้าวสู่การพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ในสมัยของเขามีการวางแผนสำหรับอนาคตและหาทางเลือกที่ก่อประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ รัฐบาลกำหนดนโยบายต่างๆ ออกมาเพื่อเร่งการพัฒนาประเทศเรียกว่าแผนพัฒนาห้าปี และด้วยนโยบายที่เน้นความสำคัญทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากและความพยายามขจัดปัญหาความยากจน รัฐบาลเกาหลีใต้ภายใต้การนำของพัก จองฮีใช้กลยุทธ์ที่สำคัญคือการมองออกไปข้างนอกหรือการมีสัมพันธ์กับตลาดโลก (Outward-Looking Strategy) แทนกลยุทธ์เน้นตนเองหรือมองแต่ตลาดภายใน (Inward-Looking Strategy)
กลยุทธ์มองไปข้างนอก (Outward-Looking Strategy) คือการมีความสัมพันธ์กับตลาดโลกในด้านการค้า มีการผลิดเพื่อขายในตลาดโลกแทนการผลิตเพื่ออุปโภคบริโภคในประเทศ และที่สำคัญคือเป็นการทำอุตสหกรรมที่ส่งเสริมการใช้แรงงาน (labour-intensive) ในขณะเดียวกันรัฐบาลลดกฎเกณฑ์และความเข้มงวดในการนำเข้าลดน้อยลง
โดยที่รัฐบาลภายใต้การนำพัก จองฮี ใช้นโยบายเน้นอุตสหกรรมการส่งออกแทนนโยบายอุตสหกรรมผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และไม่เน้นการพัฒนาเกษตรกรรมเป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ก็มีเหตุผลว่าพื้นที่ประเทศเกาหลีมีขนาดไม่ใหญ่มากเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรและมีพื้นที่ทำการเกษตรเพียงร้อยละ 20 ของประเทศเท่านั้น อีกประการหนึ่งคือการได้รับเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศลดลง ทำให้เกาหลีใต้จำเป็นต้องเน้นอุตสหกรรมส่งออกเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศ รัฐบาลเกาหลีในยุคนี้ได้ตระหนังถึงข้อจำกัดของประเทศโดยมีการวางแผนในระยะยาวให้กับประเทศ และมีการส่งคนเกาหลีไปดูงานและศึกษาความเป็นไปได้ยังประเทศอุตหกรรมในยุโรป นอกจากนี้ตัวอย่างจากประเทศญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจก็รับการศึกษาอย่างละเอียดจากนักวิชาการเกาหลีด้วยเพื่อได้กำหนดแผนนโยบายการพัฒนาประเทศได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ในปี ค.ศ.1962 เป็นปีที่เกาหลีใต้เริ่มใช้แผนพัฒนาห้าปีฉบับแรก ซื่งเน้นการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ (Infra-structure) และทุนสังคมอื่นๆ (Social-Capital Formation) และมีการส่งเสริมอุตสหกรรมโดยรัฐบาลเขาแทรกแซงโดยตรงในอุตสหกรรมหลักและกิจกรรมที่เกี่ยวกับอุตสหกรรมสำคัญๆ แต่ยังยึดนโยบายเศรษฐกิจเสรีหรือให้กลไกตลาดมีบทบาทในเศรษฐกิจได้พอสมควร
แผนนี้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นโดยมีทั้งแผนเศรษฐกิจมหภาคและแผนสาขาย่อย พยายามสร้างเป้าหมายที่มีความเป็นไปได้มากขึ้น และในการสร้างแผนได้มีการเอาหลักการวิเคราะห์ผลตอบแทน (Cost-Benefit Analysis) มาใช้ด้วย
การพัฒนาชนบทของเกาหลีใต้ (Saemaul Undong) แซมาอึล อุนดง เกาหลีใต้ได้สร้างขบวนการพัฒนาชุมชนในช่วงปีค.ศ. 1971 ซื่งเป็นปีสุดท้ายของแผนพัฒนาห้าปีฉบับที่ 2 จุดกำเนิดของ“แซมาอึล อุนดง”อันเนื่องมาจากภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมในปีค.ศ. 1969 ซึ่งประชาชนต่างพากันซ่อมแซมหลังคาบ้านเรือนและถนนหนทางด้วยตนเอง โดยปราศจากการช่วยเหลือจากภาครัฐ ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญของประธานาธิบดี พัก จุงฮี ที่จะให้การช่วยเหลือชุมชนในชนบท พัก จุงฮี ตระหนักดีว่า ความช่วยเหลือของรัฐบาลย่อมจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิงเว้นแต่ว่าประชาชนจะลงมือกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยจิตวิญญาณของการพึ่งพาตนเอง การโน้มน้าวชุมชนในชนบทให้รู้จักการพึ่งพาตนเองและร่วมมือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาชนบท และแนวคิดเหล่านี้ก็คือหลักการพื้นฐานของแซมาอึล อุนดง หรือขบวนการสร้างหมู่บ้านใหม่
การดำเนินงานของ แซมาอึล อุนดง ในช่วงปีค.ศ. 1970 ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะไม่มีเงินทุนมากพอที่จะสนับสนุนการจัดทำโครงการต่างๆ แต่ก็ใช่ว่าจะทำอะไรไม่ได้เลย เพราะการปรับปรุงสิ่งจำเป็นพื้นฐานหลายๆ ประการ ก็อาจกระทำได้โดยอาศัยความช่วยเหลือจากรัฐบาลที่มีเพียงเล็กน้อยได้ โดยรัฐบาลได้ทดลองจัดทำโครงการสำคัญ 10 โครงการ เพื่อพัฒนาพื้นที่ชนบทได้แก่ การขยายถนนในท้องถิ่น การปรับปรุงหลังคาบ้านเรือน ห้องครัว และรั้วบ้าน การจัดให้มีแหล่งบริการซักรีด การสร้างบ่อน้ำชุมชน การก่อสร้างสะพาน รวมถึงการปรับปรุงระบบชลประทาน
ในแผนนี้เน้นการพัฒนาให้มีเสถียรภาพ ประสิทธิภาพและความเสมอภาค รวมทั้งการแข่งขันอย่างเสรีในตลาดโลก