ค้นหา
  
Search Engine Optimization Services (SEO)

ประเทศสหรัฐอเมริกา

2 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาซึ่งใช้ในรัฐบาลอเมริกันโดยพฤตินัย และเป็นภาษาซึ่งใช้สื่อสารในเคหะสถานเพียงภาษาเดียวกว่า 80% ของจำนวนประชากรอเมริกันอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป ภาษาที่พูดเป็นจำนวนมากรองลงมา คือ ภาษาสเปน3 พื้นที่โดยอันดับแล้วมีขัดแย้งกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ตัวเลขดังกล่าวนำมาจากหนังสือ The World Factbook โดยสำนักข่าวกรองกลาง - ในแหล่งข้อมูลบางแหล่งระบุพื้นที่ของสหรัฐอเมริกาไว้น้อยกว่าจำนวนนี้ ซึ่งนับรวมเพียงแต่พื้นที่ของรัฐ 50 รัฐ และเขตโคลอมเบียเท่านั้น จึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 4

สหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: United States of America) หรือมักย่อว่า สหรัฐฯ หรือ อเมริกา เป็นสหพันธรัฐประชาธิปไตย ปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยรัฐ 50 รัฐ และหนึ่งเขตปกครองกลาง มี 48 รัฐและกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. อยู่ ณ ทวีปอเมริกาเหนือตอนกลางระหว่างประเทศแคนาดาและเม็กซิโก รัฐอแลสกาอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาเหนือและรัฐฮาวายเป็นกลุ่มเกาะในกลางมหาสมุทรแปซิฟิก สหรัฐมีพรมแดนติดต่อกับแคนาดาทางทิศเหนือ และเม็กซิโกทางทิศใต้ ส่วนพรมแดนทางทะเลนั้นติดต่อกับแคนาดา รัสเซียและบาฮามาส โดยมีมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลแบริง มหาสมุทรอาร์กติก มหาสมุทรแอตแลนติก อ่าวเม็กซิโก และทะเลแคริบเบียนเป็นผืนน้ำล้อมรอบ นอกจากนี้ยังมีดินแดน 5 แห่งที่มีประชากรอยู่มาก และ 9 แห่งที่มีประชากรอยู่น้อยในแคริบเบียน และในมหาสมุทรแปซิฟิกอีกด้วย

สหรัฐอเมริกามีพื้นที่ขนาด 9.63 ล้านตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 313 ล้านคน ทำให้มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 หรือ 4 ของโลก และมีประชากรมากเป็นอันดับที่ 3 ของโลก เป็นประเทศซึ่งมีความแตกต่างหลากหลายในเชื้อชาติและวัฒนธรรม อันเป็นผลมาจากการอพยพจากหลายประเทศ ภูมิศาสตร์และภูมิอากาศของสหรัฐยังมีความหลากหลายสุดขั้ว เป็นถิ่นของสัตว์ป่านานาชนิด เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเป็นเศรษฐกิจระดับชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เมื่อปี 2551 กว่า 14.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (อัตราผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศคิดเป็นร้อยละ 15 ของโลก และอยู่ในอันดับที่ 5 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในความเท่าเทียมกันของอำนาจซื้อ)

อินเดียนดึกดำบรรพ์จากยูเรเชียย้ายถิ่นมาสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ปัจจุบันเมื่อ 15,000 ปีก่อน โดยทำให้เป็นอาณานิคมของยุโรปเริ่มในคริสต์ศตวรรษที่ 16 สหรัฐกำเนิดจาก13 อาณานิคมของบริติชตามชายฝั่งตะวันออก ข้อพิพาทระหว่างบริเตนใหญ่และอาณานิคมนำสู่การปฏิวัติอเมริกา เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ผู้แทนจาก 13 อาณาเขตลงมติรับประกาศอิสรภาพอย่างเป็นเอกฉันท์ ขณะที่อาณานิคมกำลังต่อสู้กับบริเตนใหญ่ในสงครามปฏิวัติอเมริกา สงครามยุติในปี 1783 โดยราชอาณาจักรบริเตนใหญ่รับรองเอกราชของสหรัฐ และเป็นสงครามประกาศอิสรภาพต่อจักรวรรดิอาณานิคมยุโรปที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกด้วย มีการลงมติรับรัฐธรรมนูญของประเทศเมื่อวันที่ 17 กันยายน 1787 และรัฐต่าง ๆ ให้สัตยาบันในปี 1788 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญสิบครั้งแรก ซึ่งเรียกรวมว่า รัฐบัญญัติสิทธิ ได้รับสัตยาบันในปี 1791 และได้รับการออกแบบมาเพื่อประกันเสรีภาพพลเมืองพื้นฐานหลายข้อ

ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาได้ดินแดนเพิ่มเติมจากฝรั่งเศส สเปน สหราชอาณาจักร เม็กซิโก และรัสเซีย และผนวกดินแดนรวมกับสาธารณรัฐเท็กซัสและสาธารณรัฐฮาวาย ความขัดแย้งระหว่างรัฐกสิกรรมทางตอนใต้และรัฐอุตสาหกรรมทางตอนเหนือ เหนือสิทธิของรัฐ และการขยายจำนวนของทาสได้นำไปสู่สงครามกลางเมืองอเมริกา เมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1860 ชัยชนะของฝ่ายเหนือได้ป้องกันการแบ่งแยกประเทศอย่างถาวร และยุติการค้าทาสตามกฎหมายในสหรัฐอเมริกา ในราวคริสต์ทศวรรษ 1870 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกานับว่าใหญ่ที่สุดในโลก และสงครามสเปน-อเมริกันและสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้เน้นย้ำถึงสถานภาพทางทหารของสหรัฐอเมริกา สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาจากสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นประเทศแรกซึ่งมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในครอบครอง และเป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หลังจากการสิ้นสุดของสงครามเย็นและการยุบสหภาพโซเวียต ส่งผลให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐอภิมหาอำนาจเดี่ยวของโลก สหรัฐอเมริกามีรายจ่ายทางทหารคิดเป็นกว่าร้อยละ 40 ของรายจ่ายทางทหารทั่วโลก และเป็นผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลก

ในปี พ.ศ. 2050 นักเขียนแผนที่ชาวเยอรมัน มาร์ติน วัลด์เซมึลเลอร์ ได้ผลิตแผนที่โลกซึ่งเขาได้ตั้งชื่อดินแดนทางซีกโลกตะวันตกในแผนที่ดังกล่าวว่า "อเมริกา" ตามชื่อของนักสำรวจและนักเขียนแผนที่ชาวอิตาเลียน อเมริโก เวสปุชชี แต่เดิม อดีตอาณานิคมอังกฤษได้ใช้ชื่อเรียกสมัยใหม่ของประเทศในคำประกาศอิสรภาพ ("การประกาศอิสรภาพของสิบสามสหรัฐอเมริกาด้วยน้ำหนึ่งใจเดียวกัน") ประกาศใช้โดย "คณะผู้แทนสหรัฐอเมริกา" เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2319 ส่วนชื่อในปัจจุบันได้รับการสรุปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2320 เมื่อสภานิติบัญญัติภาคพื้นทวีปที่สองได้ประกาศใช้ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐ ความว่า "สมาพันธรัฐซึ่งถูกตั้งขึ้นนี้ จะถูกเรียกว่า "สหรัฐอเมริกา" ถ้อยคำมาตรฐานสั้น ๆ ซึ่งใช้เรียกสหรัฐอเมริกา คือ สหรัฐ (United States) และชื่อเรียกอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ the U.S., the USA และ America คำว่า Columbia ก็เคยเป็นชื่อที่ได้รับความนิยมในการเรียกสหรัฐอเมริกา ซึ่งมาจากชื่อของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส และยังปรากฏในชื่อ "District of Columbia" อีกด้วย

สำหรับการเรียกสหรัฐอเมริกาของคนไทย ในอดีต เคยเรียกชื่อสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการว่า "สหปาลีรัฐอเมริกา" ส่วนชื่ออื่นที่ใช้เรียกสหรัฐอเมริกา เช่น มะกัน ลุงแซม อินทรี พญาอินทรี เจ้าโลก หรือ ตำรวจโลก

ในภาษาอังกฤษ คำมาตรฐานซึ่งหมายถึงพลเมืองของสหรัฐอเมริกา คือ อเมริกัน (American) ถึงแม้ว่า United States จะเป็นคำคุณศัพท์อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งคำว่า American และ U.S. เป็นคำคุณศัพท์อันเป็นที่นิยมมากกว่า ในการระบุถึงสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ อเมริกัน ยังอาจหมายถึง ทวีปอเมริกา อีกด้วย แต่มักจะถูกใช้น้อยมากในภาษาอังกฤษ เพื่อหมายความถึงประชากรซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับสหรัฐอเมริกา

เดิม วลี "สหรัฐอเมริกา" ถือว่าเป็นคำพหูพจน์ (ใช้กับคำกริยา are, were, ...) — รวมทั้งในรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 13 ซึ่งมีผลใช้บังคับในปี พ.ศ. 2408 อีกด้วย แต่คำดังกล่าวได้กลายมาเป็นคำเอกพจน์ (ใช้กับคำกริยา is, was, ...) — หลังจากยุคสงครามกลางเมือง และได้กลายมาเป็นรูปแบบมาตรฐานในปัจจุบัน แต่รูปแบบพหูพจน์ก็ยังคงปรากฏในสำนวน "these United States"

เป็นที่เชื่อกันมากว่าชนพื้นเมืองในทวีปอเมริกาในสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งชนพื้นเมืองอะแลสกา เป็นผู้อพยพมาจากทวีปเอเชียเมื่อ 40,000-12,000 ปีที่แล้ว ชนพื้นเมืองบางกลุ่ม เช่น วัฒนธรรมมิสซิสซิปปีในสมัยก่อนโคลัมบัส ได้มีการพัฒนาเกษตรกรรมและสังคมในระดับรัฐ หลังจากที่ชาวยุโรปเริ่มการตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกา ชนพื้นเมืองเองหลายล้านคนเสียชีวิตจากโรคระบาดซึ่งติดจากชาวยุโรป เช่น ฝีดาษ

ในปี ค.ศ. 1492 นักสำรวจชาวเจนัว คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ภายใต้สัญญากับกษัตริย์สเปน ได้เดินทางถึงหมู่เกาะแคริบเบียน และได้ติดต่อกับชนพื้นเมืองเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1513 กองกีสตาดอร์ชาวสเปน ควน ปอนเซ เด เลออง ได้ขึ้นฝั่งในบริเวณซึ่งเขาเรียกว่า "ลา ฟลอริดา" – นับเป็นการขึ้นฝั่งบริเวณที่เป็นสหรัฐอเมริกาแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันของชาวยุโรปเป็นครั้งแรกซึ่งได้รับการบันทึกไว้ ก่อนจะมีการตั้งถิ่นฐานสเปนในพื้นที่ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกาไปจนถึงเม็กซิโก พ่อค้าขนสัตว์ชาวฝรั่งเศสได้ก่อตั้งด่านหน้าของนิวฟรานซ์ขึ้นรอบเกรตเลกส์ ก่อนที่ฝรั่งเศสจะอ้างสิทธิ์เหนือพื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอเมริกาเหนือไปจนถึงอ่าวเม็กซิโกในที่สุด การตั้งถิ่นฐานของชาวอังกฤษแห่งแรก คือ อาณานิคมเวอร์จิเนีย ในเจมส์ทาวน์ ในปี ค.ศ. 1607 และอาณานิคมพลิมัธของพวกพิลกริม ในปี ค.ศ. 1620 และในปี ค.ศ. 1628 สัญญาเช่าอาณานิคมอ่าวแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก; ในปี ค.ศ. 1634 นิวอิงแลนด์มีกลุ่มเพียวริตันอาศัยอยู่ 10,000 คน ระหว่างปลายคริสต์ทศวรรษ 1610 จนถึงการปฏิวัติอเมริกา มีนักโทษราว 50,000 คนถูกส่งตัวมายังอาณานิคมอังกฤษในทวีปอเมริกา นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1614 ชาวดัตช์ได้ตั้งถิ่นฐานตามแนวแม่น้ำฮัดสัน รวมทั้งนิวอัมสเตอร์ดัมบนเกาะแมนฮัตตัน

ในปี ค.ศ. 1674 อาณานิคมชาวดัตช์ได้ถูกผนวกรวมกับอังกฤษ จังหวัดนิวเนเธอร์แลนด์ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นนิวยอร์ก ผู้อพยพใหม่อีกจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางตอนใต้ เป็นคนรับใช้ซึ่งถูกผูกมัดด้วยสัญญา – คิดเป็นผู้อพยพสู่เวอร์จิเนียจำนวนกว่าสองในสามระหว่างปี ค.ศ. 1630-1680 และปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ทาสชาวแอฟริกันได้กลายมาเป็นแหล่งหลักสำหรับแรงงานที่ถูกผูกมัด และในปี ค.ศ. 1729 หลังจากการแบ่งแคลิฟอร์เนียและการตั้งอาณานิคมในจอร์เจีย ในปี ค.ศ. 1732 อาณานิคมอังกฤษสิบสามแห่ง ซึ่งจะกลายมาเป็นสหรัฐอเมริกาในภายหลัง ได้ถูกจัดตั้งขึ้น แต่ละรัฐมีรัฐบาลท้องถื่นซึ่งเปิดให้มีการเลือกตั้งแก่ชายผู้เป็นเสรีชนส่วนใหญ่ ด้วยการเพิ่มขึ้นของสิทธิโบราณของชาวอังกฤษและความสำนึกในการปกครองตนเองกระตุ้นการสนับสนุนสำหรับกลุ่มสาธารณรัฐนิยม ซึ่งทั้งหมดได้ทำให้การค้าทาสแอฟริกันถูกต้องตามกฎหมาย และด้วยอัตราการเกิดสูง อัตราการตายต่ำ และอัตราการอพยพคงที่ ทำให้ประชากรในอาณานิคมเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ขบวนการฟื้นฟูคริสเตียนในราวคริสต์ทศวรรษ 1730 และ 1740 เป็นที่รู้จักกันว่า การตื่นตัวครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้เกิดความสนใจในเสรีภาพทางศาสนาและลัทธิ ในสงครามฝรั่งเศสและอินเดียน กองทัพอังกฤษยึดแคนาดามาจากฝรั่งเศส แต่ประชากรผู้พูดภาษาฝรั่งเศสยังคงถูกโดดเดี่ยวทางการเมืองจากอาณานิคมทางใต้ หากไม่นับกลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันผลัดถิ่น ในอาณานิคมทั้งสิบสามของอังกฤษมีจำนวนประชากรถึง 2.6 ล้านคนในปี ค.ศ. 1770 เป็นชาวอังกฤษจำนวนหนึ่งในสาม และหนึ่งในห้าเป็นทาสผิวดำ แต่ถึงแม้ว่าจะถูกบังคับให้จ่ายภาษีแก่อังกฤษ อาณานิคมอเมริกันกลับไม่มีผู้แทนในรัฐสภาบริเตนใหญ่เลย

ความขัดแย้งระหว่างชาวอาณานิคมอเมริกันและชาวอังกฤษระหว่างยุคปฏิวัติราวคริสต์ทศวรรษ 1760 และต้นคริสต์ทศวรรษ 1770 นับไปสู่สงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา อันเป็นสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1775-1781 เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน ค.ศ. 1775 รัฐสภาภาคพื้นทวีป เปิดประชุมในฟิลาเดลเฟีย และก่อตั้งกองทัพภาคพื้นทวีป ภายใต้การบังคับบัญชาของจอร์จ วอชิงตัน การประกาศว่า "มนุษย์ทุกคนเกิดมาโดยเท่าเทียมกัน" และมนุษย์ทุกคนมี "สิทธิซึ่งไม่อาจโอนให้กันได้อย่างแน่นอน" รัฐสภาได้ประกาศคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา โดยคำร่างส่วนใหญ่เป็นผลงานของโธมัส เจฟเฟอร์สัน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1776 ในวันดังกล่าวได้มีจัดการเฉลิมฉลองขึ้นทุกปีเพื่อระลึกถึงวันอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1777 ข้อบังคับแห่งสมาพันธรัฐได้ก่อตั้งรัฐบาลสมาพันธรัฐขึ้นอย่างหลวม ๆ ซึ่งมีอำนาจจนถึงปี ค.ศ. 1789

ภายหลังจากความพ่ายแพ้ของอังกฤษ โดยกองทัพอเมริกันซึ่งได้รับการสนับสนุนจากฝรั่งเศส บริเตนใหญ่จึงรับรองอิสรภาพของสหรัฐอเมริกา และอธิปไตยของรัฐเหนือดินแดนอเมริกันไปทางตะวนตกจนถึงแม่น้ำมิสซิสซิปปี การประชุมร่างรัฐธรรมนูญถูกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1787 โดยกลุ่มผู้สนับสนุนให้มีการจัดตั้งรัฐบาลของชาติที่มีความเข้มแข็ง และมีอำนาจในการเก็บภาษี รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาได้รับการรับรองในปี ค.ศ. 1788 เช่นเดียวกับสภาสูง สภาผู้แทนราษฎร และประธานาธิบดี — จอร์จ วอชิงตัน — เข้าดำรงตำแหน่งในปี ค.ศ. 1789 บัญญัติว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ห้ามการจำกัดเสรีภาพส่วนบุคคลโดยรัฐบาล และรับประกันขอบเขตในการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ประกาศใช้เมื่อปี ค.ศ. 1791

ทัศนคติซึ่งมีต่อทาสเองก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน; วรรคในรัฐธรรมนูญได้คุ้มครองการค้าทาสแอฟริกันเพียงกลุ่มเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1808 รัฐทางตอนเหนือได้ประกาศเลิกทาสระหว่าง ค.ศ. 1780-1804 เหลือเพียงแต่รัฐทาสทางตอนใต้ ซึ่งเป็นผู้ปกป้อง "สถาบันพิเศษ" ยุคการตื่นตัวครั้งที่สอง เริ่มต้นขึ้นเมื่อราวคริสต์ทศวรรษ 1800 ทำให้การเผยแพร่คำสั่งสอนของพระเยซู กลายเป็นกำลังเบื้องหลังกลุ่มเคลื่อนไหวปฏิรูปสังคมหลายกลุ่ม รวมทั้งการเลิกทาส

ความกระตือรือร้นของสหรัฐอเมริกาในการขยายตัวไปทางทิศตะวันตกทำให้สหรัฐอเมริกาต้องเผชิญกับสงครามอเมริกันอินเดียนอันยาวนาน การซื้อหลุยส์เซียนาจากดินแดนซึ่งฝรั่งเศสกล่าวอ้าง ในสมัยของประธานาธิบดีโธมัส เจฟเฟอร์สัน ในปี ค.ศ. 1803 ทำให้พื้นที่ของประเทศเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า สงครามปี 1812 ซึ่งเป็นการสู้รบกับอังกฤษเหนือข้อเจ็บใจหลายประกาศ และเพื่อสร้างและส่งเสริมชาตินิยมในสหรัฐอเมริกา การส่งทหารเข้าบุกรุกฟลอริดาหลายครั้งทำให้สเปนยินยอมจะยกดินแดนดังกล่าวและดินแดนอื่นของชายฝั่งอ่าวในปี ค.ศ. 1819 เส้นทางธารน้ำตาเป็นตัวอย่างของนโยบายย้ายถิ่นฐานชาวอินเดียน ซึ่งทำให้ชนพื้นเมืองจำนวนมากต้องละทิ้งดินแดนของตน สหรัฐอเมริกาผนวกสาธารณรัฐเท็กซัส ในปี ค.ศ. 1845 แนวคิดของเทพลิขิตได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลาดังกล่าว สนธิสัญญาโอเรกอน ในปี ค.ศ. 1846 กับอังกฤษ ทำให้สหรัฐอเมริกาครอบครองดินแดนภาคตะวันตกเฉียงเหนือในปัจจุบัน ชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในสงครามเม็กซิโก-อเมริกา นำไปสู่การผนวกดินแดนแคลิฟอร์เนีย และพื้นที่ส่วนใหญ่ทาสภาคตะวันตกเฉียงใต้ การตื่นทองที่แคลิฟอร์เนีย เมื่อราว ค.ศ. 1848-1849 ยิ่งทำให้มีประชากรจำนวนมากอพยพไปทางทิศตะวันตกมากยิ่งขึ้น ทางรถไฟใหม่ทำให้การย้ายถิ่นฐานของผู้ตั้งถิ่นฐานง่ายขึ้นและยิ่งส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับชนพื้นเมืองอเมริกัน ภายในเวลาครึ่งศตวรรษ มีไบซันอเมริกันถูกฆ่ากว่า 40 ล้านตัว เพื่อใช้เนื้อและหนัง และเพื่อทำให้การแพร่ขยายของระบบทางรถไฟไกลยิ่งขึ้น การสูญเสียกระบือ อันเป็นแหล่งทรัพยากรหลักสำหรับชาวอินเดียนที่ราบ ทำให้เกิดผลกระทบคงอยู่ของวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองหลายอย่าง

ความตึงเครียดระหว่างรัฐทาสและรัฐเสรีได้เพิ่มสูงขึ้น จากข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับรัฐบาลกลาง เช่นเดียวกับความขัดแย้งอย่างรุนแรงในการเผยแพร่ทาสไปยังรัฐใหม่ อับราฮัม ลินคอร์น ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งของพรรครีพับลิกัน ซึ่งต่อต้านระบบทาสอย่างหนัก ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1860 ก่อนที่เขาจะดำรงตำแหน่ง รัฐทาส 7 รัฐ ได้ประกาศแยกตัวออกจากสหรัฐอเมริกา และจัดตั้งสมาพันธรัฐอเมริกา ซึ่งทางรัฐบาลกลางมองว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย จากการโจมตีค่ายซัมเตอร์ของฝ่ายสมาพันธรัฐ สงครามกลางเมืองอเมริกันได้ปะทุขึ้น และรัฐทาสอีก 4 รัฐก็ได้เข้าร่วมกับฝ่ายสมาพันธรัฐ การประกาศเลิกทาสของลินคอร์น ในปี ค.ศ. 1863 ประกาศให้ทาสในสมาพันธรัฐเป็นอิสระ หลังจากชัยชนะของฝ่ายสหภาพในปี ค.ศ. 1865 ได้มีการแปรบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกาอีก 3 ครั้ง เพื่อรับประกันเสรีภาพของแอฟริกันอเมริกันกว่า 4 ล้านคนซึ่งเคยเป็นทาส และยังทำให้พวกเขาเป็นพลเมือง รวมไปถึงให้สิทธิเลือกตั้ง สงครามกลางเมืองและผลที่ตามมาทำให้สหพันธรัฐมีอำนาจเพิ่มขึ้นอย่างมาก

ภายหลังสงคราม การลอบสังหารลินคอร์น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรากฐานของนโยบายบูรณะประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายที่จะรวมและบูรณะรัฐทางตอนใต้ ในขณะที่รับประกันสิทธิของทาสซึ่งได้รับอิสรภาพ ผลของการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี ค.ศ. 1876 ซึ่งเป็นที่โต้แย้ง โดยประนีประนอมเมื่อปี ค.ศ. 1877 ทำให้สิ้นสุดสมัยบูรณะ; แต่กฎหมายจิมครอว์ได้ตัดสิทธิ์การเลือกตั้งของแอฟริกันอเมริกันจำนวนมาก ทางตอนเหนือ การทำให้เป็นเมืองและการหลั่งไหลเข้ามาอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนของผู้อพยพซึ่งมาจากยุโรปใต้และยุโรปตะวันออก เป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศ การอพยพยังคงมีต่อไปจนถึง ค.ศ. 1929 ทำให้สหรัฐอเมริกามีแรงงานและเปลี่ยนโฉมหน้าวัฒนธรรมของประเทศไปด้วย การพัฒนาสาธารณูปโภคของชาติเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การซื้ออะแลสกาจากจักรวรรดิรัสเซีย เป็นการบรรลุการขยายดินแดนของประเทศบนแผ่นดินใหญ่ การสังหารหมู่วูนเดดนี ในปี ค.ศ. 1890 เป็นความขัดแย้งทางทหารครั้งสุดท้ายในสงครามอินเดียน ในปี ค.ศ. 1893 ราชวงศ์ชนพื้นเมืองของอาณาจักรฮาวายในมหาสมุทรแปซิฟิก ถูกโค่นล้มในรัฐประหารซึ่งนำโดยผู้อยู่อาศัยชาวอเมริกัน; สหรัฐอเมริกาผนวกหมู่เกาะดังกล่าวในปี ค.ศ. 1898 ชัยชนะในสงครามสเปน-อเมริกา เมื่อปีเดียวกัน เป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศซึ่งมีอำนาจ และนำไปสู่การผนวกเปอร์โตริโก, กวม และฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ได้รับเอกราชหลังสงครามโลกครั้งที่สองในอีกครึ่งศตวรรษต่อมา; เปอร์โตริโกและกวมยังคงเป็นเขตปกครองพิเศษของสหรัฐอเมริกา

เมื่อสงครามโลกครั้งที่หนึ่งปะทุขึ้นในปี ค.ศ. 1914 สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง ชาวอเมริกันส่วนใหญ่มีใจเข้าข้างอังกฤษและฝรั่งเศส ทว่า จำนวนมากคัดค้านการเข้าแทรกแซง ใน ค.ศ. 1917 สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร และกำลังรบนอกประเทศอเมริกาช่วยเปลี่ยนทิศทางของสงครามและฝ่ายมหาอำนาจกลางตกเป็นรอง ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสันมีบทบาทเป็นผู้นำทางการทูต ณ การประชุมสันติภาพปารีส ค.ศ. 1919 ซึ่งช่วยกำหนดโลกหลังสงคราม วิลสันสนับสนุนอย่างแข็งขันให้สหรัฐเข้าร่วมสันนิบาตชาติ อย่างไรก็ดี รัฐสภาปฏิเสธที่จะสนองรับ และไม่ให้สัตยาบันสนธิสัญญาแวร์ซาย ซึ่งสถาปนาสันนิบาตชาติ

สหรัฐดำเนินนโยบายเอกภาพนิยมจนเกือบเป็นลัทธิแยกอยู่โดดเดี่ยว ใน ค.ศ. 1920 ขบวนการสิทธิสตรี นำโดย แคร์รี แชพแมน แคทท์ ทำให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญซึ่งให้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งของสตรี ความมั่งคั่งแห่ง Roaring Twenties สิ้นสุดด้วยเหตุการณ์ตลาดหลักทรัพย์วอลล์สตรีทตก ค.ศ. 1929 อันเป็นสาเหตุของภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่

หลังสงครามโลกครั้งที่สอง สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตแข่งขันกันเพื่ออำนาจ ระหว่างสิ่งที่เรียกว่าสงครามเย็น, ขับเคลื่อนโดยแบ่งอุดมการณ์ระหว่างทุนนิยมและคอมมิวนิสต์ พวกเขา ครอบงำกิจการทหารของยุโรป ที่มีสหรัฐและพันธมิตรนาโต ในด้านหนึ่งและสหภาพโซเวียตและพันธมิตรสนธิสัญญาวอร์ซอในอีกด้าหนึ่ง สหรัฐอเมริกาพัฒนานโยบาย "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา"ขยายตัวของสหภาพโซเวียต ขณะที่พวกเขามีส่วนร่วมในสงครามตัวแทนและได้พัฒนาคลังแสงนิวเคลียร์ที่มีประสิทธิภาพ, ทั้งสองประเทศหลีกเลี่ยงความขัดแย้งทางทหารโดยตรง สหรัฐอเมริกามักจะไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของปีกซ้ายโลกที่สาม ที่สหรัฐฯมองว่าเป็นการสนับสนุนของสหภาพโซเวียต ทหารอเมริกันต่อสู้กองกำลังคอมมิวนิสต์จีนและคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือในสงครามเกาหลีระหว่างปี 1950 ถึง 1953 การปล่อยดาวเทียมดวงแรกของสหภาพโซเวียตในปี 1957 และ การปล่อยยานอวกาศที่มีมนุษย์ครั้งแรกของสหภาพโวเวียตในปี 1961 ริเริ่ม"การแข่งขันอวกาศ" ที่ประเทศสหรัฐอเมริกากลายเป็นคนแรกที่ส่งมนุษย์ลงบนดวงจันทร์ในปี 1969. สงครามตัวแทนขยายตัวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับสงครามเวียดนาม

ที่บ้าน, สหรัฐมีประสบการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วของประชากร และชนชั้นกลาง การก่อสร้างระบบทางหลวงระหว่างรัฐเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศมาหลายทศวรรษต่อมา คนหลายล้านย้ายจากฟาร์มและเมืองชั้นในไปเมืองที่ มีการพัฒนาที่อยู่อาศัยชานเมืองขนาดใหญ่. การเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนที่กำลังเติบโตได้ใช้อหิงสาเพื่อเผชิญหน้ากับการแตกแยกและการเลือกปฏิบัติ ที่มี มาร์ติน ลูเธอร์คิง จูเนียร์ กลายเป็นผู้นำที่โดดเด่นและเป็นสัญญลักษณ์ การรวมกันของการตัดสินของศาล และ การบัญญัติกฎหมาย ส่งผลให้เกิด กฎหมายสิทธิพลเรือนปี 1964, ในความพยายามที่จะยุติการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ. ในขณะที่ การเคลื่อนไหวต้านวัฒนธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับการผลักดันจากการต่อต้านสงครามเวียดนาม, ชาตินิยมสีดำ และ การปฏิวัติทางเพศ การเปิดตัวของ"สงครามกับความยากจน"ขยายสิทธิ และการใช้จ่ายด้านสวัสดิการ.

ช่วงปี 1970s ถึงต้นปี 1980s ได้เห็นการโจมตีของภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและเงินเฟ้อ หลังจากการเลือกตั้งของเขาในปี 1980, ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ตอบสนองต่อความเมื่อยล้าทางเศรษฐกิจด้วยการปฏิรูปที่มุ่งเน้นตลาดเสรี หลังจากการล่มสลายของการผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างประเทศ, เขาละทิ้ง "การจำกัดการขยายตัวของลัทธิที่ไม่พึงปรารถนา" และ ริเริ่มกลยุทธ์"ย้อนกลับ"เชิงรุกมากขึ้นกับสหภาพโซเวียต. หลังจากที่ การพุ่งขึ้นของการมีส่วนร่วมของแรงงานหญิงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา, ในปี 1985 ส่วนใหญ่ของผู้หญิงอายุ 16 ปีหรือมากกว่าถูกจ้างงาน. ในช่วงปลายปี 1980s นำมาซึ่ง"การละลาย" ในความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต และการล่มสลายของมันในปี 1991 ในที่สุดสงครามเย็นก็จบ.

หลังสงครามเย็น, ปี 1990s ได้เห็นการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของสหรัฐอเมริกา, ซึ่ง??สิ้นสุดลงในปี 2001. เริ่มต้นมาจากทางวิชาการและเครือข่าย การป้องกันประเทศของสหรัฐอเมริกา, อินเทอร์เน็ตแพร่กระจายไปสู่ส่ธารณะในปี 1990s ส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจ, สังคม และวัฒนธรรมของโลก. เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001, ผู้ก่อการร้าย อัล กออิดะห์ โจมตีเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในนครนิวยอร์กและอาคารเพนตากอนที่อยู่ใกล้กรุงวอชิงตันดีซี, ได้ฆ่าประชาชนเกือบ 3,000 คน. ในการตอบสนอง, สหรัฐเปิดสงครามกับความหวาดกลัว ซึ่งรวมถึงการทำสงครามอย่างต่อเนื่องในอัฟกานิสถานและสงครามอิรักระหว่างปี 2003-2011. ในปี 2008 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้ง ใหญ่, ประธานาธิบดีแอฟริกันอเมริกันคนแรก บารัค โอบามา ได้รับเลือกตั้ง

พื้นที่ของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ติดต่อเป็นชิ้นเดียวกันมีขนาด 2,959,064 ตารางไมล์ ( 7,663,941 ตารางกิโลเมตร) อลาสก้า, ถูกแยกออกมาจากแผ่นดินที่ติดกันของสหรัฐคั่นโดย แคนาดา, เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุดที่ 663,268 ตารางไมล์ (1,717,856 ตารางกิโลเมตร) ฮาวาย, ครอบครองหมู่เกาะกลางมหาสมุทรแปซิฟิก, อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปอเมริกาเหนือ, มีพื้นที่ 10,931 ตารางไมล์ (28,311 ตารางกิโลเมตร).

ประเทศสหรัฐอเมริกาใหญ่ที่สุดอันดับสามหรือสี่ของโลกโดยพื้นที่ทั้งหมด (ที่ดิน และน้ำ), ตามหลังรัสเซียและแคนาดา และเหนือหรือต่ำกว่าจีน การจัดอันดับที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับว่า สองดินแดนที่มีข้อพิพาทโดยจีนและอินเดียจะมีการนับกันอย่างไร และวิธีการวัดขนาดโดยรวมของสหรัฐฯ: การคำนวณมีขนาดตั้งแต่ 3,676,486 ตารางไมล์ (9,522,055 ตารางกิโลเมตร) จนถึง 3,717,813 ตารางไมล์ (9,629,091 ตารางกิโลเมตร) หรือจนถึง 3,794,101 ตารางไมล์ (9,826,676 ตารางกิโลเมตร). เมื่อวัดเฉพาะแผ่นดินเท่านั้น ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่สามในขนาด ตามหลังรัสเซียและจีน นำหน้าประเทศแคนาดาเล็กน้อย.

ที่ราบชายฝั่งทะเลของชายฝั่งแอตแลนติกเปิดทางลึกเข้าไปในแผ่นดินจนถึงป่าไม้ผลัดใบ และเนินเขาของ Piedmont แนวเทือกเขา Appalachian แบ่งพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออกจากทะเลสาบ Great Lakes และทุ่งหญ้าของ Midwest แม่น้ำมิสซิสซิปปี-มิสซูรี่, ระบบแม่น้ำที่ยาวที่สุดอันดับสี่ของโลก, ใหลทางทิศเหนือ-ใต้เป็นหลัก ผ่านใจกลางของประเทศ ทุ่งหญ้า prairie ที่ราบเรียบและอุดมสมบูรณ์ของที่ราบ Great Plains ทอดยาวไปทางทิศตะวันตก ขวางโดยภูมิภาคที่ราบสูงทางตะวันออกเฉียงใต้

เทือกเขาร็อกกี, ที่ขอบตะวันตกของ Great Plains, ขยายจากเหนือจรดใต้ข้ามประเทศ, มีระดับความสูงกว่า 14,000 ฟุต (4,300 เมตร)ในโคโลราโด. ไกลออกไปทางตะวันตกเป็นเนิน Great Basin และทะเลทราย เช่นชิวาวา และ Mojave. เทือกเขาเซียร์ราเนวาดาและ Cascade ทอดแนวใกล้กับชายฝั่งแปซิฟิก, เทือกเขาทั้งสองนี้มีระดับความสูงกว่า 14,000 ฟุต ( 4,300 เมตร) จุดต่ำสุดและสูงสุดในทวีปของสหรัฐอเมริกาอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และห่างกันเพียงประมาณ 80 ไมล์ (130 กิโลเมตร). ที่ระดับความสูง 20,320 ฟุต (6,194 เมตร), ภูเขา McKinley ของรัฐอลาสก้าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศและในทวีปอเมริกาเหนือ ภูเขาไฟที่ยังมีชีวิตอยู่มีอยู่ทั่วไปในเขตอเล็กซานเดอร์และเกาะ Aleutian ของอลาสกา และฮาวายประกอบไปด้วยเกาะภูเขาไฟ สุดยอดภูเขาไฟที่อยู่ในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในเทือกเขาร็อกกี้ เป็นลักษณะภูเขาไฟที่ใหญ่ที่สุดของทวีป.

สหรัฐฯ, เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่และมีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์, จึงมีสภาพภูมิอากาศ มากชนิดที่สุด ไปทางทิศตะวันออกของเส้นแวงที่ 100, สภาพภูมิอากาศจะมีตั้งแต่ ชื้นในทวีป ในภาคเหนือ จนถึง ชื้นเขตร้อนในภาคใต้ ติ่งใต้สุดของฟลอริด้าเป็นเขตร้อนเหมือนฮาวาย Great Plains ด้านตะวันตกของเส้นแวงที่ 100 จะเป็นกึ่งแห้งแล้ง. พื้นที่จำนวนมากของเทือกเขา Western เป็นแบบอัลไพน์ สภาพภูมิอากาศเป็นแบบแห้งแล้งใน Great Basin, แบบทะเลทราย ในภาคตะวันตกเฉียงใต้, แบบเมดิเตอร์เรเนียนในแคลิฟอร์เนียและ แบบมหาสมุทรในชายฝั่ง โอเรกอนและวอชิงตันและภาคใต้ของอลาสก้า อลาสก้าส่วนใหญ่เป็น subarctic หรือ ขั้วโลก อากาศที่รุนแรงไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติ รัฐที่มีพรมแดนติดอ่าวเม็กซิโกมีแนวโน้มที่จะเจอเฮอริเคนและพายุทอร์นาโดส่วนใหญ่ของโลกจะเกิดขึ้นภายในประเทศ, ส่วนใหญ่ใน Tornado Alley ของ Midwest.

ด้านนิเวศวิทยาของสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็น " megadiverse ": ประมาณ 17,000 ชนิดของพืชที่มีท่อลำเลียงเกิดขึ้นในแผ่นดินที่ติดกันของสหรัฐและที่อลาสกา และกว่า 1,800 ชนิดของพืชดอกที่พบในฮาวาย, ในจำนวนนี้ มีไม่มากที่พบบนแผ่นดินใหญ่ สหรัฐอเมริกาเป็นบ้านของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมกว่า 400 สายพันธ์, นก 750, และ สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก 500 ชนิด. แมลงประมาณ 91,000 สายพันธุ์ได้รับการอธิบาย. นกอินทรีหัวขาวเป็นทั้งนกประจำชาติ และสัตว์ประจำชาติของประเทศสหรัฐอเมริกา และเป็นสัญลักษณ์ที่ยั่งยืนของประเทศตัวเอง.

มีสวนสาธารณะแห่งชาติ 58 แห่งและสวนสาธารณะอื่นๆที่มีการจัดการจากรัฐบาลกลาง, ป่าและ พื้นที่ป่ารกชัฏอีกกว่าร้อย. รวมด้วยกัน, รัฐบาลเป็นเจ้าของ 28.8% ของพื้นที่ประเทศ. ส่วนใหญ่ของพื้นที่เหล่านี้ ได้รับการคุ้มครอง, แม้ว่าบางแห่งจะให้เช่าสำหรับขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ, เหมืองแร่, ตัดไม้ หรือ เลี้ยงสัตว์; 2.4% ถูกใช้สำหรับวัตถุประสงค์ทางทหาร.

ปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นวาระแห่งชาติตั้งแต่ปี 1970. การถกเถียงเกียวกับสิ่งแวดล้อม รวมถึง การอภิปรายเกี่ยวกับน้ำมันและพลังงานนิวเคลียร์, การจัดการกับอากาศและมลพิษทางน้ำ, ค่าใช้จ่ายทางเศรษฐกิจในการปกป้องสัตว์ป่า, การตัดไม้ และการทำลายป่า และการตอบสนองระหว่างประเทศเกียวกับโลกร้อน. หน่วยงานของรัฐบาลกลางและรัฐหลายแห่งมีส่วนร่วม ที่โดดเด่นที่สุดคือ หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (อังกฤษ: Environmental Protection Agency (EPA)) ที่ถูกตั้งขึ้นตามคำสั่งของประธานาธิบดีในปี 1970. ความคิดของป่าได้สร้างรูปของการจัดการที่ดินสาธารณะตั้งแต่ปี 1964, ด้วยบทบัญญัติป่า(อังกฤษ: Wilderness Act). บทบัญญัติชาติพันธ์สูญพันธุ์ปี 1973 มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันภัยคุกคามและชาตพันธ์ใกล้สูญพันธุ์และที่อยู่อาศัยของพวกมัน ซึ่งมีการตรวจสอบโดย Fish and Wildlife Service ของสหรัฐอเมริกา

สำนักสำรวจสำมะโนประชากรของสหรัฐ ประมาณการจำนวนประชากรของประเทศในขณะนี้ จะมี 317,848,000 คน, รวมทั้งประมาณ 11,200,000 คนที่เป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย. ประชากรสหรัฐเพิ่มขึ้นเกือบสี่เท่าในช่วงศตวรรษที่ 20, จากประมาณ 76 ล้านคนในปี 1900. มีประชากรมากที่สุดอันดับสามในโลก ตามหลังจีนและอินเดีย ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเพียงประเทศอุตสาหกรรมที่สำคัญเดียวเท่านั้น ที่การเพิ่มขึ้นของประชากรจำนวนมากได้ถูกคาดไว้แล้ว.

ด้วยอัตราการเกิดของ 13 ต่อ 1,000, 35 % ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของโลก, อัตราการเติบโตของประชากรเป็นบวกที่ 0.9 % สูงกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายอย่างมีนัยสำคัญ. ในปีงบประมาณ 2012 คนอพยพกว่าหนึ่งล้าน (ส่วนใหญ่ของผู้ที่เข้ามาผ่านทางการรวมครอบครัว) ได้รับอนุญาตถิ่นที่อยู่ตามกฎหมาย. เม็กซิโกเป็นแหล่งที่มาชั้นนำของผู้อยู่อาศัยใหม่ตั้งแต่กฎหมายข้อบัญญัติคนเข้าเมืองปี 1965 จีน, อินเดีย และฟิลิปปินส์เป็นสี่ประเทศที่ส่งคนเข้าเมืองสูงสุดทุกปี. คนอเมริกันเก้า ล้านระบุว่า ตัวเองเป็นรักร่วมเพศ, กะเทย หรือแปลงเพศ. การสำรวจในปี 2010 พบว่าเจ็ดเปอร์เซ็นต์ของผู้ชายและแปดเปอร์เซ็นต์ของผู้หญิงระบุว่าตัวเองเป็นเกย์, เลสเบี้ยน หรือกะเทย.

ประเทศสหรัฐอเมริกามีประชากรที่มีความหลากหลายมาก, มี 31 กลุ่มตระกูลที่มีสมาชิกมากกว่าหนึ่งล้านคน ชาวอเมริกันผิวขาวเป็นกลุ่มเชื้อชาติที่ใหญ่ที่สุด; เยอรมันอเมริกัน, ไอริชอเมริกันและ อังกฤษอเมริกัน เป็นสามในสี่กลุ่มตระกูลที่ใหญ่ที่สุด ชาวอเมริกันดำ เป็นเชื้อชาติชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกลุ่มตระกูลที่ใหญ่เป็นอันดับสาม เอเชียนอเมริกันเป็นเชื้อชาติของชนกลุ่มน้อยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ กลุ่มชาติพันธุ์เอเชียนอเมริกันสามกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศคือ จีนอเมริกัน, ฟิลิปปินส์อเมริกันและอินเดียนอเมริกัน.

ในปี 2010 ประชากรสหรัฐประมาณ 5.2 ล้านคนที่มีบรรพบุรุษเป็นอเมริกันอินเดียน หรือ ชาวพื้นเมืองอลาสก้า (2.9 ล้านเฉพาะของบรรพบุรุษดังกล่าว) และ 1.2 ล้านที่เป็นชาวพื้นเมืองฮาวายหรือมีบรรพบุรุษบนเกาะแปซิฟิก (0.5 ล้านเฉพาะ) การสำรวจสำมะโนประชากรได้นับว่ามีกว่า 19 ล้าน คนที่เป็น "เชื้อชาติอื่นๆ" ซึ่ง "ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นอะไร" ของประเภทเชื้อชาติอย่างเป็นทางการทั้งห้าในปี 2010.

การเจริญเติบโตของประชากรชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนและลาตินอเมริกา (คำใช้แทนกันได้ อย่างเป็นทางการ) เป็นแนวโน้มประชากรที่สำคัญ ชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนจำนวน 50.5 ล้านคน ถูกระบุว่ามีการใช้"เชื้อชาติ" ที่แตกต่างร่วมกันโดยสำนักสำมะโนประชากร; 64% ของชาวอเมริกันเชื้อสายสเปนมีเชื้อสายเม็กซิกัน ระหว่างปี 2000 ถึงปี 2010, ประชากรสเปนของประเทศเพิ่มขึ้น 43% ขณะที่ประชากรที่ไม่ใช่สเปนเพิ่มขึ้นเพียง 4.9 % การเติบโตที่มากขึ้นนี้มาจากการอพยพ; ในปี 2007, 12.6% ของประชากรสหรัฐเกิดในต่างประเทศ, 54% ของตัวเลขดังกล่าวเกิดในละตินอเมริกา.

ความอุดมสมบูรณ์ยังเป็นปัจจัย; ในปี 2010 ค่าเฉลี่ยของเชื้อสายสเปน (กลุ่มใดๆ) ผู้หญิงให้กำเนิดเด็ก 2.35 คนในชีวิตของนาง เมื่อเทียบกับ 1.97 สำหรับผู้หญิงผิวดำที่ไม่ใช่เชื้อสายสเปน และ 1.79 สำหรับผู้หญิงผิวขาว ที่ไม่ใช่เชื้อสายสเปน (ทั้งสองกลุ่มมีอัตราการทดแทนต่ำกว่า 2.1). ชนกลุ่มน้อย (ตามที่กำหนดโดยสำนักสำมะโนประชากรว่าเป็นทั้งหมดนอกจากที่ไม่ใช่เชื้อสายสเปน, ไม่ใช่ผิวขาวหลายเชื้อชาติ) มีจำนวน 36.3% ของประชากรในปี 2010 และกว่า 50% ของเด็กที่มีอายุต่ำกว่าหนึ่งปีถูกคาดหมายว่าจะเป็นส่วนใหญ่ในปี 2042. เรื่องนี้ขัดแย้งกับรายงานโดยสำนักงานสถิติที่สำคัญแห่งชาติ, ขึ้นอยู่กับข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากร สหรัฐ, ซึ่งสรุปว่า 54% (2,162,406 ออกมาจาก 3,999,386 ในปี 2010) โดยเกิดเป็นผิวขาวที่ไม่ใช่เชื้อสายสเปน.

ประมาณ 82% ของชาวอเมริกันที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง (รวมถึง ชานเมือง ); ประมาณครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้ อาศัยอยู่ในเมืองที่มีประชากรกว่า 50,000 ในปี 2008, 273 สถานที่ที่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวมีประชากรกว่า 100,000 คน, เก้าเมืองมีมากกว่าหนึ่งล้านผู้อาศัย และ สี่เมืองระดับโลกมีกว่าสองล้าน (New York City, Los Angeles, ชิคาโกและ เมืองฮุสตัน). มี 52 เขตปริมณฑลที่มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้าน. จาก 50 พื้นที่เมืองที่เติบโตเร็วที่สุด, 47 เมืองที่อยู่ภาคตะวันตกหรือภาคใต้. พื้นที่เมืองใหญ่ของดัลลัส, แอตแลนตา และ ฟีนิกซ์ ทั้งหมดนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าหนึ่งล้านคนระหว่างปี 2000 ถึง 2008.

ภาษาอังกฤษ (อเมริกันอังกฤษ) เป็นภาษาประจำชาติโดยพฤตินัย แม้จะไม่มีภาษาราชการในระดับรัฐบาลกลาง, บางกฎหมาย เช่น ข้อกำหนดการเป็นกลางของสหรัฐฯ มาตรฐานเป็นภาษาอังกฤษ ในปี 2010 ประมาณ 230 ล้านคนหรือ 80% ของประชากรที่มีอายุห้าปีและมากกว่า พูดภาษาอังกฤษเท่านั้นที่บ้าน ภาษาสเปน, พูดโดย 12% ของประชากรที่บ้าน, เป็นภาษาที่พบมากที่สุดเป็นที่สองและเป็นภาษาที่สองที่สอนกันอย่างแพร่หลาย. ชาวอเมริกันบางคน สนับสนุนการทำภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาทางการของประเทศ เช่นมันเป็นในอย่างน้อย 28 รัฐ.

ทั้งภาษาฮาวายและภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เป็นทางการในฮาวายตามกฎหมายของรัฐ. ในขณะที่ ไม่มีภาษาราชการ, นิวเม็กซิโกมีกฎหมายให้ใช้ ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาสเปน ในขณะที่ หลุยเซียนาจะใช้ภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส. รัฐอื่นๆ เช่นแคลิฟอร์เนีย, ให้อำนาจเอกสารสิ่งพิมพ์เป็นเวอร์ชันสเปนของเอกสารรัฐบาลบางอย่าง รวมทั้งแบบฟอร์มศาล. เขตอำนาจศาลหลายแห่งที่มีผู้พูดที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษจำนวนมาก ผลิตเอกสารของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การลงคะแนนเสียง จะอยู่ในภาษาพูดที่ใช้มากที่สุดใน เขตอำนาจศาลนั้น .

ดินแดนโดดเดี่ยวหลายแห่งให้การยอมรับอย่างเป็นทางการกับภาษาพื้นเมืองของพวกเขา พร้อม กับภาษาอังกฤษ: ซามัวและชามอร์โรเป็นที่ยอมรับจากอเมริกันซามัวและกวมตามลำดับ Carolinian และ ชามอร์โร เป็นที่ยอมรับจากหมู่เกาะมาเรียนาเหนือ; ภาษาสเปนเป็นภาษาราชการของเปอร์โตริโกเป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางมากขึ้นนอกเหนือจากภาษาอังกฤษ ที่นั่น. [ 189 ]

ดูเพิ่มเติม: ประวัติความเป็นมาของศาสนาในสหรัฐอเมริกา, เสรีภาพในการนับถือศาสนาใน ประเทศสหรัฐอเมริกา, การแยกออกจากกันชิฃองโบสถ์และรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา และ รายชื่อของการเคลื่อนไหวทางศาสนาที่เริ่มต้นขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา

การแก้ไขครั้งแรกของรัฐธรรมนูญสหรัฐรับประกันการนับถืออิสระของศาสนา และห้ามรัฐสภาไม่ให้ผ่านกฎหมายการเคารพการจัดตั้งนั้น ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่ถูกพบมากที่สุด แต่ศาสนาอื่น ๆ จะตามมาอีกด้วย ในการสำรวจปี 2013, 56% ของชาวอเมริกันกล่าวว่า ศาสนาเล่น"บทบาทที่สำคัญมากในชีวิตของพวกเขา" ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงกว่าของประเทศที่ร่ำรวยอื่นๆ. ในแกลลอปโพลปี 2009, 42% ของชาวอเมริกันกล่าวว่า พวกเขาเข้าโบสถ์ทุกสัปดาห์ หรือเกือบทุกสัปดาห์ ; ตัวเลขอยู่ในช่วงต่ำ 23% ในเวอร์มอนต์ จนถึงสูง 63% ในมิสซิสซิปปี้. เช่นเดียวกับ ประเทศตะวันตกอื่นๆ, สหรัฐจะกลายเป็นเคร่งศาสนาน้อยลง การไม่มีศาสนาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวอเมริกันอายุต่ำกว่า 30. โพลล์แสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นในศาสนาของชาวอเมริกันโดยรวมกำลังลดลง [ 194 ] และ ว่าชาวอเมริกันโดยเฉพาะเจาะจงที่มีอายุน้อยกว่าจะกลายเป็นพวกไร้ศาสนามากยิ่งขึ้น.

ตามผลการสำรวจปี 2014, 70.6% ของผู้ใหญ่ระบุว่าตัวเองเป็นคริสต์ศาสนิกชน ลดลงจาก 73% ในปี 2012. นิกายโปรเตสแตนต์คิดเป็น 49.3% ในขณะที่ นิกายโรมันคาทอลิกคิดเป็น 20.8% เป็นนิกายส่วนบุคคลที่ใหญ่ที่สุด. รายงานยอดรวมของศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์ในปี 2014 เป็น 5.9% จาก 6% ในปี 2012. ศาสนาอื่น ๆ รวมถึง ศาสนายูดาห์ (1.9%), ศาสนาอิสลาม (0.9%), ศาสนาฮินดู, (0.7%) ศาสนาพุทธ (0.7%) และ ศาสนาอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์อื่น ๆ (1.8%). การสำรวจยังรายงานว่า 22.8% ของชาวอเมริกันที่อธิบายว่าตัวเองไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า, ไม่นับถือพระเจ้า หรือเพียงแค่ไม่มีศาสนา เพิ่มขึ้นจาก 8.2% ในปี 1990. นอกจากนี้ยังมี ศาสนาบาไฮ, ศาสนาซิกข์, ศาสนาเชน, ลัทธิชินโต, ลัทธิขงจื้อ, ลัทธิเต๋า, Druid, ศาสนาพื้นเมืองอเมริกัน, Wiccan, กลุ่มมนุษยนิยม, และชุมชน Deist.

โปรเตสแตนต์เป็นกลุ่มศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ, ที่มีคริสตจักรแบปทิสต์เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุด และ Southern Baptist Convention เป็นนิกายโปรเตสแตนต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ประมาณ 25.4 เปอร์เซ็นต์ของโปรเตสแตนต์เป็นสายประกาศข่าวประเสริฐ, ขณะที่ร้อยละ 14.7 เป็นสายหลักหรือเสรีนิยม และร้อยละ 6.5 เป็นของคริสตจักรแอฟริกันอเมริกันดั้งเดิม. โรมันคาทอลิกในสหรัฐฯมีต้นกำเนิดในอาณานิคมของ สเปนและฝรั่งเศสของทวีปอเมริกา และต่อมาขยายตัวเนื่องจากการอพยพเข้าเมืองของชาวไอริช ชาวอิตาลี ชาวโปแลนด์ ชาวเยอรมันและชาวสเปน Rhode Island เป็นรัฐเดียวที่ ประชากรส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก คริสตจักรลูเทอแรนในสหรัฐอเมริกามีต้นกำเนิดจากการอพยพจาก ยุโรปเหนือ North และ South Dakota เป็นสองรัฐที่ส่วนใหญ่ของประชากรนับถือลูเทอแรน ยูทาห์เป็นรัฐเดียวที่ นิกายมอรมอนเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่ มอรมอนยังเป็นศาสนาค่อนข้างทั่วไปในหลายส่วนของรัฐไอดาโฮ รัฐเนวาดาและรัฐไวโอมิง

Bible Belt เป็นคำไม่เป็นทางการสำหรับภูมิภาคทางตอนใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกา ในที่ซึ่ง ศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์แบบ evangelical อนุรักษนิยมสังคม เป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม และการเข้าร่วมคริสตจักรคริสเตียนโดยทั่วไปจะสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศ โดยทางตรงกันข้าม ศาสนามีบทบาทที่สำคัญน้อยในรัฐนิวอิงแลนด์และรัฐทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา

ในปี 2007, 58% ของชาวอเมริกันที่อายุ 18 ปีขึ้นไปกำลังจะแต่งงาน, 6% เป็นม่าย, 10% ได้รับการหย่าร้าง และ 25% ไม่เคยผ่านการแต่งงานมา. ผู้หญิงในขณะนี้ส่วนใหญ่ทำงานนอกบ้าน และส่วนใหญ่ได้รับปริญญาตรี

อัตราการตั้งครรภ์ของวัยรุ่นสหรัฐ, 79.8 ต่อ 1,000, สูงที่สุดในหมู่ประเทศ OECD. ระหว่างปี 2007 ถึง 2010 อัตราการเกิดที่สูงที่สุดเป็นวัยรุ่นในรัฐมิสซิสซิปปี้ และต่ำสุดในรัฐนิวแฮมป์เชียร์. การทำแท้งเป็นสิ่งถูกกฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกา เนื่องจาก Roe v. Wade, การตัดสินใจที่สำคัญโดยศาลสูงสหรัฐในปี 1973 ในขณะที่อัตราการทำแท้งลดลง, อัตราส่วนการทำแท้งจาก 241 ต่อ 1,000 การเกิดมีชีพ และอัตราการทำแท้ง จาก 15 ต่อ 1,000 สำหรับผู้หญิงอายุ 15-44 ยังคงสูงกว่าประเทศตะวันตกส่วนใหญ่. ในปี 2011, อายุเฉลี่ยเมื่อให้กำเนิดลูกคนแรกคือ 25.6 ปี และ 40.7% ของการเกิดได้กับผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน. อัตราการเจริญพันธุ์รวม (TFR) ที่คาดไว้สำหรับปี 2013 อยู่ที่ 2.06 การเกิดต่อผู้หญิง. การรับเป็นบุตรบุญธรรมในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องธรรมดาและค่อนข้างง่ายในมุมมองทางกฎหมาย (เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตกอื่นๆ). ในปี 2001, ที่มีกว่าลูกบุญธรรม 127,000 คน, สหรัฐอเมริกาคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนรวมของลูกบุญธรรมทั่วโลก.

การแต่งงานเพศเดียวกันจะดำเนินการได้ถูกต้องตามกฎหมายใน 16 รัฐของสหรัฐอเมริกา, 8 ชนเผ่าอเมริกันพื้นเมือง, District of Columbia และ Cook County, Illinois. การแต่งงานเพศเดียวกันได้ดำเนินการในยูทาห์ แต่ศาลสูงสหรัฐสั่งให้พักและการแต่งงานเพศเดียวกันไม่สามารถดำเนินการได้ในรัฐขณะนี้ ในขณะที่ ศาลอุทธรณ์ที่ 10 ในเดนเวอร์พิจารณาเป็นคดี. การแต่งงานเพศเดียวกัน ยังดำเนินการในเวลาสั้นๆในรัฐมิชิแกน จนถูกสั่งพักชั่วคราว รัฐโอเรกอนรับรู้การแต่งงานเพศเดียวกันในเขตอำนาจศาลอื่น ผู้พิพากษาของรัฐบาลกลางในรัฐโอไฮโอรับรู้การแต่งงานนอกรัฐเพื่อวัตถุประสงค์ในการออกหนังสือรับรองการตายเท่านั้น. รัฐโคโลราโดรับรู้การแต่งงานเพศเดียวกันเพื่อวัตถุประสงค์การกรอกภาษีร่วมกันเท่านั้น. รัฐอิลลินอยส์ได้ทำให้การแต่งงานของเพศเดียวกันถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ การแต่งงานเพศเดียวกันเป็นสิ่งถูกกฎหมายในปัจจุบันในรัฐอิลลินอยส์สำหรับคู่รักเพศเดียวกันในการที่อย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งป่วยหนัก. การแต่งงานเพศเดียวกันในรัฐอิลลินอยส์ยังถูกกฎหมายในบางเมืองย่อย การมีคู่หลายคนเป็นสิ่งผิดกฎหมายทั่วสหรัฐอเมริกา

มีรูปแบบการปกครองแบบสหพันธรัฐ (Federal Republic) แบ่งอำนาจออกเป็น 3 ฝ่าย ภายใต้บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ แต่ละฝ่ายได้รับเลือกในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป จึงมีการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน (checks and balances) ประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรค คือ พรรครีพับลิกัน (Republican) และพรรคเดโมแครต (Democrat) ดังนี้

ฝ่ายบริหาร มีประธานาธิบดี (President) เป็นประมุขและเป็นหัวหน้ารัฐบาล (Chief of Executive) ได้รับเลือกจากการเลือกตั้งทั่วไป ร่วมกับรองประธานาธิบดีทุก 4 ปี ในวันอังคารแรกหลังวันจันทร์แรกของเดือนพฤศจิกายน ประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งผ่านคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) จำนวน 538 คน ดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย สมัยละ 4 ปี ประธานาธิบดีจะเป็นผู้ร่างรัฐบัญญัติต่อรัฐสภา และทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้ทำสนธิสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนแต่งตั้งผู้พิพากษาเอกอัครราชทูตและตำแหน่งต่าง ๆ ของฝ่ายบริหารตั้งแต่ระดับรองผู้ช่วยรัฐมนตรี (Deputy Assistant Secretary) ขึ้นไป

ฝ่ายตุลาการ ประกอบด้วย ศาลชั้นต้น (Curcuit Court) ศาลอุทธรณ์ (Appeal Court) และศาลฎีกา (Supreme Court) ศาลฎีกามีอำนาจที่จะล้มเลิกกฎหมายใด ๆ และการปฏิบัติการของฝ่ายบริหารที่ได้วินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ ในการแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกานั้น ประธานาธิบดีเป็นผู้เสนอชื่อและวุฒิสภาเป็นผู้ให้การรับรอง โดยศาลสูงของสหพันธ์มีผู้พิพากษาทั้งหมด 9 คน ซึ่งตำรงตำแหน่งได้โดยไม่มีการกำหนดวาระ

นอกจากนี้ยังประกอบด้วยดินแดนอื่น ๆ ได้แก่ ดินแดน ดิสตริกต์ออฟโคลัมเบีย ซึ่งเป็นที่ตั้งของกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เมืองหลวงของประเทศ และดินแดนโพ้นทะเลอื่น ๆ ที่สำคัญได้แก่ อเมริกันซามัว กวม จอห์นสตันอะทอลล์ หมู่เกาะมิดเวย์ หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา เปอร์โตริโก และหมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และอีกหนึ่งดินแดนคือเขตคลองปานามาที่สหรัฐอเมริกาเช่าไว้จากปานามา

สหรัฐอเมริกามีโครงสร้างที่จัดตั้งขึ้นของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มันเป็นหนึ่งในสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และนครนิวยอร์กเป็นบ้านของสำนักงานใหญ่ สหประชาชาติ มันเป็นสมาชิกของ G8, G20 และ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (อังกฤษ: Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD)) เกือบทุกประเทศมีสถานทูตในกรุงวอชิงตัน ดีซี และหลายประเทศมีสถานกงสุลทั่วประเทศ ในทำนองเดียวกัน เกือบทุกประเทศเป็นเจ้าบ้านทูตอเมริกัน อย่างไรก็ตาม คิวบา, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ, ภูฏาน และสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)ไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับประเทศสหรัฐอเมริกา (แม้ว่า สหรัฐอเมริกา ยังคงส่งอุปกรณ์ทางทหารให้ไต้หวัน)

ประเทศสหรัฐอเมริกามี "ความสัมพันธ์พิเศษ" กับสหราชอาณาจักร และความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศแคนาดา, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, ฟิลิปปินส์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อิสราเอล, และอีกหลายประเทศในยุโรป, รวมทั้ง ฝรั่งเศสและเยอรมนี. มันทำงานอย่างใกล้ชิดกับเพื่อนสมาชิกนาโต ในประเด็นทางทหารและความมั่นคง และกับประเทศเพื่อนบ้านโดยผ่านองค์การรัฐอเมริกัน และข้อตกลง การค้าเสรี เช่น ข้อตกลงไตรภาคีการค้าเสรีอเมริกาเหนือกับแคนาดาและเม็กซิโก. ในปี 2008 ประเทศสหรัฐอเมริกา ใช้จ่ายสุทธิ 25.4 พันล้าน $ ในการช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาอย่างเป็นทางการ, มากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นส่วนแบ่งของรายได้รวมประชาชาติ (อังกฤษ: gross national income (GNI))ที่มีขนาดใหญ่ของอเมริกา การมีส่วนร่วมของสหรัฐอยู่ที่ 0.18% เป็นอันดับท้ายสุดใน 22 รัฐผู้บริจาค ในทางตรงกันข้าม การให้เอกชนต่างประเทศโดยชาวอเมริกันเป็นค่อนข้างใจกว้าง.

สหรัฐอเมริกาออกแรงเป็นผู้มีอำนาจการป้องกันระหว่างประเทศเต็มรูปแบบ และรับผิดชอบใน สามประเทศอธิปไตยผ่าน Compact of Free Association กับ ไมโครนีเซีย, หมู่เกาะมาร์แชลล์ และปาเลา, ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นประเทศเกาะแปซิฟิกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนหมู่เกาะแปซิฟิกที่บริหารโดยสหรัฐอเมริกา (อังกฤษ: U.S.-administered Trust Territory of the Pacific Islands) เริ่มต้นหลังสงครามโลกครั้งที่สอง และได้รับเอกราชในหลายปีต่อมา

ภาษีถูกเรียกเก็บในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยรัฐบาลกลาง, แต่ละรัฐและรัฐบาลระดับท้องถิ่น ภาษีเหล่านี้รวมถึง ภาษีรายได้, เงินเดือน, ทรัพย์สิน, การขาย, นำเข้า, ที่ดินและของขวัญ รวมทั้ง ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในปี 2010 ภาษีที่จัดเก็บโดยรัฐบาลกลาง, รัฐ และเทศบาลมีจำนวน 24.8 % ของ GDP. ในช่วงปีงบประมาณ 2012 รัฐบาลกลางเก็บรายได้จากภาษีได้ประมาณ 2.45 ล้านล้าน $, เพิ่มขึ้น $ 147 พันล้าน หรือ 6% เมื่อเทียบกับรายได้ของปีงบประมาณ 2011 ที่มีรายได้ $ 2.30 ล้านล้าน หมวดหมู่หลักที่ได้รับ ประกอบด้วย ภาษีรายได้ส่วนบุคคล ($ 1,132 พันล้าน หรือ 47%), ภาษีประกันสังคม ($ 845 พันล้าน หรือ 35%) และ ภาษีนิติบุคคล ($ 242 พันล้าน หรือ 10%).

ภาษีอากรสหรัฐอเมริกาโดยทั่วไปเป็นแบบก้าวหน้า, โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษีรายได้ของรัฐบาลกลาง และเป็นหนึ่งในแบบก้าวหน้าที่สุดในโลกที่พัฒนาแล้ว แต่ อุบัติการณ์ของภาษีเงินได้นิติบุคคลได้เป็นเรื่องของการความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องมากมานานหลายทศวรรษ. ในปี 2009 10% ของผู้มีรายได้สูงสุดเป็น 36 % ของรายได้ของประเทศ, ต้องจ่าย 78.2% ของภาระภาษีรายได้ส่วนบุคคลเก็บโดยรัฐบาลกลาง, ในขณะที่ 40% ของผู้มีรายได้ต่ำสุดไม่ต้องจ่ายภาษี. อย่างไรก็ตาม ภาษีเงินเดือนสำหรับประกันสังคมเป็นภาษีถอยหลังแบบคงที่ โดยไม่มีภาษีเรียกเก็บจากเงินได้ที่มากกว่า $ 113,700 และไม่มีภาษีทั้งสิ้นที่ต้องจ่ายจากรายได้ที่ไม่ได้หามาจากสิ่งต่างๆเช่นหุ้นและกำไรจากการขายหุ้น. เหตุผลทางประวัติศาสตร์สำหรับธรรมชาติถอยหลังของภาษีเงินเดือนก็คือโปรแกรมผู้มีสิทธิ ไม่ได้รับการมองว่าเป็นการโอนสวัสดิการ. ผู้มีรายได้สูงสุด 10% จ่าย 51.8% ของภาษีทั้งหมดของรัฐบาลกลางในปี 2009, และผู้มีรายได้สูงสุด 1%, ที่มี 13.4% ของรายได้ประชาชาติก่อนหักภาษี จ่าย 22.3% ของภาษีของรัฐบาลกลาง. ในปี 2013 ศูนย์นโยบายภาษีได้คาดการณ์อัตราภาษีของรัฐบาลกลางรวมที่มีประสิทธิภาพอยู่ที่ 35.5 % สำหรับผู้มีรายได้สูงสุด 1%, 27.2 % สำหรับ quintile สูงสุด, 13.8% สำหรับ quintile กลางและ -2.7% สำหรับ quintile ต่ำสุด. ภาษีรัฐและภาษีท้องถิ่นแตกต่างกันมาก, แต่โดยทั่วไปจะมี แบบก้าวหน้าน้อยกว่าภาษีของรัฐบาลกลาง เพราะพวกเขาต้องพึ่งพาอย่างมากกับภาษีการขายและภาษีทรัพย์สินที่แบกการถอยหลังที่กว้างที่ให้ผลตอบแทนกระแสรายได้ที่ผันผวนน้อยลง แม้ว่า การพิจารณาของพวกเขาไม่ได้กำจัดธรรมชาติความก้าวหน้าของการเก็บภาษีโดยรวม.

ในช่วงปีงบประมาณ 2012, รัฐบาลกลางใชัจ่าย 3.54 ล้านล้าน $ บนพื้นฐานงบประมาณหรือเงินสด, ลดลง $ 60 พันล้าน หรือ 1.7 % เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2011 ที่ใช้จ่ายไป $ 3.60 ล้านล้าน. ประเภทหลักของการใช้จ่ายในปีงบประมาณ 2012 ได้แก่: การดูแลทางการแพทย์ และ การช่วยเหลือทางการแพทย์ ($ 802 พันล้าน หรือ 23% ของการใช้จ่าย), ประกันสังคม ($ 768 พันล้าน หรือ 22%), กระทรวงกลาโหม ($ 670 พันล้าน หรือ 19%) ที่ไม่ใช่การป้องกันประเทศตามความจำเป็น ($ 615 พันล้าน หรือ 17%) อื่นๆบังคับ ($461 พันล้าน หรือ 13%) และดอกเบี้ย ($ 223 พันล้าน หรือ 6%).

ในเดือนมีนาคม 2013, หนี้ของรัฐบาลกลางสหรัฐที่ถือโดยประชาชนมีประมาณ 11.888 ล้านล้าน $ หรือประมาณ 75% ของจีดีพีสหรัฐ การถือครองของหนี้ภายในรัฐบาลของแต่ละรัฐอยู่ที่ $ 4.861 ล้านล้าน, ทำให้เป็นหนี้โดยรวม $ 16.749 ล้านล้าน. ในปี 2012 หนี้ของรัฐบาลกลางรวมได้เกิน 100% ของจีดีพีสหรัฐ. สหรัฐอเมริกามีอันดับเครดิตที่ AA+ จากการจัดอันดับของบริษัท Standard & Poor, AAA จากบริษัท ฟิทช์ และ Aaa จากบริษัท มูดี้ส์.

ในประวัติศาสตร์, หนี้สาธารณะสหรัฐที่เป็นส่วนแบ่งของ GDP จะเพิ่มขึ้นในช่วงสงครามและการ ถดถอยของเศรษฐกิจ, และต่อมาจะปรับตัวลดลง ตัวอย่างเช่น หนี้ที่ถือโดยประชาชนเป็นส่วนแบ่งของ GDP ได้พุ่งสูงสุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (113 % ของ GDP ในปี 1945) แต่จากนั้นก็ลดลงกว่า 30 ปีต่อมา, ในทศวรรษที่ผ่านมา การขาดดุลงบประมาณจำนวนมากและการส่งผลให้หนี้เพิ่มขึ้นได้นำไปสู่??ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนในระยะยาวของนโยบายการคลังของรัฐบาลกลาง. อย่างไรก็ตาม ความกังวลเหล่านี้จะไม่ได้ถูกแชร์อย่างกว้างขวาง.

ประธานาธิบดีอยู่ในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังติดอาวุธของประเทศและแต่งตั้งผู้นำของกองกำลัง, นั่นคือรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าคณะผู้บริหารร่วม กระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาบริหารกองทัพ, รวมทั้งกองทัพบก, กองทัพเรือ, นาวิกโยธิน, และ กองทัพอากาศ หน่วยยามฝั่งจะดำเนินการโดยกระทรวงความมั่นคงดินแดน(ในยามสงบ) และ โดยกรมทหารเรือ (ในช่วงเวลาสงคราม) ในปี 2008 กองกำลังติดอาวุธมี 1.4 ล้านบุคลากรในการปฏิบัติหน้าที่ กองกำลังสำรองและกองกำลังป้องกันแห่งชาติทำให้จำนวนรวมของกองกำลังมีจำนวน 2.3 ล้าน กระทรวงกลาโหมยังจ้างงานประมาณ 700,000 พลเรือน, ไม่รวมผู้รับเหมา.

การรับราชการทหารเป็นความสมัครใจ, แม้ว่าการเกณฑ์ทหารอาจเกิดขึ้นในช่วงสงครามผ่าน Selective Service System. กองกำลังอเมริกันสามารถใช้งานอย่างรวดเร็วโดยกองเรือขนาดใหญ่ของเครื่องบินขนส่งของกองทัพอากาศ, 10 เรือบรรทุกเครื่องบิน ที่พร้อมใช้งานของกองทัพเรือ, และ หน่วยนาวิกโยธินเคลื่อนที่เร็วในทะเลที่มีกองเรือในแอตแลนติคและแปซิฟิกของกองทัพเรือ กองทัพดำเนินการ 865 ฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างประเทศ, และรักษาสภาพการจ้างงานมากกว่า 100 บุคลากรประจำการใน 25 ประเทศ. ขอบเขตของการวางกำลังทางทหารทั่วโลก นี้ ได้ทำให้นักวิชาการบางคนพยายามอธิบายว่าสหรัฐอเมริกากำลังรักษา"อาณาจักรของฐานทัพ".

งบประมาณทางทหารของสหรัฐอเมริกาในปี 2011 มีจำนวนกว่า $ 700 พันล้าน, 41% เป็นการใช้จ่ายทั่วโลกและ เท่ากับ ค่าใช้จ่ายทางทหารของ 14 ชาติที่ใหญ่ที่สุดอันดับรองลงไปร่วมกัน. ที่ 4.7% ของ GDP, เป็นอัตราสูงสุดเป็นที่สองในงบทางทหาร 15 ประเทศที่ใช้สูงสุด ตามหลัง ซาอุดีอาระเบีย. การใช้จ่ายเพื่อป้องกันของสหรัฐเมื่อเทียบเป็นร้อยละของจีดีพี เป็นอันดับที่ 23 ของโลกในปี 2012 ตามข้อมูลของ ซีไอเอ. ค่าใช้จ่ายของกระทรวงกลาโหมของสหรัฐ ได้ลดลงโดยทั่วไปในหลายทศวรรษที่ผ่านมา จากยอดสุดช่วงสงครามเย็นที่ 14.2% ของ GDP ในปี 1953 และ 69.5% ของค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางใน 1954 ลงมาที่ 4.7 % ของ GDP และ 18.8 % ของค่าใช้จ่ายของรัฐบาลกลางในปี 2011.

ฐานของงบประมาณแผนกป้องกันปี 2012 ถูกนำเสนอที่ $ 553 พันล้าน เพิ่มขึ้น 4.2% จากปี 2011; นั่นคือเพิ่ม $ 118 พันล้านสำหรับแคมเปญทางทหารในอิรักและอัฟกานิสถาน กองกำลังชุดสุดท้ายในอิรักได้ออกมาในเดือนธันวาคม 2011. 4,484 นายถูกฆ่าตายในระหว่างสงครามอิรัก ประมาณ 90,000 กองกำลังสหรัฐได้ทำการ ในอัฟกานิสถานในเดือนเมษายน ปี 2012. ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2013, 2,285 นายถูกฆ่าตายในระหว่างสงครามในอัฟกานิสถาน

การบังคับใช้กฎหมายในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นความรับผิดชอบหลักของตำรวจท้องที่ และหน่วยงานของนายอำเภอ ที่มีตำรวจของรัฐให้บริการในวงกว้าง หน่วยงานรัฐบาลกลาง เช่นสำนักงานสืบสวนกลาง (FBI) และ Marshals Service ของสหรัฐฯ มีหน้าที่เชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง. ในระดับรัฐบาลกลางและในเกือบ ทุกรัฐ, หน่วยนิติศาสตร์ดำเนินการกับระบบกฎหมายทั่วไป ศาลของรัฐดำเนินการสอบสวนทางอาญาเป็นส่วนใหญ่ ศาลรัฐบาลกลางจัดการกับอาชญากรรมที่กำหนดบางอย่าง เช่นเดียวกับงานอุทรณ์บางอย่างจากศาลอาญาของรัฐ การเจรจาต่อรองคำร้องในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเรื่องธรรมดามาก ส่วนใหญ่ของกรณีความผิดทางอาญาในประเทศมีการตัดสินโดยเจรจาต่อรองมากกว่าการพิจารณาคดีโดยลูกขุน.

ในปี 2012 มีการฆาตกรรม 4.7 ต่อ 100,000 คนในประเทศสหรัฐอเมริกา, ลดลง 54% จากจุดสูงสุดที่ ??10.2 ในปี 1980. ในระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว, ประเทศสหรัฐอเมริกามีระดับความรุนแรงของอาชญากรรมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับของความรุนแรงที่ใช้ปืนและฆาตกรรมที่สูง. การวิเคราะห์ภาคตัดขวางของฐานข้อมูล การตายขององค์การอนามัยโลก จากปี 2003 แสดงให้เห็นว่า "อัตราการฆาตกรรมในสหรัฐอเมริกา เป็น 6.9 เท่าสูงกว่าอัตราของประเทศที่มีรายได้สูงอื่นๆ, ถูกขับเคลื่อนโดย อัตราการฆาตกรรมด้วยปืนที่สูงกว่า 19.5 เท่า" สิทธิการเป็นเจ้าของปืนยังคงเป็นหัวข้อของการถกเถียง อภิปรายทางการเมือง

โทษประหาร ถูกคว่ำบาตรในสหรัฐอเมริกาสำหรับการก่ออาชญากรรมของรัฐบาลกลางและการทหารบางอย่างและถูกใช้ใน 32 รัฐ. ไม่มีการประหารชีวิตเกิดขึ้นระหว่างปี 1967-1977 เนื่องจากการตัดสินของศาลฎีกาสหรัฐที่ตัดสิทธ์การกำหนดโทษประหารชีวิตโดยพละการ. ในปี 1976 ที่ศาลตัดสินว่า, ภายใต้สถานการณ์ที่เหมาะสม, โทษประหารอาจ จะถูกบังคับใช้ได้ตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจาก การตัดสินประหารชีวิตมีกว่า 1,300 คดี ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในสามรัฐ; เท็กซัส, เวอร์จิเนีย และโอกลาโฮมา ในขณะเดียวกัน หลายรัฐได้ยกเลิกหรือตัดทิ้งกฎหมายโทษประหารชีวิต ในปี 2010 สหรัฐมีจำนวนการประหารสูงสุดเป็นอันดับห้าของโลก ต่อจาก จีน, อิหร่าน, เกาหลีเหนือ และเยเมน.

ประเทศสหรัฐอเมริกามีอัตราการจำคุกสูงสุดและมีประชากรคุกรวมที่ถูกบันทึกไว้มากที่สุดในโลก. ในช่วงเริ่มต้นของปี 2008, มากกว่า 2.3 ล้านคนถูกคุมขัง, มากกว่าหนึ่งคนในทุกๆผู้ใหญ่ 100 คน. ประชากรคุกได้เพิ่มเป็นสี่เท่าตั้งแต่ปี 1980. ชายแอฟริกันอเมริกันจะถูกจำคุกอยู่ที่ประมาณหกเท่าของอัตราของชายผิวขาว และสามเท่าของอัตราของชายเชื้อสายสเปน. อัตราของการจำคุกของสหรัฐที่สูงส่วนใหญ่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในแนวทางการพิจารณาและนโยบาย ยาเสพติด. ในปี 2008 หลุยเซียนามีอัตราโทษจำคุกสูงสุด และรัฐเมน ต่ำสุด. ในปี 2012 หลุยเซียนามีอัตราที่สูงที่สุดของการฆาตกรรมและการฆาตกรรมที่ไตร่ตรองไว้ก่อนในสหรัฐอเมริกา และมลรัฐนิวแฮมป์เชียร์ ต่ำสุด.

สหรัฐมีเศรษฐกิจทุนนิยมผสมที่ขับเคลื่อนโดยทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และผลผลิตที่สูง สอดคล้องกับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ, GDP ของสหรัฐอยู่ที่ 17.1 ล้านล้าน $ ถือว่าเป็น 22% ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่อัตราแลกเปลี่ยนตลาด และกว่า 19 % ของผลิตภัณฑ์รวมของโลกที่กำลังซื้อเท่าเทียมกัน(อังกฤษ: purchasing power parity (PPP)) แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าของประเทศอื่นๆ จีดีพีของชาติเป็นประมาณ 5% เล็กกว่า PPP ในปี 2011 ของสหภาพยุโรปที่มีประชากรประมาณมากกว่า 62% จากปี 1983 ถึงปี 2008, อัตราการเจริญเติบโตแบบทบต้นต่อปีของจีดีพีสหรัฐอยู่ที่ 3.3% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก 2.3% สำหรับส่วนที่เหลือของประเทศ G7 ประเทศนี้อยู่ในอันดับที่เก้าของโลกด้านจีดีพีโดยประมาณต่อหัวประชากรและอันดับที่หกด้าน GDP ต่อหัวที่ PPP. ค่าเงินดอลลาร์ สหรัฐเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก.

สหรัฐเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของสินค้าและเป็นผู้ส่งออกใหญ่เป็นอันดับสองแม้ว่าการส่งออกต่อหัวจะค่อนข้างต่ำ ในปี 2010 การขาดดุลรวมทางการค้าของสหรัฐอยู่ที่ $ 635 พันล้าน. แคนาดา, จีน, เม็กซิโก, ญี่ปุ่นและเยอรมนีเป็นคู่ค้าสูงสุด. ในปี 2010, น้ำมันเป็นสินค้านำเข้าที่ใหญ่ที่สุด ในขณะที่อุปกรณ์การขนส่งเป็นสินค้าส่งออกที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ. จีนเป็นผู้ถือต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกา.

ในปี 2009 ภาคเอกชนคาดว่าจะเป็น 86.4 % ของเศรษฐกิจ โดยที่กิจกรรมของรัฐบาลกลางคิดเป็น 4.3% และกิจกรรมของรัฐและรัฐบาลท้องถิ่น(รวมถึงการโอนของรัฐบาลกลาง)เป็นส่วนที่เหลืออีก 9.3%. ในขณะที่เศรษฐกิจของประเทศได้เข้าถึงระดับหลังอุตสาหกรรม (อังกฤษ: postindustrial) ของการพัฒนา และภาคบริการของประเทศที่ถือว่าเป็น 67.8% ของจีดีพี, สหรัฐก็ยังคงเป็นพลังอุตสาหกรรม สาขาธุรกิจชั้นนำเมื่อคิดตามใบเสร็จรับเงินรวมของธุรกิจคือค้าส่งและค้าปลีก เมื่อคิดตามรายได้สุทธิ ธุรกิจชั้นนำเป็นการผลิต.

ผลิตภัณฑ์เคมีเป็นสาขาการผลิตชั้นนำ. สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับสามของโลก และเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ที่สุดของโลกด้วย. สหรัฐยังอันดับหนึ่งของโลกของผู้ผลิตพลังงานไฟฟ้าและนิวเคลียร์ เช่นเดียวกับก๊าซธรรมชาติเหลว, กำมะถัน, ฟอสเฟต และเกลือ ในขณะที่ภาคเกษตรมีสัดส่วนน้อยกว่า 1% ของ GDP สหรัฐเป็นผู้ผลิตข้าวโพดชั้นนำของโลก และถั่วเหลือง สำนักบริการสถิติการเกษตรแห่งชาติเก็บรักษาสถิติการเกษตรสำหรับผลิตภัณฑ์ประกอบด้วย ถั่วลิสง, โอ๊ต, ไรย์, ข้าวสาลี, ข้าว, ผ้าฝ้าย, ข้าวโพด, ข้าวบาร์เลย์, หญ้าแห้ง, ดอกทานตะวัน และพืชน้ำมัน นอกจากนี้ กรมวิชาการเกษตรของสหรัฐ (USDA ) จัดหาสถิติเกี่ยวกับปศุสัตว์เช่น เนื้อวัว, เนื้อไก่, เนื้อหมู พร้อมกับผลิตภัณฑ์นม สมาคมการทำเหมืองแร่แห่งชาติให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับถ่านหินและแร่ธาตุที่รวมถึง เบริลเลียม, ทองแดง, ตะกั่ว, แมกนีเซียม, สังกะสี, ไทเทเนียม และอื่นๆ. ในรูปแบบธุรกิจแฟรนไชส์??, McDonald และ Subway เป็นสองแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก โคคาโคล่าเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในโลก

การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีสัดส่วนเป็น 71% ของเศรษฐกิจสหรัฐในปี 2013. ในเดือนสิงหาคม 2010, แรงงานอเมริกันประกอบด้วย 154.1 ล้านคน มี 21.2 ล้านคนเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งรัฐเป็นสนามชั้นนำของการจ้างงาน การจ้างงานภาค เอกชนที่ใหญ่ที่สุดคือการดูแลสุขภาพและการช่วยเหลือสังคม มีจำนวน 16.4 ล้านคน ประมาณ 12% ของคนงานอยู่ในสหภาพ เมื่อเทียบกับ 30% ในยุโรปตะวันตก ธนาคารโลกจัดอันดับประเทศสหรัฐอเมริกาให้เป็นที่หนึ่งในความสะดวกในการจ้างงานและปลดออกจากงาน สหรัฐอเมริกาเท่านั้นที่เป็นเศรษฐกิจขั้นสูงที่ไม่รับประกันคนงานว่าจะได้รับค่าแรงในวันหยุด และเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศเท่านั้นใน โลกที่ไม่จ่ายเงินลาพักกับครอบครัวตามสิทธิตามกฎหมาย เหมือนกับประเทศอื่นๆเช่น ปาปัวนิวกินี, ซูรินาม และไลบีเรีย. ในปี 2009 ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับสามในโลกสำหรับผลผลิตแรงงานสูงที่สุดต่อคน ตามหลัง ลักเซมเบิร์กและนอร์เวย์ เป็นที่สี่สำหรับผลผลิตต่อชั่วโมง ตามหลังสองประเทศข้างต้นและ เนเธอร์แลนด์.

ภาวะถดถอยทั่วโลกระหว่างปี 2008 ถึง 2012 มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญสำหรับประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีการส่งออกยังคงต่ำกว่าศักยภาพที่มีตามรายงานของสำนักงบประมาณรัฐสภา. การถดถอยนำไปสู่การว่างงานที่สูง (ซึ่งถูกทำให้ลดลง แต่ยังคงสูงกว่าระดับ ก่อนภาวะถดถอย) พร้อมด้วยความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ต่ำ, มูลค่าบ้านที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มขึ้นในการเข้ายึดและการล้มละลายส่วนบุคคล, วิกฤตหนี้ที่เพิ่มขึ้นของรัฐบาลกลาง, อัตราเงินเฟ้อและราคาน้ำมันปิโตรเลียมและราคาอาหารที่เพิ่มขึ้น ยังคงมีการบันทึกสัดส่วนการตกงานในระยะยาว, รายได้ของครัวเรือนลดลงอย่างต่อเนื่อง และภาษีและงบประมาณของรัฐบาลกลางที่เพิ่มขึ้น การสำรวจในปี 2011 พบว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของ ชาวอเมริกันทั้งหมดคิดว่าสหรัฐยังคงอยู่ในภาวะถดถอยหรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้า แม้จะมี ข้อมูลอย่างเป็นทางการที่แสดงให้เห็นการฟื้นตัวอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวเป็นประวัติศาสตร์

ข้อมูลเพิ่มเติม: รายได้ในประเทศสหรัฐอเมริกา, ความยากจนในประเทศสหรัฐอเมริกา และ ความมั่งคั่งในประเทศสหรัฐอเมริกา

ชาวอเมริกันมีรายได้ในครัวเรือนและจากการจ้างงานเฉลี่ยสูงสุดในหมู่ประชาชาติ OECD และในปี 2007 มีรายได้ครัวเรือนเฉลี่ยที่สูงที่สุดเป็นอันดับสอง อ้างอิงถึงสำนักสำรวจสำมะโนประชากร รายได้ครัวเรือนเฉลี่ยจริงคือ $ 50,502 ในปี 2011, ลดลงจาก $ 51,144 ในปี 2010 รายงานของดัชนีความมั่นคงด้านอาหารโลกได้สหรัฐเป็นที่หนึ่งสำหรับความสามารถในการจ่ายค่าอาหารและความมั่นคงด้านอาหารโดยรวมในเดือนมีนาคมปี 2013. ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยมีพื้นที่ที่อยู่อาศัยต่อหน่วยต่อคนเป็นสองเท่า มากกว่าที่ผู้ที่อยู่ในสหภาพยุโรป และมากกว่าทุกประเทศในสหภาพยุโรป

ความมั่งคั่ง, เช่นรายได้และภาษี, มีความกระจุกตัวสูง; นั่นคือ 10% ของประชากรที่เป็นผู้ใหญ่ที่ร่ำรวยที่สุดครอบครอง 72% ของความมั่งคั่งในครัวเรือนของประเทศ ในขณะที่ ครึ่งล่างครอบครองเพียง 2%. นี่คือส่วนแบ่งสูงสุดอันดับสองในหมู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว. ในปี 2013 โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติหรือ UNDP จัดอันดับของสหรัฐอเมริกาเป็นที่ 16 ในหมู่ 132 ประเทศสำหรับดัชนีการพัฒนามนุษย์ที่ไม่เท่าเทียมกัน (อังกฤษ: inequality-adjusted human development index (IHDI)) 13 ตำแหน่งต่ำกว่า HDI มาตรฐาน. ได้มีการขยายช่องว่างระหว่างผลผลิตและรายได้เฉลี่ย ตั้งแต่ปี 1970s. ในขณะที่ รายได้ของครัวเรือนที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อ("จริง") ถูกทำให้เพิ่มขึ้นเกือบทุกปีตั้งแต่ปี 1947 ถึง 1999, ตั้งแต่นั้นมันเท่าเดิมและลดลงด้วยซ้ำ เมื่อเร็วๆนี้.

การเพิ่มขึ้นในส่วนแบ่งของรายได้รวมประจำปีที่ได้รับจากยอดร้อยละ 1 ซึ่งเป็นมากกว่าสองเท่าจากร้อยละ 9 ในปี 1976 เป็นร้อยละ 20 ในปี 2011ได้มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมกันของรายได้ ปล่อยให้สหรัฐเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการกระจายของรายได้ที่กว้างที่สุดในหมู่ประเทศ OECD. รายได้ที่ได้รับหลังภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นไปไม่สม่ำเสมออย่างมาก ด้วยยอดร้อยละ 1 จะได้รับร้อยละ 95 ของรายได้จากปี 2009 ถึงปี 2012. ระหว่าง มิถุนายน 2007 ถึง พฤศจิกายน 2008 ภาวะถดถอยทั่วโลกนำไปสู่การลดลงของราคาสินทรัพย์ทั่วโลก สินทรัพย์ที่ชาวอเมริกันเป็นเจ้าของได้หายไปประมาณหนึ่งในสี่ของค่าของพวกมัน ตั้งแต่ขึ้นสูงสุดในไตรมาสที่สองของปี 2007 ความมั่งคั่งของครัวเรือนลดลง $ 14 ล้านล้าน. ในตอนท้ายของปี 2008 หนี้ครัวเรือนมีจำนวน 13.8 ล้านล้าน $.

อ้างถึงการสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐปี 2011, เกือบครึ่งของครัวเรือนถูกพิจารณาว่ายากจนหรือรายได้ต่ำ (มีรายได้ $45,000 ต่อปีหรือน้อยกว่าสำหรับครอบครัวสี่คน). มีประชากรไร้บ้านแบบที่มีกำบังและไม่มีที่กำบังประมาณ 643,000 รายในสหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม 2009, ที่เกือบสองในสามจะอยู่ในที่พักฉุกเฉินหรืออยู่ในโปรแกรมที่อยู่อาศัยเฉพาะกาล ในปี 2011 เด็ก 16.7 ล้านคนอาศัยอยู่ในครัวเรือนที่ไม่มั่นคงด้านอาหาร, ซึ่งเป็นประมาณ 35% มากกว่าระดับปี 2007, แม้ว่าจะมีเพียง 1.1% ของเด็กอเมริกันหรือ 845,000 คนที่ได้เห็น การบริโภคอาหารลดลง หรือ มีรูปแบบการรับประทานอาหารที่ไม่เป็นระบบในบางเวลาระหว่างปี และกรณีส่วนใหญ่ไม่เรื้อรัง.

การขนส่งส่วนบุคคลถูกครอบงำด้วยรถยนต์, ซึ่งทำงานบนเครือข่ายของ 13 ล้านถนน, รวมทั้งหนึ่งในระบบทางหลวงที่ยาวที่สุดในโลก ตลาดรถยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก สหรัฐอเมริกามีอัตราสูงสุดของเจ้าของรถของต่อหัวของโลกโดยมีถึง 765 คันต่อ 1,000 คนอเมริกัน ประมาณ 40% ของยานพาหนะส่วนบุคคลเป็นรถตู้, ออฟโรดหรือรถบรรทุกเบา ผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ย(นับรวมหมดทั้งผู้ขับและผู้ที่ไม่ขับ)ใช้เวลา 55 นาทีขับรถ ทุกวัน, เดินทาง 29 ไมล์(47 กิโลเมตร)

ขนส่งมวลชนให้บริการ 9 % จากการเดินทางไปทำงานทั้งหมดในสหรัฐอเมริกา ในขณะที่การขนส่งสินค้าทางรถไฟถูกใช้อย่างกว้างขวาง, ค่อนข้างน้อยคนที่ใช้รถไฟในการเดินทาง แม้ว่าผู้โดยสารบน Amtrak (ระบบรถไฟผู้โดยสารระหว่างเมืองแห่งชาติ)จะขยายตัวเกือบ 37% ระหว่าง ปี 2000 และ 2010 นอกจากนี้ การพัฒนาระบบรางขนาดเบาได้เพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การใช้จักรยานไปทำงานมีน้อย

อุตสาหกรรมการบินพลเรือนเป็นของเอกชนทั้งหมด และได้รับการดำเนิการอย่างอิสระตั้งแต่ปี 1978 ในขณะที่สนามบินที่สำคัญส่วนใหญ่จะเป็นของรัฐ สามสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในโลกนับจากจำนวนผู้โดยสารเป็นของสหรัฐ; อเมริกันแอร์ไลน์เป็นที่หนึ่งหลังจากเข้าซื้อกิจการของสายการบิน US Airways ในปี 2013 ในจำนวน 30 สนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลก, 16 สนามบินอยู่ในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งที่ติดอันดับพลุกพล่านที่สุดได้แก่ สนามบินนานาชาติ Hartsfield - Jackson แอตแลนตา

ตลาดพลังงานสหรัฐอเมริกาเป็น 29,000 terawatt ชั่วโมงต่อปี การใช้พลังงานต่อหัวคือ 7.8 ตันเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อปี อัตราที่สูงที่สุดอันดับ 10 ของโลกในปี 2005 , 40% ของพลังงานนี้มาจากปิโตรเลียม, 23% จากถ่านหินและ 22% จากก๊าซธรรมชาติ ส่วนที่เหลือได้รับพลังงานนิวเคลียร์และแหล่งพลังงานหมุนเวียน สหรัฐอเมริกาเป็นผู้บริโภคปิโตรเลียมที่ใหญ่ที่สุดของโลก

สำหรับหลายทศวรรษที่ผ่านมา พลังงานนิวเคลียร์มีบทบาทที่จำกัดเมื่อเทียบกับหลายประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรับรู้ของประชาชนเนื่องจากอุบัติเหตุในปี 1979 ในปี 2007 การใช้งานหลายประการสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหม่ถูกฟ้อง สหรัฐอเมริกามี 27% ของปริมาณสำรองถ่านหินทั่วโลก สหรัฐเป็นผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ระบบการศึกษาในสหรัฐอเมริกาควบคุมโดยแต่ละรัฐแยกจากกัน เด็กทุกคนจะถูกให้เรียนจบในระดับไฮสคูล และจบในระดับชั้นเกรด 12 หรือเทียบเท่า โดยผู้ปกครองสามารถเลือกให้ลูกเรียนที่โรงเรียนรัฐบาล หรือโรงเรียนเอกชน นอกจากนี้ยังมีผู้ปกครองบางกลุ่ม ที่สอนให้ลูกเรียนด้วยตนเองที่บ้านหรือในชุมชนซึ่งเรียกลักษณะนี้ว่าโฮมสคูล ภายหลังจากจบการศึกษา นักเรียนสามารถเลือกเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยทั้งในมหาวิทยาลัยรัฐหรือมหาวิทยาลัยเอกชน โดยนักเรียนสามารถกู้เงินจากทางธนาคารหรือหน่วยงานราชการสำหรับจ่ายเป็นค่าเล่าเรียนในระดับนี้ และจ่ายคืนภายหลังจบการศึกษา มหาวิทยาลัยเอกชนส่วนใหญ่ค่าเรียนจะแพงกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ ในขณะที่คุณภาพของมหาวิทยาลัยบางแห่งเทียบเท่า ดีกว่า หรือด้อยกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ นอกจากนี้นักเรียนสามารถเลือกเรียนในวิทยาลัยชุมชนที่ค่าเรียนถูกกว่าทั้งมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนในช่วง 2 ปีแรก และโอนหน่วยกิตไปเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอื่นในช่วงต่อมาได้ มหาวิทยาลัยที่สำคัญในสหรัฐอเมริกาเช่น มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยเยล มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยคอร์เนลล์ และ มหาวิทยาลัยชิคาโก เป็นต้น

สหรัฐอเมริกามีอัตราการอ่านออกเขียนได้ค่อนข้างสูง โดยมีค่า 86-98% ของประชากรที่อายุมากกว่า 15 ปี

ประเทศสหรัฐอเมริกาได้เป็นผู้นำในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางเทคโนโลยีมาตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ในปี ค.ศ. 1876 ??อเล็กซานเดอร์ แกรฮ์ม เบลล์ ได้รับสิทธิบัตรโทรศัพท์ชิ้นแรกของสหรัฐอเมริกา ห้องปฏิบัติการโทมัส เอดิสัน ได้พัฒนาหีบเสียง, หลอดไฟใช้งานได้ยาวนานหลอดแรกและกล้องถ่ายหนังที่ทำงานได้ตัวแรก ในต้นศตวรรษที่ 20, บริษัทรถยนต์ ของ Ransom E. Olds และเฮนรี่ ฟอร์ด สร้างสายการประกอบจนเป็นที่นิยม พี่น้องตระกูลไรท์, ในปี ค.ศ. 1903 ได้ทำการบินครั้งแรกที่ยั่งยืนและควบคุมได้ด้วยการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ที่หนักกว่าอากาศ

ความรุ่งเรืองของนาซีในปี 1930s ทำให้นักวิทยาศาสตร์ชาวยุโรปจำนวนมากรวมทั้ง Albert Einstein, เอนรีโก Fermi และจอห์น ฟอน นอยมันน์ อพยพไปยังสหรัฐอเมริกา ในช่วง สงครามโลกครั้งที่สอง โครงการแมนฮัตตันได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์เป็นการนำไปสู่ยุคของอะตอม การแข่งขันด้านอวกาศสร้างความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วด้านจรวด, วัสดุศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ความก้าวหน้าของบริษัทไมโครโปรเซสเซอร์ของสหรัฐ เช่น Advanced Micro Devices (AMD ) และ Intel พร้อมกับบริษัทคอมพิวเตอร์ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ เช่น Sun Microsystems, IBM, GNU-ลินุกซ์, แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์และไมโครซอฟท์ทำให้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นที่นิยม

รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้พัฒนาอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ ARPANET และทายาทของมัน- อินเทอร์เน็ตของกระทรวงกลาโหม วันนี้ 64% ของทุนของการวิจัยและพัฒนามาจากภาคเอกชน สหรัฐอเมริกา นำโลกไปสู่??ในงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และปัจจัยที่ส่งผลกระทบ(อังกฤษ: impact factor) ณ เดือนเมษายน 2010, 77% ของครัวเรือนอเมริกันเป็นเจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างน้อยหนึ่งเครื่อง และ 68 % มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 85% ของชาวอเมริกันยังเป็นเจ้าของโทรศัพท์มือถือ ณ ปี 2011 ประเทศนี้ยังเป็นผู้พัฒนาและผู้ปลูกหลักของอาหารที่ถูกดัดแปลงพันธุกรรมที่เป็นตัวแทนของครึ่งหนึ่งของพืชเทคโนโลยีชีวภาพของโลก

ดูเพิ่มเติม: การดูแลสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา การปฏิรูปการดูแลสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกา และ การประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกา

ประชากรสหรัฐอเมริกามีอายุขัยที่ 78.4 ปี เพิ่มขึ้นจาก 75.2 ปีในปี 1990, อยู่ในอันดับที่ 50 ใน 221 ประเทศ และที่ 27 จาก 34 ประเทศอุตสาหกรรม OECD ลดลงจากที่ 20 ในปี 1990 การเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนในสหรัฐอเมริกาและการปรับปรุงสุขภาพอื่นๆได้มีส่วนร่วมในการลด อันดับของประเทศด้านอายุขัยจากปี 1987 เมื่อตอนนั้นมันเป็นที่ 11 ของโลก อัตราโรคอ้วนในสหรัฐอเมริกาอยู่ในกลุ่มที่สูงที่สุดในโลก ประมาณหนึ่งในสามของประชากรผู้ใหญ่เป็นโรคอ้วนและอีกหนึ่งในสามมีน้ำหนักเกิน อัตราโรคอ้วน, สูงที่สุดในโลกอุตสาหกรรม, มีมากกว่าสองเท่าในรอบ 25 ปีของศตวรรษที่ผ่านมา โรคเบาหวานประเภท 2 ที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนถูกถือว่าเป็นโรคระบาด โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ อัตราการตายของทารกอยู่ที่ 6.06 ต่อพันทำให้สหรัฐอยู่ในอันดับที่ 176 สูงที่สุดจาก 222 ประเทศ

ในปี 2010 โรคหลอดเลือด, มะเร็งปอด, โรคหลอดเลือดสมอง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, และอุบัติเหตุการจราจร เป็นสาเหตุการตายมากที่สุดในสหรัฐ โรคปวดหลัง, ซึมเศร้า, ความผิดปกติของกล้ามเนื้อ, ปวดคอ และความวิตกกังวลเป็นสาเหตุของความพิการ ปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอันตราย มากที่สุดคือการอดอาหารที่ไม่ดี, การสูบบุหรี่, โรคอ้วน, ความดันโลหิตสูง, น้ำตาลในเลือดสูง, ขาดการออกกำลังกาย และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โรคอัลไซเมอร์, ยาเสพติด, โรคไตและ โรคมะเร็งและการหกล้มทำให้เกิดการเสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบต่อหัวของอัตราในปี 1990 อัตราการตั้งครรภ์และการทำแท้งของวัยรุ่นสหรัฐสูงกว่าใน ประเทศตะวันตกอื่นๆเป็นอย่างมาก

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำของโลกในด้านนวัตกรรมทางการแพทย์ อเมริกาได้พัฒนาหรือมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญถึง 9 ใน 10 ของนวัตกรรมทางการแพทย์ที่สำคัญมากที่สุดนับตั้งแต่ 1975 จาก การสำรวจความคิดเห็นของแพทย์ในปี 2001 ในขณะที่สหภาพยุโรปและสวิสร่วมกันมีส่วนร่วมที่ห้านวัตกรรม ตั้งแต่ปี 1966 ชาวอเมริกันได้รับรางวัลโนเบลด้านการแพทย์มากกว่าส่วนที่เหลือของโลก จากปี 1989 ถึง 2002, เงินลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพเอกชนในอเมริกามาก กว่าในยุโรปถึงสี่เท่า ระบบการดูแลสุขภาพของสหรัฐอเมริกาใช้เงินมากกว่า ของประเทศอื่นๆมากเมื่อวัดทั้งในการใช้จ่ายต่อหัวและร้อยละของจีดีพี การคุ้มครองดูแลสุขภาพในสหรัฐเป็นการรวมกันของความพยายามทางภาครัฐและเอกชนและไม่ถ้วนหน้า ในปี 2010 ผู้อยู่อาศัย 49.9 ล้านคน หรือ 16.3 % ของประชากรไม่มีประกันสุขภาพ หัวข้อเกี่ยวกับชาวอเมริกันที่ไม่มีประกันสุขภาพและมีประกันที่ต่ำเกินไปเป็นประเด็นทางการเมือง ที่สำคัญ ในปี 2006 รัฐแมสซาชูเซตได้กลายเป็นรัฐแรกที่จะบังคับหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การออกกฎหมายของรัฐบาลกลางที่ผ่านมาในช่วงต้นปี 2010 มุ่งจะสร้างระบบประกันสุขภาพใกล้ถ้วนหน้าทั่วประเทศในปี 2014 แม้ว่ากฎหมายและผลกระทบยิ่งยวดของมันยังเป็นปัญหาของความขัดแย้ง

ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นบ้านของหลายวัฒนธรรม และความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์, ประเพณี และค่านิยม. นอกเหนือจากคนอเมริกันโดยกำเนิดและชาวพื้นเมืองฮาวายที่ค่อนข้างน้อย อเมริกันหรือบรรพบุรุษของพวกเขาเกือบทุกคนได้อพยพมาตั้งรกรากหรือภายในห้าศตวรรษที่ผ่านมา. วัฒนธรรมของชาวอเมริกันที่เป็นกระแสหลักเป็นวัฒนธรรมตะวันตกที่แปลงมาจากขนบธรรมเนียมประเพณีของผู้อพยพชาวยุโรป ที่มีอิทธิพลจากแหล่งอื่นๆเป็นจำนวนมาก เช่นประเพณีที่ถูกนำมาโดยพวกทาส จากแอฟริกา. การอพยพล่าสุดจากเอเชียและโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากละตินอเมริกา ได้เพิ่มการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ได้รับการอธิบายว่า เป็นทั้งหม้อหลอมละลายเป็นเนื้อเดียวกัน และชามสลัดต่างชนิดกัน ในที่ซึ่งผู้อพยพและลูกหลานของพวกเขายังคงรักษา ลักษณะทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น.

แกนของวัฒนธรรมของชาวอเมริกันถูกก่อตั้งขึ้นโดยชาวอาณานิคมอังกฤษโปรเตสแตนต์ และถูกขึนรูปโดยกระบวนการการตั้งถิ่นฐานชายแดน ที่มีลักษณะชาติพันธ์ที่ถูกแปลงผ่านลงไปที่ลูกหลาน และส่งต่อไปยังผู้อพยพผ่านทางการดูดซึม ชาวอเมริกันมีคุณสมบัติเป็นประเพณีที่โดดเด่นด้วยจริยธรรมที่แข็งแกร่งทำงาน, ในการแข่งขัน และการแสวงหาผลประโยชน์ เช่นเดียวกับความเชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวใน"หลักความเชื่อถือแบบอเมริกัน" ที่เน้นเสรีภาพ, ความเสมอภาค, ทรัพย์สินส่วนตัว, ประชาธิปไตย, กฎหมาย และความพอใจสำหรับการปกครองที่จำกัด. ชาวอเมริกันสร้างกุศลอย่างมากตามมาตรฐานโลก สอดคล้องกับการศึกษาของอังกฤษในปี 2006 ชาวอเมริกันอุทิศ 1.67% ของ GDP เพื่อการกุศล มากกว่าประเทศอื่นๆ มากกว่าสองเท่าของตำแหน่งที่สองคืออังกฤษที่ 0.73 % และราวๆสิบสองเท่าของฝรั่งเศสที่ 0.14%.

ความฝันของอเมริกัน หรือการรับรู้ว่าชาวอเมริกันได้เพลิดเพลินกับการเคลื่อนไหวทางสังคมที่สูง มีบทบาทสำคัญในการดึงดูดผู้อพยพ. ไม่ว่าการรับรู้นี้จะเป็นจริงหรือไม่ มันได้เป็นหัวข้อของการอภิปราย. ในขณะที่วัฒนธรรมกระแสหลักถือว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นสังคมที่ไม่มีชนชั้น นักวิชาการได้ระบุความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างหลายชนชั้นทางสังคมของประเทศ ที่มีผลต่อสังคม, ภาษาและคุณค่า. ภาพพจน์ตัวเองของชาวอเมริกัน, มุมมองของสังคม และความคาดหวังทางวัฒนธรรม จะเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชีพของพวกเขา ไปยังระดับที่ใกล้ผิดปกติ. ในขณะที่ชาวอเมริกันมีแนวโน้มอย่างมากที่จะให้มูลค่าของความสำเร็จทางเศรษฐกิจและสังคม, การเป็นคนสามัญหรือระดับเฉลี่ย มีให้เห็นโดยทั่วไปว่าเป็นคุณลักษณะในทางบวก

นิทรรศการภาพเคลื่อนไหวเชิงพาณิชย์ที่จัดแสดงเป็นครั้งแรกของโลกถูกจัดขึ้นในมหานครนิวยอร์กในปี 1894 โดยใช้คิเนโตสโคป ของโทมัส เอดิสัน ปีต่อมาก็ได้เห็นการแสดงที่ฉายบนฉากของฟิล์มภาพยนตร์เชิงพาณิชย์ครั้งแรก, ยังแสดงในนิวยอร์ก,และ สหรัฐอเมริกาอยู่ในแถวหน้าของการพัฒนาภาพยนตร์เสียงในฟิล์มในหลายทศวรรษต่อมา ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 , อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของสหรัฐมีฐานที่กว้างใหญ่ในและรอบๆฮอลลีวู้ด แคลิฟอร์เนีย

ผู้อำนวยการ D.W. กริฟฟิท เป็นศูนย์กลางการพัฒนาของฟิล์มแกรมมาและ Citizen Kane ของ ออร์สัน เวลส์ (1941) มักถูกอ้างถึงว่าเป็นภาพยนตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล. นักแสดงหน้าจอชาวอเมริกันเช่น จอห์น เวย์นและ มาริลีน มอนโร ได้กลายเป็นบุคคลสำคัญที่โดดเด่น ในขณะที่ ผู้ผลิต/ผู้ประกอบการ วอลต์ ดิสนีย์ เป็นผู้นำทั้งในภาพยนตร์แอนิเมชันและ ภาพยนตร์ขายสินค้า ฮอลลีวูดยังเป็นหนึ่งในผู้นำในการผลิตภาพเคลื่อนไหว.

เวอร์ชันแรกๆของหนังสือพิมพ์การ์ตูนอเมริกันและหนังสือการ์ตูนอเมริกัน เริ่มปรากฏตัวในศตวรรษที่ 19 ในปี 1938 ซูเปอร์แมน, หนังสือการ์ตูนที่มีแก่นสารของ DC Comics, ถูกพัฒนาให้เป็นไอคอนของคนอเมริกัน สำนักพิมพ์หนังสือการ์ตูนเพิ่มเติม รวมถึง Marvel Comics, ที่ตั้งขึ้นในปี 1939, Image Comics, ที่ตั้งขึ้นในปี 1992, Dark Horse Comics, ที่ตั้งขึ้นในปี 1986, และบริษัทหนังสือการ์ตูนขนาดเล็กอีกจำนวนมาก ในการเฉลิมฉลองความสำเร็จของอุตสาหกรรม, การประชุม ประจำปีของการ์ตูนถูกจัดขึ้นที่ The San Diego Comic-Con International ซึ่งมีผู้เข้าร่วมกว่า 130,000 ผู้เข้าชม

ชาวอเมริกันเป็นผู้ชมโทรทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และเวลาการดูเฉลี่ยยังคงเพิ่มขึ้นถึงห้าชั่วโมงต่อวันในปี 2006. สี่เครือข่ายโทรทัศน์ออกอากาศที่สำคัญทั้งหมดเป็นหน่วยงานเชิงพาณิชย์ ชาวอเมริกันฟังรายการวิทยุ, ส่วนใหญ่ยังเป็นเชิงพาณิชย์, เฉลี่ยเพียงสอง ชั่วโมงครึ่งต่อวัน. นอกเหนือจาก web portals และ search engines เว็บไซต์ที่นิยมมากที่สุดคือ Facebook, YouTube, วิกิพีเดีย, Blogger, อีเบย์ และ Craigslist.

รูปแบบของจังหวะและเนื้อร้องของเพลงแอฟริกัน-อเมริกันมีอิทธิพลที่ลึกต่อดนตรีอเมริกันอย่างมาก แตกต่างจากประเพณียุโรป องค์ประกอบจากสำนวนพื้นบ้าน เช่น แบบบลูส์และสิ่งที่เป็นที่รู้จักกันในขณะนี้ว่าเป็นเพลงยุคเก่า ถูกนำมาใช้และเปลี่ยนเป็นประเภทที่นิยมที่มีผู้ฟังทั่วโลก เพลงแจ๊สได้รับการพัฒนาโดยนักประดิษฐ์ เช่น หลุยส์ อาร์มสตรองและ Duke Ellington ในช่วงต้น ศตวรรษที่ 20. เพลงคันทรี่ถูกพัฒนาใน ปี 1920s และจังหวะและบลูส์ในปี 1940

Elvis Presley และ Chuck Berry เป็นผู้บุกเบิกร็อกแอนด์โรลในหมู่ผู้บุกเบิกอื่นในช่วงกลางปี 1950s ในปี 1960, บ๊อบ ดีแลน โผล่ออกมาจากการฟื้นตัวของเพลงพื้นบ้านที่จะกลายเป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของอเมริกา และ เจมส์บราวน์เป็นผู้นำการพัฒนา เพลง funk การสร้างสรรค์ของอเมริกันที่ผ่านมามีมากขึ้นรวมถึง ฮิปฮอป และ ดนตรีบ้าน ดาราเพลงป๊อปชาวอเมริกัน เช่น เอลวิส เพรสลีย์, ไมเคิล แจ็คสัน และ มาดอนน่า ได้กลายเป็นคนดัง ระดับโลก.

ในศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 ศิลปะและวรรณกรรมอเมริกันรับเอาการชี้นำจากยุโรปมากที่สุด นักเขียน เช่น นาธาเนียล ฮอว์ธอน, เอ็ดการ์ อัลลันโป และ เฮนรี เดวิด ธอโร จัดตั้งเสียงวรรณกรรมอเมริกันที่โดดเด่นราวกลางศตวรรษที่ 19 Mark Twain และกวี วอลท์ วิทแมน เป็นบุคลสำคัญหลักในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ; เอมิลี่ ดิกคินสัน ไม่เป็นที่รู้จักในช่วงที่มีชีวิตอยู่ ของเธอ ได้รับการยอมรับในขณะนี้ว่าเป็นกวีอเมริกันที่สำคัญ. งานที่เห็นว่าเป็นการจับภาพลักษณะพื้นฐานของประสบการณ์และตัวอักษรระดับชาติ เช่น โมบี้ ดิ๊ก ของ เฮอร์แมน เมลวิลล์ (1851) 'การผจญภัยของ Huckleberry Finn' ของ ทเวน (1885) และ The Great Gatsby ของ เอฟ สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์(1925) อาจจะได้รับการขนานนามว่า "นวนิยาย American ที่ยิ่งใหญ่".

สิบเอ็ดพลเมืองสหรัฐได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณคดี เมื่อเร็ว ๆ นี้คือ โทนี มอร์ริสัน ในปี 1993 . วิลเลียม Faulkner และ เออร์เนส เฮมมิงเวย์ มักจะมีชื่ออยู่ในหมู่นักเขียนที่มีอิทธิพลมากที่สุด ของศตวรรษที่ 20. ประเภทของ วรรณกรรมยอดนิยม เช่น the Western และ นิยายอาชญากรรม ถูกพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกา นักเขียน The Beat Generation เปิดการเขียนวรรณกรรมขึ้นใหม่, ที่มีผู้เขียนสมัยใหม่ เช่นจอห์น บาร์ธ, โทมัส พินโชนส์ และ ดอน DeLillo

นักเขียนยอดเยี่ยมนำโดย ธอโร และ ราล์ฟ วอลโด อีเมอร์สัน ได้จัดตั้ง การเคลื่อนไหวทางปรัชญาอเมริกันที่สำคัญคนแรก หลังสงครามกลางเมือง ชาร์ลส์ แซนเดอร์ เพียร์ซ และต่อมา วิลเลียมเจมส์ และจอห์น ดิวอี้ เป็นผู้นำในการพัฒนาด้านปฏิบัตินิยม ในศตวรรษที่ 20 การทำงานของ W. V. O. Quine และ ริชาร์ด Rorty และต่อมา Noam Chomsky, ได้นำปรัชญาการวิเคราะห์ให้กับสถาบันการศึกษาปรัชญาชาวอเมริกัน จอห์น Rawls และ โรเบิร์ต Nozick ได้นำ การคืนชีพของปรัชญาการเมือง Cornel West และ จูดิธ บัตเลอร์ ได้นำประเพณีทวีปในภาคการศึกษาปรัชญาอเมริกัน นักเศรษฐศาสตร์โรงเรียนชิคาโกที่มีอิทธิพลทั่วโลก เช่น มิลตัน ฟรีดแมน, เจมส์ เอ็ม บูคานัน และโทมัส Sowell ได้อยู่เหนือวินัยในการส่งผลกระทบต่อด้านต่างๆในปรัชญาทางสังคมและการเมือง.

ในด้านทัศนศิลป์ Hudson River School ได้เคลื่อนไหวในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ในด้าน ประเพณีของนักธรรมชาตินิยมแบบยุโรป ภาพความจริงของ โทมัส Eakins ถูกฉลองกันอย่างแพร่หลาย 1913 Armory Show ในมหานครนิวยอร์ก, นิทรรศการศิลปะสมัยใหม่แบบยุโรป, ทำให้เกิดการตื่นตะลึงของประชาชนและได้เปลี่ยนฉากศิลปะของสหรัฐอเมริกา. จอร์เจีย โอคีฟ, Marsden Hartley และอื่น ๆ ได้ทดลองกับสไตล์ เฉพาะบุคคลแบบใหม่ การเคลื่อนไหวทางศิลปะที่สำคัญเช่นการแสดงออกที่เป็นนามธรรมของ แจ็คสัน พอลล็อก และ วิลเล็ม เดอ คูนิง และศิลปะป๊อปของ แอนดี้ วอร์ฮอล และรอย Lichtenstein ได้พัฒนากว้างขวางในประเทศสหรัฐอเมริกา กระแสของความทันสมัย??และลัทธิหลังสมัยใหม่ได้นำชื่อเสียงให้กับสถาปนิกอเมริกัน เช่น แฟรงค์ ลอยด์ ไรท์, ฟิลิป จอห์นสัน และแฟรงก์ เกห์รี

หนึ่งในผู้สนับสนุนที่สำคัญคนแรกของโรงละครอเมริกัน คือ โต้โผ P.T. Barnum ผู้เริ่มดำเนินงานอาคารชุดเพื่อความบันเทิงแห่งแมนฮัตตันตอนล่างในปี 1841. ทีมงาน Harrigan และ ฮาร์ต ได้ผลิตชุดของละครตลกดนตรีที่เป็นที่นิยมในนิวยอร์ก เริ่มต้นในช่วงปลายยุค 1870s ในศตวรรษที่ 20, รูปแบบดนตรีที่ทันสมัยได้??เกิดขึ้นในบรอดเวย์; เพลงของคีตกวีละครเพลง เช่น เออร์วิง เบอร์ลิน, โคล พอร์เตอร์ และ สตีเฟ่น Sondheim ได้กลายเป็นมาตรฐานเพลงป๊อป นักเขียนบทละคร ยูจีน โอนีล ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมในปี 1936; นักแสดงละครสหรัฐอื่นๆที่ได้รับการสรรเสริญ รวมถึงผู้ชนะรางวัลพูลิตเซอร์หลายครั้ง เทนเนสซี วิลเลียม, เอ็ดเวิร์ด Albee และ ออกัส วิลสัน

แม้ว่าจะเป็นที่รู้จักกันเพียงเล็กน้อยในขณะนั้น, งานของ ชาร์ลส์ อีฟส์ ของปี 1910s ทำให้เขากลายเป็น นักแต่งเพลงคนแรกที่สำคัญของสหรัฐด้านประเพณีคลาสสิก ในขณะที่ นักทดลอง เช่น เฮนรี โคเวล และจอห์น เคจ ได้สร้างวิธีการอเมริกันที่โดดเด่นให้กับการแต่งเพลงคลาสสิก แอรอน Copland และจอร์จ เกิร์ชวิน ได้พัฒนาการสังเคราะห์ใหม่ของเพลง pop และเพลง คลาสสิก นักออกแบบท่าเต้น อิซาดอร่า ดันแคน และมาร์ธา เกรแฮม ได้ช่วยสร้างการเต้นรำสมัยใหม่ ??ในขณะที่ จอร์จ Balanchine และ เจอโรม ร็อบบินส์ เป็นผู้นำด้านบัลเล่ต์ของศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันมีความสำคัญยาวนานในการสื่อศิลปะที่ทันสมัยของการถ่ายภาพ ที่มีช่างภาพที่สำคัญรวมทั้ง อัลเฟรด Stieglitz, เอ็ดเวิร์ด Steichen, และ ธานเซล อดัมส์

อาหารอเมริกันกระแสหลักจะคล้ายกับในประเทศตะวันตกอื่นๆ ข้าวสาลีเป็นธัญพืชหลัก อาหารอเมริกันแบบดั้งเดิมใช้วัตถุดิบในท้องถิ่น เช่น ไก่งวง, กวาง, มันฝรั่ง, มันเทศ, ข้าวโพด, สควอช และ น้ำเชื่อมเมเปิ้ล ซึ่งได้รับการบริโภคโดยชาวอเมริกันพื้นเมืองและพวกตั้งถิ่นฐานจากยุโรปในช่วงต้น

เนื้อหมูและบาร์บีคิวเนื้อที่ปรุงสุกช้า, เค้กปู, มันฝรั่งทอด, และคุกกี้ช็อกโกแลตชิป เป็นอาหารอเมริกันที่โดดเด่น อาหารจิตวิญญาณ, ที่ถูกพัฒนาโดยทาสแอฟริกัน, เป็นที่นิยมทั่วภาคใต้ และ ในหมู่ชาวแอฟริกันอเมริกันจำนวนมากทุกหนแห่ง อาหารปรุงรวม เช่น หลุยเซียนา ครีโอล, Cajun และ Tex- Mex มีความสำคัญในระดับภูมิภาค อุตสาหกรรมขนมในประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึง บริษัทเฮอร์ชีย์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตช็อคโกแลตที่ใหญ่ที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ Frito -Lay, บริษัทย่อยของ PepsiCo เป็นบริษัทอาหารว่างกระจายทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุด สหรัฐอเมริกามีอุตสาหกรรมอาหารเช้าซีเรียลขนาดใหญ่ ที่มีแบรนด์เช่น เคลล็อก และ General Mills

อาหารเป็นจาน เช่น พายแอปเปิ้ล, ไก่ทอด, พิซซ่า, แฮมเบอร์เกอร์ และ hot dogs เป็นผลมาจากสูตรของผู้อพยพต่างๆ มันฝรั่งทอด, อาหารเม็กซิกัน เช่น Burritos และ ทาโก้ และ จาน พาสต้า ได้ปรับตัวอย่างอิสระจากแหล่งที่มาคืออิตาลี ได้มีการบริโภคกันอย่างแพร่หลาย. ชาวอเมริกันมักชอบกาแฟ มากกว่าชา การตลาดโดยอุตสาหกรรมสหรัฐ รับผิดชอบอย่างมากสำหรับการทำน้ำส้มและนม และเครื่องดื่มอาหารเช้าแพร่หลาย.

อุตสาหกรรมอาหารจานด่วนอเมริกัน, ใหญ่ที่สุดในโลก, ได้บุกเบิกรูปแบบการขับรถผ่านในปี 1930 การบริโภคอาหารจานด่วนได้ก่อให้เกิดความกังวลเรื่องสุขภาพ ในระหว่าง ปี 1980s และ ปี 1990s, แคลอรี่ที่บริโภคของชาวอเมริกันเพิ่มขึ้น 24%. การรับประทานอาหารที่ร้านจานด่วนบ่อย มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเรียก "โรคอ้วน ระบาด"ของชาวอเมริกัน น้ำอัดลมความหวานสูง เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย และ เครื่องดื่มหวานมีจำนวนร้อยละเก้าของปริมาณ บริโภคแคลอรี่ของชาวอเมริกัน.

ตลาดสำหรับกีฬาอาชีพในสหรัฐอเมริกามีประมาณ $ 69 พันล้าน, ประมาณ 50 % ใหญ่กว่าของ ทั้งหมดของยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริการวมกัน. เบสบอลได้รับการยกย่องให้เป็นกีฬาประจำชาติมาตั้งแต่ ปลายศตวรรษที่ 19, ในขณะที่ อเมริกันฟุตบอลในขณะนี้โดยวัดหลายอย่าง เป็นกีฬาที่มีผู้ชม นิยมมากที่สุด. บาสเก็ตบอลและฮ็อกกี้น้ำแข็งเป็นอีกสองทีมกีฬาอาชีพชั้นนำต่อไปของประเทศ ทั้งสี่กีฬาที่สำคัญนี้, เมื่อเล่นเป็นอาชีพ, แต่ละชนิดกีฬาได้ครอบครองฤดูกาลที่แตกต่างกัน, แต่ทับซ้อนกัน, ในช่วงเวลาของปี ฟุตบอลและบาสเกตบอลระดับวิทยาลัยดึงดูดผู้ชมจำนวนมาก. มวยและการแข่งม้าครั้งหนึ่งเคยเป็นกีฬาที่มีผู้เล่นเดียวดูมากที่สุด แต่พวกมันได้ถูกบดบังด้วยกอล์ฟและรถแข่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นาสคาร์ ในศตวรรษที่ 21, การถ่ายทอดสดศิลปะการต่อสู้ผสมยังได้รับการติดตามที่แข็งแกร่งของผู้ชมทั่วไป. ในขณะที่ ฟุตบอลเป็นที่นิยมน้อยกว่าในประเทศอื่นๆ ทีมฟุตบอลชายของชาติอยู่ในการแข่งขันชิงถ้วย World Cups ในหกครั้งที่ผ่านมา และทีมหญิงเป็น ที่ 1 ในการจัดอันดับโลกของผู้หญิง

ขณะที่ กีฬาหลักของสหรัฐส่วนใหญ่มีการพัฒนาออกมาจากแนวทางการเล่นของยุโรป, บาสเกตบอล, วอลเลย์บอล, สเก็ตบอร์ด, สโนว์บอร์ด และ เชียร์ลีดเดอร์ เป็นสิ่งประดิษฐ์ของอเมริกัน, บางส่วนได้กลายเป็นที่นิยมในประเทศอื่นๆ ลาครอสและ surfing เกิดจากกิจกรรมของชาวอเมริกันท้องถิ่นและชาวพื้นเมืองฮาวายที่เกิดขึ้นก่อนการติดต่อกับประเทศตะวันตก. กีฬาโอลิมปิกแปดครั้งจัดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศสหรัฐอเมริกาได้รับ 2,400 เหรียญที่ โอลิมปิกเกมส์ฤดูร้อน มากกว่าประเทศอื่น ๆ และ 281 เหรียญในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว, มากสุดเป็นที่สองในปี 2014.

ดนตรีในสหรัฐอเมริกา เกิดจากการผสมผสานของดนตรีหลายเชื้อชาติเข้าด้วยกัน และเกิดเป็นดนตรีแนวใหม่รายประเภท เช่น ร็อกแอนด์โรลล์ ฮิปฮอป คันทรี บลูส์ Drum & Bugle Corps (วงโยธวาทิต) และแจ๊ส และในช่วงล่าสุด ดนตรีของสหรัฐอเมริกาได้เริ่มเป็นที่นิยมในหลายที่ทั่วโลก นอกจากนี้การเต้นรำ ได้มีกำเนิดมาจากสหรัฐอเมริกันเช่นกัน ตัวอย่างเช่น การเต้นแท็ป


 

 

รับจำนำรถยนต์ รับจำนำรถจอด

เบอร์ลินตะวันออก ประเทศเยอรมนีตะวันออก ปฏิทินฮิบรู เจ้า โย่วถิง ดาบมังกรหยก สตรอเบอร์รี ไทยพาณิชย์ เคน ธีรเดช อุรัสยา เสปอร์บันด์ พรุ่งนี้ฉันจะรักคุณ ตะวันทอแสง รัก 7 ปี ดี 7 หน มอร์ มิวสิค วงทู อนึ่ง คิดถึงพอสังเขป รุ่น 2 เธอกับฉัน เป๊ปซี่ น้ำอัดลม แยม ผ้าอ้อม ชัชชัย สุขขาวดี ประชากรศาสตร์สิงคโปร์ โนโลโก้ นายแบบ จารุจินต์ นภีตะภัฏ ยัน ฟัน เดอร์ไฮเดิน พระเจ้าอาฟงซูที่ 6 แห่งโปรตุเกส บังทันบอยส์ เฟย์ ฟาง แก้ว ธนันต์ธรญ์ นีระสิงห์ เอ็มมี รอสซัม หยาง มี่ ศรัณยู วินัยพานิช เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน เค็นอิชิ ซุซุมุระ พอล วอล์กเกอร์ แอนดรูว์ บิ๊กส์ ฮันส์ ซิมเมอร์ แบร์รี ไวต์ สตาญิสวัฟ แลม เดสมอนด์ เลเวลีน หลุยส์ที่ 4 แกรนด์ดยุคแห่งเฮสส์และไรน์ กีโยม เลอ ฌ็องตี ลอเรนโซที่ 2 เดอ เมดิชิ มาตราริกเตอร์ วงจรรวม แจ็ก คิลบี ซิมโฟนีหมายเลข 8 (มาห์เลอร์) เรอัลเบติส เฮนรี ฮัดสัน แคว้นอารากอง ตุ๊กกี้ ชิงร้อยชิงล้าน กันต์ กันตถาวร เอก ฮิมสกุล ปัญญา นิรันดร์กุล แฟนพันธุ์แท้ 2014 แฟนพันธุ์แท้ 2013 แฟนพันธุ์แท้ 2012 แฟนพันธุ์แท้ 2008 แฟนพันธุ์แท้ 2007 แฟนพันธุ์แท้ 2006 แฟนพันธุ์แท้ 2005 แฟนพันธุ์แท้ 2004 แฟนพันธุ์แท้ 2003 แฟนพันธุ์แท้ 2002 แฟนพันธุ์แท้ 2001 แฟนพันธุ์แท้ 2000 บัวชมพู ฟอร์ด ซาซ่า เดอะแบนด์ไทยแลนด์ แฟนพันธุ์แท้ปี 2015 แฟนพันธุ์แท้ปี 2014 แฟนพันธุ์แท้ปี 2013 แฟนพันธุ์แท้ปี 2012 ไทยแลนด์ก็อตทาเลนต์ พรสวรรค์ บันดาลชีวิต บุปผาราตรี เฟส 2 โมเดิร์นไนน์ ทีวี บุปผาราตรี ไฟว์ไลฟ์ แฟนพันธุ์แท้ รางวัลนาฏราช นักจัดรายการวิทยุ สมเด็จพระสันตะปาปาปิอุสที่ 7 แบร์นาร์แห่งแกลร์โว กาอึน จิรายุทธ ผโลประการ อัลบาโร เนเกรโด ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ เอมี่ อดัมส์ ทรงยศ สุขมากอนันต์ ดอน คิง สมเด็จพระวันรัต (จ่าย ปุณฺณทตฺโต) สาธารณรัฐเอสโตเนีย สาธารณรัฐอาหรับซีเรีย เน็ตไอดอล เอะโระเก คอสเพลย์ เอวีไอดอล ช็อคโกบอล มุกะอิ

 

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
32
33
34
35
36
37
38
39
40
41
42
43
44
45
46
47
48
49
50
51
52
53
54
55
56
57
58
59
60
61
62
63
64
65
66
67
68
69
70
71
72
73
74
75
76
77
78
79
80
81
82
83
84
85
86
87
88
89
90
91
92
93
94
95
96
97
98
99
100
101
102
103
104
105
106
107
108
109
110
111
112
113
114
115
116
117
118
119
120
121
122
123
124
125
126
127
128
129
130
131
132
133
134
135
136
137
138
139
140
141
142
143
144
145
146
147
148
149
150
151
152
153
154
155
156
157
158
159
160
161
162
163
164
165
166
167
168
169
170
171
172
173
174
175
176
177
178
179
180
181
182
183
184
185
186
187
188
189
190
191
192
193
194
195
196
197
198
199
200
201
202
203
204
205
206
207
208
209
210
211
212
213
214
215
216
217
218
219
220
221
222
223
224
225
226
227
228
229
230
231
232
233
จำนำรถราชบุรี รถยนต์ เงินด่วน รับจำนำรถยนต์ จำนำรถยนต์ จำนำรถ 23301